บทที่ 1413+1414

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1413+1414 Ink Stone_Romance

บทที่ 1413 การพบกันอีกครั้งของเจ้านายกับลูกน้อง

มู่อวิ๋นสูดลมหายใจเข้าเบาๆ “เช่นนั้นพวกข้าจะฟื้นคืนความทรงจำได้หรือไม่!” พวกเขาไม่อยากสูญเสียความทรงจำของพวกเขาไปทั้งหมด!

มู่เฟิงพยักหน้า “แน่นอน ความจริงแล้วพลังยุทธ์ของข้ายังไม่ถึงขั้น ต้องร่ายวิชาให้พวกเจ้าใหม่ทุกเดือน มิเช่นนั้น ความทรงจำบางส่วนของพวกเจ้าจะฟื้นคืนกลับมาเองโดยธรรมชาติ หากนายท่านเป็นผู้ใช้วิชานี้กับพวกเจ้าก็จะปิดผนึกความทรงจำส่วนหนึ่งของพวกเจ้าไปได้ชั่วชีวิต! ทำให้พวกเจ้าไม่มีทางนึกขึ้นได้อีกตลอดไป…”

มู่เตี้ยนทอดถอนใจ “กล่าวเช่นนี้ พวกข้ายังต้องรออีกหนึ่งเดือนเพื่อให้ความทรงจำฟื้นคืนกลับทั้งหมดหรือ?”

“นั่นก็ไม่จำเป็น ข้าฟื้นคืนควาทรงจำให้พวกเจ้าตอนนี้ได้” มู่เฟิงพูดพลางเริ่มร่ายวิชาให้กับพวกเขา

วิชาเช่นนี้ของมู่เฟิงไม่มีผู้ใดจับได้ เป็นวิชาลับของตี้ฝูอี

ถึงแม้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมท่านนั้นกับเซียนหญิงลี่หวางจะมีพลังวิญญาณสูงส่ง ทว่ามองวิชาลับนี้ไม่ออก ในเมื่อมองไม่ออกก็ย่อมไม่สืบสาวหาความ เรียนผูกย่อมต้องเรียนแก้ มีผู้ใช้วิชามาคลายวิชาย่อมรวดเร็วยิ่งนัก

ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดทั้งสามคนก็ฟื้นคืนความทรงจำทั้งหมดแล้ว และในที่สุดพวกเขาก็รู้ว่าความลับส่วนนั้นที่ตัวเองถูกปิดผนึกไว้คืออะไรกันแน่ เหงื่อออกโซมกายอย่างไม่รู้ตัว!

หากมู่เฟิงไม่ปิดผนึกความทรงจำส่วนนี้ของพวกเขาไว้ เกรงว่าจะเปิดเผยให้ไอ้ตัวปลอมรู้จนหมดเปลือก ถึงเวลานั้นไม่รู้ว่าจะทำเรื่องอันใดอีก! บางทีอาจก่อให้เกิดมหันตภัยร้ายสะท้านฟ้า! เคราะห์ดี! เคราะห์ดี…

“นายท่านหายสาบสูญมาแปดปีแล้ว! ไม่รู้ว่าเมื่อใดเขาจะออกมาได้…”

“นั่นสิ หากนายท่านยังอยู่ ฉไนเลยไอ้ตัวปลอมจะมาหยิ่งผยองขนาดนี้ได้? ถูกเล่นงานกลัวจนฉี่ราดไปนานแล้ว!”

“นายท่าน เฮ้อ นายท่าน และก็ไม่รู้ว่านายท่านตามหาแม่นางกู้พบแล้วหรือไม่กันแน่…”

“ข้าฝันก็ฝันถึงแต่ว่านายท่านปรากฏกายขึ้นมา ตื้นตันจนเกือบจะร้องไห้ ตื่นมาถึงได้รู้ว่ามันก็เป็นเพียงแค่ความฝันหนึ่ง…” ดวงตามู่อวิ๋นแดงก่ำแล้ว

สามทูตอดไม่ได้ที่จะพูดคุยอยู่ตรงนั้น พวกเขาคิดถึงนายท่านของตัวเองมากจริงๆ!

เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีข่าวคราวจากนายท่านเลย…

“อืม ตื้นตันจนร้องไห้? ร้องไห้ให้ข้าดูก่อนเป็นไง”

เสียงแหบแห้งที่ชัดเจนนุ่มลึกสายหนึ่งดังขึ้น ส่งผ่านถึงข้างหูของทั้งสี่ทูตในทันที

สายตามู่เฟิงพลันวาบไหว ทว่าอีกสามทูตกลับตกตะลึงราวกับถูกฟ้าผ่า!

