ฉู่อี้เจี่ยนหันมองเขาหนึ่งที จู่ๆ ใบหน้าก็เผยสีหน้าเกรี้ยวกราดขึ้นมาฉับพลัน พลางเอ่ยกล่าวอย่างประชดประชัน“คนต่างพูดกันว่าเรื่องภายในครอบครัวมันวุ่นวาย แม้จะเป็นข้าราชการที่สุจริตก็ยากที่จะตัดสินใจครอบครัวได้ เมื่อคนอื่นพบเจอเรื่องแบบนี้ แค่หลบซ่อนยังหลบไม่ทันเลย องค์รัชทายาทเหลียนเซิ่ง ข้าไม่สนใจหรอกนะขอรับว่าท่านกำลังวางแผนทำอะไร ทว่าแอ่งน้ำสกปรกเจิ่งนองตรงหน้าข้าอันนี้ ข้าแนะนำว่าท่านอย่าได้คิดก้าวเข้ามายุ่มย่ามซี้ซั้วเลยเสียจะดีกว่า!”
เขาพูดจบก็ปิดบานประตูอีกข้างเสียงดังปึง จากนั้นเสียงเย็นชาของคนที่อยู่ด้านในก็สบถออกมาหนึ่งคำ “ไป!”
ทหารองครักษ์ยังคงป้องกันการโจมตีจากเฟิงเหลียนเซิ่งอย่างแข็งขัน แต่ก็ขานรับคำสั่ง ขับรถม้าเคลื่อนฝ่าดงทหารที่เฟิงเหลียนเซิ่งพามาออกไป
เฟิงเหลียนเซิ่งยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าไม่ขยับไปไหน คนของเขาสังเกตสีหน้าของผู้เป็นนาย เห็นว่าเขาไม่ออกคำสั่งที่แน่ชัด จึงแหวกทางออกสองข้างให้อีกฝ่ายข้ามผ่านไป
คนของฉู่อี้เจี่ยนจึงจากออกไปได้โดยดี จนค่อยๆ หายลับไปในความมืดมิด
“องค์รัชทายาทขอรับ พวกเราปล่อยเขาไปแบบนี้จะดีจริงๆ งั้นหรือ?” หลี่เหวยหยั่งเชิงถามอย่างกังวล
“มันจะไม่ดีตรงไหนเล่า? ข้าเป็นแขกของที่นี่ ไม่ได้เป็นทหารของกองพลทหารราบเมืองหลวงแห่งนี้สักหน่อย เรื่องไล่ล่าฆาตกรแบบนี้…พวกเขาจะคิดหวังให้ข้าเป็นคนจัดการอีกงั้นรึ?” เฟิงเหลียนเซิ่งพูด กระตุกยิ้มมุมปากอย่างนึกสนุก
“ไปกันเถอะ!”
“ขอรับ!” หลี่เหวยขานตอบพลางกวักมือ “พวกเรา…”
แต่ยังไม่ได้พูดคำว่า ‘ไป’ ออกมา จู่ๆ ก็มีเสียงปึงดังขึ้นอย่างอึกทึกครึกโครม เสียงนั้นดังราวกับแผ่นดินไหวก็ไม่ปาน จากนั้นด้านหลังของพวกเขาก็มีไฟลูกใหญ่จากฝั่งกองทัพทหารองครักษ์ดังระเบิดขึ้นมา
ทุกคนต่างไม่ได้ระมัดระวังป้องกันตัว จึงทำให้มีคนเกือบยี่สิบคนโดนระเบิดจนกระจายไปคนละทิศ ม้าตกใจกลัวจนร้องโหยหวนวิ่งมั่วซั่ว ถนนที่เดิมเคยกว้างขวางโอ่งโถงจู่ๆ ก็วุ่นวายขึ้นมาทันใด ทั้งคนและม้าต่างวิ่งกันเตลิดเปิดเปิง จนถนนเส้นนี้แน่นขนัดขึ้นมาทันตา
ม้าศึกของเฟิงเหลียนเซิ่งเองก็ได้รับความตกใจกลัวเช่นเดียวกัน เขาจึงรีบกระโดดลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็ว
และในขณะที่ทางด้านนี้กำลังโกหาหลวุ่นวายอยู่นั้น ทางถนนฝั่งพระราชวังก็มีคนชุดดำจำนวนกว่ายี่สิบคนวิ่งเข้ามาอย่างว่องไว
ไม่ต้องสงสัยเลย…
คนพวกนั้นเป็นองครักษ์ลับที่ฮ่องเต้ส่งมาให้ตามล่าสองพี่น้องฉู่อี้เจี่ยนฉู่ซินรุ่ยนั่นเอง