หันหน้ากลับไปอย่างช้าๆ มองลึกเข้าไปในป่าไผ่

จุดที่ลึกเข้าไปในป่าไผ่มีคนสามคนกำลังเดินมา บุรุษหนึ่งสตรีสอง

หนึ่งบุรุษอาภรณ์ม่วงพลิ้วปลิวไสว สตรีข้างกายที่สวมอาภรณ์สีเขียวอ่อนงดงามดังเซียนสวรรค์ ส่วนสตรีอีกนางหนึ่งสวมอาภรณ์ดำ ถึงแม้ผมเผ้ายุ่งเหยิงดังรังหญ้า ทว่าสายตาคู่นั้นกลับมีชีวิตชีวาเฉกเช่นแมว

สายตาทั้งสามคู่ของสามทูตจดจ้องบนร่างบุรุษอาภรณ์ม่วงนั้นไม่กระพริบ ร่างกายแข็งทื่อราวกับเสาไม้

เขาคือนายท่านจริงๆ หรือ? หรือไอ้ตัวปลอมรู้ความผิดปกติของพวกเขาแล้วมาแอบฟัง?!

——————————————————————-

บทที่ 1414 ตั้งตารอคอยลูกน้อยของตนเอง (1)

สายตาของพวกเขายังหันไปมองสตรีสองนางที่อยู่ข้างกายบุรุษอาภรณ์ม่วง

สตรีอาภรณ์ดำน่าเวทนาคนนั้นคือหลีเมิ่งซย่า สตรีอีกนางหนึ่งคือ…คือกู้ซีจิ่ว!

ข้างกายไอ้ตัวปลอมไม่มีกู้ซีจิ่ว อีกทั้งยังต้องการจับกุมตัวกู้ซีจิ่วมาโดยตลอด เช่นนั้นผู้ที่มากับกู้ซีจิ่วท่านนี้ในตอนนี้ก็คือ…

ร่างกายสามทูตสั่นสะท้าน อ้าปากค้างเล็กน้อย ดวงตามู่อวิ๋นพลันแดงก่ำ “นาย…นายท่าน!”

มู่เฟิงพึงพอใจกับการตอบสนองของพี่น้องทั้งสามในยามนี้เป็นอย่างมาก เขาไม่สนใจพวกเขาอีกแล้ว ก้าวไปคารวะด้านหน้าก้าวหนึ่ง “นายท่านทั้งสอง มู่เฟิงนำยาถอนพิษให้พวกเขาตามคำสั่งแล้ว ยาถอนพิษของนายหญิงได้ผลชะงัดนัก พวกเขาล้วนกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว! ยามนี้ข้าน้อยพาพวกเขามาที่นี่เพื่อฟังนายท่านทั้งสองสั่งการ”

คราวนี้ทั้งสามทูตราวกับตื่นจากความฝัน แทบจะกระโจนไปด้านหน้า คุกเข่าแทบเท้าของตี้ฝูอี “นายท่าน~”

“นายท่าน!”

“นายท่าน!”

“นายท่าน ในที่สุด ท่านก็กลับมาแล้ว!”

ตี้ฝูอีหลุบตาลงมองครอบครัวทั้งสี่ของตัวเอง ประคองเขาขึ้นมาทีละคน “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

คำพูดเพียงห้าคำที่แสนจะธรรมดา กลับทำให้ดวงตาของทั้งสี่คนแดงก่ำแล้ว!

บุรุษหลั่งโลหิตมิหลั่งน้ำตา ยามนี้พวกเขากลับอยากจะหลั่งน้ำตาเสียแล้ว…

“นายท่าน พวกข้าน้อยผิดไปแล้ว ปกป้องทวีปแห่งนี้แทนนายท่านไม่ได้ มิหนำซ้ำยังช่วยเหลือพวกคนชั่ว…”

“นายท่าน โปรดลงโทษพวกเราเถิด! ข้าน้อยไร้ความสามารถ…”

พวกเขาทั้งสี่รู้สึกทั้งอับอายและตื้นตัน มู่เฟิงกล่าว “พวกเจ้าไม่ได้เอ่ยถามมาตลอดหรืออย่างไรว่าได้ยาถอนพิษมาจากที่ใด? เป็นยาที่นายหญิงหลอมออกมาได้สำเร็จ ถึงช่วยพวกเจ้าไว้ได้”

สามทูตมองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาแปลกประหลาด ทยอยกันกล่าวขอบคุณนางทีละคน

มีปรมาจารย์หลอมโอสถมากมายบนโลกใบนี้ และยังมีปรมาจารย์หลอมโอสถมากมายที่พลังวิญญาณสูงส่ง ทว่าระดับทักษะการหลอมโอสถไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับระดับพลังวิญญาณ คนที่พลังวิญญาณสูงส่งอาจไม่จำเป็นต้องมีทักษะการหลอมโอสถที่สูงเช่นกัน ทักษะการหลอมโอสถต้องอาศัยพรสวรรค์จริงๆ และมีเพียงไม่กี่คนที่มีพรสวรรค์เยี่ยงนี้

ปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสูงส่วนมากหลอมโอสถระดับหกออกมาได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

ส่วนโอสถระดับแปดมีอยู่ในตำนาน มีเพียงปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสูงชั้นยอดเท่านั้น ถึงจะหลอมออกมาได้หนึ่งหรือสองเม็ด

ทั้งชีวิตปรมาจารย์หลอมโอสถระดับสูงคนหนึ่ง หากหลอมโอสถระดับแปดออกมาได้หนึ่งเม็ดก็จะกลายเป็นจุดสูงสุดในชีวิตเขา ผู้คนนับหมื่นต่างเคารพบูชา

บนโลกใบนี้ผู้ที่สามารถหลอมโอสถระดับแปดได้บ่อยครั้งมีเพียงสองคน หนึ่งคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย สองก็คือหลงซือเย่ นึกไม่ถึงว่ายามนี้กลับมีเพิ่มขึ้นมาอีกท่านหนึ่งซึ่งก็คือกู้ซีจิ่ว!

เดิมทีในใจของสี่ทูตยังรู้สึกกล่าวโทษกู้ซีจิ่ว หากนางไม่ได้หนีการแต่งงานไป ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของพวกเขาก็ไม่มีทางบุกเข้าไปในตาค่ายนั้นอย่างไม่คิดชีวิตทำให้หายสาบสูญไปหลายปี ทว่ายามนี้การกล่าวโทษในใจของพวกเขากลับมลายหายสิ้น

บัดนี้ถึงแม้ภายนอกจะเละเทะเป็นโจ๊ก ทว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของพวกเขากลับมาแล้ว ซ้ำยังแต่งงานกับกู้ซีจิ่วแล้วด้วย กู้ซีจิ่วยังฝึกฝนจนพลังยุทธ์เยี่ยมยอด วิชาหลอมโอสถชั้นยอด! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสมหวังดังใจหมาย อีกทั้งยังมีผู้ช่วยระดับสูงอย่างกู้ซีจิ่ว เช่นนี้ล้วนดีเลิศเหนือสิ่งอื่นใด

ขอเพียงแค่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกลับมา คนชั่วช้าสามานย์เหล่านั้นก็โลดแล่นอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว

“นายท่าน ขั้นตอนต่อไปจะทำเยี่ยงไร?”

“นายท่าน พลังวิญญาณของไอ้ตัวปลอมน่าจะอยู่ที่ขั้นสิบเป็นอย่างต่ำ อีกทั้งเซียนหญิงที่น่าเหลือเชื่อผู้นั้นก็มีพลังวิญญาณขั้นสิบเป็นอย่างต่ำ เซียนหญิงผู้นั้นรู้วิชาชั่วร้ายบางอย่าง ควบคุมคนได้ในพริบตา นางกับไอ้ตัวปลอมร่วมมือกันปรับแต่งวิชาเพิ่มระดับวิญญาณอาฆาตอันชั่วร้าย ทำให้พลังของวิญญาณอาฆาตเพิ่มพูน ยามนี้ผู้มีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไปข้างกายพวกเขามีสิบแปดคน คนเหล่านี้เข่นฆ่าผู้คนจนเป็นนิสัย ไอ้ตัวปลอมส่งพวกเขาไปโจมตีสำนักที่ไม่ยอมคล้อยตาม ให้อีกฝ่ายสิ้นซาก ก่อให้เกิดคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์มากมาย…”

มู่เหลยมีหน้าที่ฝึกซ้อม ‘ลูกน้อง’ เหล่านั้น ดังนั้น เบื้องลึกเบื้องหลังที่เขารู้จึงค่อนข้างมาก จึงพูดออกมาจนหมดเปลือกยามนี้

“นายท่าน ไอ้ตัวปลอมผู้นี้ทำลายชื่อเสียงของท่านจนสูญสิ้น! ยามนี้ต้องการจับตัวหัวโจกก่อนหรือไม่?” หลีเมิ่งซย่าม้วนแขนเสื้อขึ้นอย่างดุดัน นางอยากซัดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมนี้มานานแล้ว!