พวกเขาเลาะเข้าใช้ทางลัด ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่าฉู่อี้เจี่ยนจะใช้เส้นทางหลักถนนใหญ่ในการเดินทางครั้งนี้ เพราะงั้นถึงจะบุกจู่โจมอย่างน่าเกรงขามอย่างไร สุดท้ายแล้วก็ทำให้เสียเวลาไปไม่น้อยอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าใกล้จะไล่ตามได้ทันแล้ว แต่กลับโดนคนของเฟิงเหลียนเซิ่งขวางทางเอาไว้
“พวกเขาน่าจะเพิ่งไปได้ไม่นาน!” ทางเดินขององครักษ์ถูกขัดขวาง ในขณะที่กำลังลังเลอยู่ว่าจะเปลี่ยนเส้นทางไปดีหรือไม่ คนที่นำทัพอยู่ด้านหน้าก็ปรายตามองไปรอบทิศอย่างหัวเสีย จู่ๆ ก็เห็นฉู่ซินรุ่ยที่ยืนสติหลุดอยู่หน้าปากทาง
คำสั่งของฮ่องเต้คือ จัดการสังหารสองพี่น้องฉู่อี้เจี่ยนและฉู่ซินรุ่ยให้ตายสิ้น ไม่ต้องไว้ชีวิตเหลือรอดไปสักคนเดียว
จากนั้นคนผู้นั้นก็จับดาบแล้วลงมือจัดการในทันที
ฉู่ซินรุ่ยเองก็เพิ่งรู้สึกถึงการมีอยู่ของคนพวกนี้ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงเวลายามค่ำคืน แต่เมื่อสายตาราวกับเหยี่ยวของคนผู้นั้นมองมา ร่างกายของนางก็สั่นไหวขนลุกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที
องครักษ์คนนั้นยกดาบแล้วบุกประชิดตัวทันที
ฉู่ซินรุ่ยแทบจะสติหลุด ตกใจเนื้อตัวสั่นเทาจนตัวอ่อนล้มพับลงไป ขณะที่สิ้นหวังเต็มประดาอยู่นั้น เฟิงเหลียนเซิ่งเองก็เพิ่งลงจากหลังม้า แล้วยังยืนได้ไม่มั่นคงเท่าไรนักจนถอยหลังไปสองก้าว ซึ่งระยะห่างตรงนั้นกับปากทางที่ฉู่ซินรุ่ยอยู่ ห่างกันเพียงไม่ถึงสองจั้ง[1]ดี
“องค์รัชทายาท!” แววตาของฉู่ซินรุ่ยส่องประกายไปด้วยความหวังขึ้นทันใด พยายามใช้ขาที่อ่อนแรงสองข้างนั้นยืนหยัดวิ่งเข้าไปหาเขา
นางออกแรงตะโกนเรียกจนเรี่ยวแรงแทบจะหมดตัว
เฟิงเหลียนเซิ่งได้ยินนางตะโกนเรียกเข้าก็ตกใจชะงัก พลันหันศีรษะไปมอง ก็เห็นว่านางได้วิ่งเข้ามาหาตนด้วยความรวดเร็ว
เฟิงเหลียนเซิ่งตื่นตกใจ ความคิดหนึ่งจึงแล่นเข้ามาในหัว ปรายตามองอีกฝ่ายอย่างระวัง ทันใดนั้นก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาทันที…
การตอบสนองของผู้หญิงคนนี้เรียกได้ว่าว่องไวจริงๆ นี่นางคิดจะใช้เขามาเป็นโล่กำบังให้ตนหรือไงกัน?
ดูท่า…
นี่เขาถูกฉู่อี้เจี่ยนเล่นงานให้เข้าแล้วสิ
ไม่นับการที่เขาจากไป ไม่นับการที่เขาใช้ตนเป็นตัวถ่วงเวลาองครักษ์ลับ ขนาดความเป็นความตายของผู้เป็นน้องสาวเขายังคำนวณเอาไว้หมดแล้ว คิดจะใส่ร้ายทำให้เฟิงเหลียนเซิ่งหลายเป็นผู้ร้ายทั้งๆ ที่ไม่ได้ทำแบบนี้เนี่ยนะ!
ความรู้สึกที่โดนคนหลอกใช้แบบนี้มันช่างยากที่จะยอมรับได้จริงๆ
เฟิงเหลียนเซิ่งรู้สึกหงุดหงิดรังเกียจขึ้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ
เขารุดหน้าเดินเข้าไปหาฉู่ซินรุ่ยอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อีกฝ่ายถาโถมเข้ามา ใบหน้าขาวซีดของนางก็ร้องตกใจกลัวขึ้น “องค์รัชทายาท!”
ใบหน้าของเฟิงเหลียนเซิ่งตึงเขม็ง กัดฟันแน่น สีหน้าอึมครึมดำมืดจนน่ากลัว
ไม่ไกลจากตรงนั้นพวกองครักษ์เห็นฉู่ซินรุ่ยวิ่งถลาเข้าไปหาเขา ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรขึ้นมาชั่วขณะ
“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งว่าชีวิตของท่านหญิงฉางหนิงก็ห้ามเว้นนะขอรับ!” มีคนเอ่ยเตือนขึ้น
“ด้านหน้านั้นเป็นขบวนทัพขององค์รัชทายาทหนานฮวา อย่าได้บุกจู่โจมซี้ซั้ว” ทว่าคนที่นำขบวนองครักษ์คนนั้นกลับยกมือขึ้นห้ามไม่ให้คนของตนบุกเข้าไปปลิดชีวิตของคนตรงหน้า
หากเปลี่ยนคนตรงหน้าเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนใดสักคนหนึ่งมันยังพอคุยกันได้ แต่ตอนนี้คนตรงหน้ากลับกลายเป็นเฟิงเหลียนเซิ่ง…
ให้ปะทะกับองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหนานฮวากลางถนนเยี่ยงนี้? พวกเขารับผิดชอบเรื่องใหญ่เช่นนี้ไม่ไหวหรอก
“แล้วจะทำอย่างไรดีขอรับ? จะปล่อยนางไปแบบนี้งั้นหรือ?” คนผู้นั้นยังไม่คิดยอมแพ้ “ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงพิโรธอยู่ หากพวกเราทำภารกิจไม่สำเร็จ…”
“ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่างเอง!” หัวหน้าผู้นำคนนั้นพูดอย่างเด็ดเดี่ยว พูดแทรกอีกฝ่ายอย่างอารมณ์เสีย โบกมืออย่างไม่ลังเล “ไป ไล่ตามฉู่อี้เจี่ยนซะ เมื่อกี้เขาเพิ่งหนีไปได้ไม่นาน!”
ฉู่ซินรุ่ยก็เป็นแค่หญิงนางหนึ่งเท่านั้น หากไม่มีฉู่อี้เจี่ยนคอยปกป้อง ฮ่องเต้คิดจะจัดการนางอย่างไร มันก็เป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าอะไรดี
บรรดาองครักษ์เคลื่อนไหวตัวอย่างว่องไว เพิ่งพูดจบก็แยกย้ายกันออกไปล่ตามกันหมดแล้ว
ส่วนทางด้านเฟิงเหลียนเซิ่งที่ยังไม่ทันได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองอะไรเลยสักนิด จู่ๆ ก็กลายเป็นผผู้มีพระคุณช่วยเหลือฉู่ซินรุ่ยเอาไว้ซะได้
โอกาสโดนฆ่าสังหารอยู่ตรงหน้า ฉู่ซินรุ่ยตกใจกลัวจนหัวหด เหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด เวลาผ่านไปได้ไม่นานเท่าไรนักแต่ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยเหงื่อ ผมเผ้าเปียกชื้นลู่ไปตามใบหน้า ดูแล้วช่างอิดโรยไร้สภาพยิ่งกว่าอะไร
เฟิงเหลียนเซิ่งโมโหเกรี้ยวกราดแต่ไม่สามารถระบายออกมาได้ เขากระตุกมุมปากขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้มจ้องมองนาง
ฉู่ซินรุ่ยเองก็รู้ดีว่าการกระทำที่นางทำลงไปคงทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางได้สบตาเข้ากับเขา ก็รีบก้มหัวลงไปอย่างรู้สึกผิด เอ่ยพูดเสียงเบาว่า “ค่ำคืนนี้มืดมิดลมแรงอันตรายยิ่งนัก องค์รัชทายาทยังจะเข้าวังอีกหรือเจ้าคะ? เป็นไปได้ไหม…ที่ข้าจะติดสอยห้อยตามไปด้วย?”
จวนอ๋องรุ่ยชินถูกนางทำลายไปด้วยน้ำมือตัวเอง อย่างไรก็ไม่มีทางหวนกลับไปได้อีกแล้ว
ตอนนี้สถานที่เดียวที่นางไปได้ก็คือพระราชวังนั่นเอง
เฟิงเหลียนเซิ่งปรายตามองนาง แววตาเต็มไปด้วยความเสียดสีเหยียดหยาม เอ่ยขึ้นพูดเสียงเย็นชาว่า “เกิดเรื่องเกินคาดคิดขึ้นกับข้าที่นี่ ตอนนี้ไม่สะดวก เชิญท่านหญิงไปเองเถอะ!”
ฉู่ซินรุ่ยเป็นหญิงจากตระกูลสูงส่ง ทั้งสถานภาพของรุ่ยชินอ๋องเองก็ใหญ่โต สถานะของนางเองก็เป็นที่น่าจับตามอง เพราะฉะนั้นตั้งแต่ลืมตาเกิดขึ้นมาก็มีแต่คนให้ความเคารพนับถือมาตลอด
แต่วันนี้นางกลับโดนปฏิบัติอย่างเย็นชาไร้เยื่อใย นางเองก็รู้ดีว่าสถานะไม่ได้ช่วยอะไร แต่ด้วยความที่ตอนนี้ไม่ใช่ในสถานการณ์ปกติ นางเองก็ไม่มีทางเลือกอื่น
“งั้นหรือเจ้าคะ? งั้นองค์รัชทายาทจะรอขุนนางมาหาที่นี่ หรือจะกลับไปยังจวนที่พักของท่านเจ้าคะ? ข้าขอตามไปด้วยนะเจ้าคะ ถึงตอนนั้นหากเดินทางผ่านหน้าประตูกองพลทหารราบ ท่านปล่อยข้าลงตรงนั้นก็พอแล้ว เดี๋ยวพวกเขาจะเป็นคนพาข้าเข้าวังเอง” นางสูดหายใจเข้าลึก ฝืนยิ้มแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง
จากตรงนี้กลับไปยังจวนที่พักของเฟิงเหลียนเซิ่ง อย่างไรก็ต้องผ่านศาลาว่าการพระนครอยู่แล้ว
เฟิงเหลียนเซิ่งถูกนางวางแผนจนไม่สามารถปฏิเสธคำร้องขอของนางได้ ใบหน้าของเขาก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ มืดมนขึ้นมาทันที เขาก้าวเท้าเดินออกไปเบื้องหน้า ไปตรวจดูคนที่ได้รับบาดเจ็บ
ฉู่ซินรุ่ยหันไปมองท้องฟ้าอันมืดมิดที่รายล้อมอยู่รอบตัวก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้น นางกัดฟันแล้วเดินหน้าตามเข้าไปแฝงตัวอยู่กับฝูงชน
ระเบิดมือที่ฉู่อี้เจี่ยนขว้างมานั้นสร้างความรุนแรงเสียหายอย่างใหญ่หลวง จนทำให้พื้นถนนขาดออกเป็นสองส่วน
และสถานที่แห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากศาลาว่าการพระนครมากนัก ไม่นานเท่าไรตู้ฉางหมิงก็พาคนเร่งฝีเท้าเข้ามาหา
เมื่อเห็นบนพื้นเต็มไปด้วยเลือดกับทหารที่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็เช็ดเหงื่ออย่างกังวลขึ้นมาฉับพลัน แต่เมื่อเห็นว่าเฟิงเหลียนเซิ่งสบายดีไม่เป็นอะไร ความรู้สึกนั้น…
มันก็เหมือนกับรอดชีวิตจากหายนะอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว!
————————————————-
[1] จั้ง เป็นหน่วยวัดระยะทางของจีน1จั้ง เท่ากับ 3.33 เมตร