ตี้ฝูอีมองไปทางกู้ซีจิ่ว “เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

กู้ซีจิ่วสูดลมหายใจเข้าเบาๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาแหวกหญ้าให้งูตื่น”

หืม? สายตาหลายคู่จ้องมองมาที่เธอ

กู้ซีจิ่ววิเคราะห์ให้พวกเขาฟัง “ไอ้ตัวปลอมจ้องทำลายชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาโดยตลอด หากพวกเราจัดการไอ้ตัวปลอมกับเซียนหญิงในเวลานี้ แล้วชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะกลับคืนมาได้อย่างไรเล่า? หรือว่าถึงเวลาจะออกมาบอกว่าผู้ที่กระทำสิ่งเลวร้ายเหล่านั้นคือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมอย่างงั้นหรือ? มีสิ่งใดพิสูจน์ได้เล่า? ชาวบ้านจะเชื่อหรือ? หรือว่าจะเอาซากศพของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมออกมาให้ชาวบ้านตรวจสอบอย่างงั้นหรือ? ชาวบ้านก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อนี่ หนำซ้ำยังคิดว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเล่นเล่ห์กลอันใด จงใจสร้างคนที่มีลักษณะเหมือนตัวเองมาหลอกลวงพวกเขาอีก! สองคือพลังวิญญาณของไอ้ตัวปลอมกับเซียนหญิงลี่หวางบรรลุขั้นสิบขึ้นไปแล้ว ข้างกายยังมีผู้มีพลังวิญญาณขั้นเก้าขึ้นไปอีกหลายคน พวกเราไม่อาจสังหารพวกเขาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว หากฆ่าพวกเขาไม่ตาย ต้องกระตุ้นการโจมตีกลับของพวกเขาเป็นแน่ ยามนี้สานุศิษย์สวรรค์กับสำนักอื่นๆ ยังติดตามข้างกายเขา หากเขาใช้กลอุบายชี้กวางเป็นม้า[1] ไม่แน่อาจนำเรื่องเลวร้ายที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้มาป้ายสีตัวตี้ฝูอี เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราจะเป็นฝ่ายถูกกระทำ…”

ทุกคนเฉลียวฉลาดยิ่งนัก เมื่อกู้ซีจิ่ววิเคราะห์เพียงเล็กน้อย พวกเขาก็เข้าใจแล้ว พยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า สายตาที่มองกู้ซีจิ่วฉายแววความเลื่อมใส นึกไม่ถึงว่านางที่อายุยังน้อยจะมีความคิดและกลยุทธ์ทางการเมืองเช่นนี้

ตี้ฝูอีแย้มยิ้ม “เช่นนั้น ในความคิดเจ้า ขั้นตอนต่อไปควรทำเช่นไร?”

กู้ซีจิ่วเอ่ย “พวกเจ้ายังไม่ต้องเคลื่อนไหวอันใด แสร้งทำท่าทางเหมือนยังถูกควบคุมอยู่ ค่อยหาโอกาสเหมาะเจาะเพื่อเคลื่อนไหว ถือโอกาสตรวจสอบว่าพวกเขานำพลังอาฆาตมาฝึกฝนได้อย่างไร ข้างกายของไอ้ตัวปลอมมีกองกำลังที่ใช้งานได้มากน้อยเพียงใด เหล่านี้ล้วนต้องมีข้อมูลโดยละเอียด ข้ากับตี้ฝูอีจะลอบไปหาสานุศิษย์สวรรค์คนอื่นๆ ว่าพวกเขาจำทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผิดไป ติดตามด้วยตัวเอง หรือว่าถูกควบคุมกันแน่ หากพวกเขาถูกควบคุมก็ต้องคลายวิชา หากยินยอมพร้อมใจก็ต้องให้รู้ความจริงแล้วตัดสินใจอีกทีหนึ่ง

…………………………………………

[1] ชี้กวางเป็นม้า เป็นสุภาษิต ใช้เปรียบเทียบการใช้อำนาจข่มขู่บิดเบือนความเป็นจริง จงใจกลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว