“ข้าน้อยมาช่วยช้าเกินไป ทำให้องค์รัชทายาทได้รับความตกใจ ขอองค์รัชทายาทโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วยเถิด!” ตู้ฉางหมิงคุกเข่าลงไปหนึ่งข้างแล้วหมอบกล่าวขอโทษขอโพย
ถึงเฟิงเหลียนเซิ่งจะโมโหอย่างไรแต่เขาก็นับเป็นคนนอกอยู่ดี ไม่มีสิทธิไปอารมณ์เสียใส่คนของในวังได้หรอก
“เป็นเพราะข้าไม่ทันได้ระวังตัวเอง ไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้าหรอก” เฟิงเหลียนเซิ่งพูดขึ้นเสียงเรียบ ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์ยิ่งนัก เลยข่มตาลงแล้วเงียบไม่สนใจพวกเขา
ตู้ฉางหมิงเองก็รู้สึกทรมานใจเยี่ยงนัก แต่ก็ทำได้เพียงแค่เอ่ยถามอีกฝ่ายไปว่า “ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นหรือขอรับ? เมื่อครู่ข้าน้อยไปตรวจดูเห็นว่าถนนเส้นนั้นเหมือนถูกระเบิดดินปืนทำลายเลย ทำไม…”
“ท่านหัวหน้าตู้!” หลี่เหวยกำลังจะเอ่ยปากตอบแทนเขา ทว่าฉู่ซินรุ่ยกลับเดินขึ้นมาจากด้านหลัง
“ท่านหญิงฉางหนิงรึขอรับ?” ตู้ฉางหมิงเงยหน้ามองนางอย่างแปลกใจ
ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นภายในวังเป็นฝีมือของฉู่อี้เจี่ยน ดังนั้นเมื่อเห็นฉู่ซินรุ่ยอยู่คนเดียวกลางดึกในสถานที่แบบนี้ ทั้งยังไม่มีทหารองครักษ์ของจวนอ๋องรุ่ยชินคอยอยู่เคียงข้างเลยสักคน เขาก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
“เป็น…เป็นฝีมือของพี่ห้าเจ้าค่ะ!” ใบหน้าของฉู่ซินรุ่ยเจ็บปวดทรมาน เอ่ยพูดขึ้นอย่างยากลำบาก
นางพูดพลางก็หันไปมองเฟิงเหลียนเซิ่ง คุกเข่าให้อีกฝ่ายอย่างเคร่งขรึมจริงจังแล้วพูดว่า “ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของพี่ห้าของข้าเองเจ้าค่ะ จนทำให้องค์รัชทายาทเกือบได้รับบาดเจ็บถึงแก่ชีวิต ข้าขออภัยโทษองค์รัชทายาทแทนเขาด้วย เดี๋ยวข้าจะเดินทางเข้าวัง ข้าจะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ฮ่องเต้รับทราบเอง ถึงเวลานั้นฮ่องเต้จะตอบแทนให้ท่านอย่างสาสมแน่นอนเจ้าค่ะ!”
ผู้หญิงคนนี้กดสถานะของตัวเองจนต่ำต้อยเรี่ยดินถึงขนาดนี้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เต็มอกว่านางกำลังเล่นละครอยู่ เฟิงเหลียนเซิ่งเองก็ยิ่งไม่สามารถอารมณ์เสียทำท่าทีดุดันออกมาได้อีก
“ท่านหญิงช่างเป็นคนน้ำใจงามเหลือเกิน!” เฟิงเหลียนเซิ่งกล่าว มุมปากกระตุกขึ้นยิ้ม แต่ทว่ามองอย่างไรแล้วรอยยิ้มนั้นมันก็ช่างแปลกตาเหลือเกิน
ฉู่ซินรุ่ยพยายามระงับอารมณ์จิตใจที่รู้สึกไม่ดีนั้นของตัวเองเอาไว้ ฝืนยิ้มออกมา จากนั้นก็หันไปพูดกับตู้ฉางหมิงว่า “ท่านหัวหน้าตู้เจ้าคะ หากท่านจัดการสะสางเรื่องราวตรงนี้เสร็จแล้ว วานช่วยไปส่งข้าเข้าวังหน่อยนะเจ้าคะ ข้ามีธุระเร่งด่วน ต้องการขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
ขบวนทัพของเฟิงเหลียนเซิ่งถูกโจมตี นับว่าเป็นเรื่องใหญ่หลวงนัก
ตู้ฉางหมิงไม่มีทางปล่อยไปโดยไม่สนใจเหตุการณ์ตรงนี้ไปได้ จึงเผยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกออกมาให้เห็น
เฟิงเหลียนเซิ่งมอง สุดท้ายก็เอ่ยพูดขึ้นอย่างเย็นชา “ช่างเถอะ เจ้าอยู่จัดการต่อที่นี่เถอะ เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะเข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้เหมือนกัน ทางเดียวกันพอดี เดี๋ยวให้ท่านหญิงฉางหนิงเดินทางเข้าวังไปกับขบวนทัพของข้าก็ได้!”
“หากเป็นเยี่ยงนั้น งั้นข้าก็ขอขอบพระทัยองค์รัชทายาทอย่างยิ่งขอรับ!” ตู้ฉางหมิงรีบกล่าวขอบคุณ
ฉู่ซินรุ่ยไม่รู้สึกแปลกใจกับการตัดสินใจของเฟิงเหลียนเซิ่ง การที่นางรอดพ้นจากความตายมาได้หวุดหวิด มันทำให้นางเริ่มรู้สึกใจเย็นสงบนิ่งลง จึงค่อยๆ เริ่มคิดวางแผนเรื่องในอนาคต
เฟิงเหลียนเซิ่งรู้สึกไม่ดีไปทั้งเนื้อทั้งตัว นำขบวนทัพของตนมุ่งหน้าเดินทางต่อไปด้วยใบหน้าเย็นชาแข็งทื่อ
ฉู่ซินรุ่ยนั่งอยู่ในรถม้าคันด้านหลังที่ตู้ฉางหมิงเตรียมไว้ให้ นางคิดวางแผนโดยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตลอดทาง
หลี่เหวยตามหลังเฟิงเหลียนเซิ่งไม่ห่าง ระหว่างทางก็หันมองรถม้าที่ตามหลังอยู่เป็นระยะๆ ทนมานานสุดท้ายก็อดไม่ได้ จึงเอ่ยพูดว่า “องค์รัชทายาทขอรับ คุณชายหรงผู้นั้นเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ข้าเดาทางเขาไม่เคยออกเลยสักครั้ง ทำไมเขาต้องบีบให้ท่านเดินทางเข้าวังให้ได้แบบนี้ด้วยล่ะขอรับ? หรือว่าเขาคิดอยากกดดันให้องค์ชายเจี่ยนกับท่านปะทะกันอีกครั้งหรือ? ที่จริงก่อนหน้านั้นก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นในวังอยู่ก่อนแล้ว อีกอย่างคนของพวกจวนอ๋องรุ่ยชินก็เป็นแพะรับบาปอยู่ก่อนแล้วเช่นกัน ตอนนี้หากมีคดีเพิ่มเข้าไปอีกแบบนี้ มันก็ยิ่งเป็นการทำให้เรื่องวุ่นวายขึ้น ไม่มีผลประโยชน์อันใดที่จับต้องได้เลยนะขอรับ!”
“หรงเลี่ยงั้นรึ?” เฟิงเหลียนเซิ่งพูดเสียงลอดไรฟันออกมาแล้วยิ้มอย่างเย็นเยียบ “เขาจะทำไปเพื่ออะไรได้ล่ะ? ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำลงไป มันก็หนีไปพ้นเรื่องของฉู่สวินหยางหรอก! เจ้าไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไรกันแน่ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาคิดจะอะไรอยู่ ทว่า…ตอนนี้อุตส่าห์มีความเมตตาวางอยู่ตรงหน้า ในเมื่อเขากล้าเอ่ยปากพูด แล้วคิดว่าข้าจะไม่กล้ารับไว้หรือไง? ตอนนี้จะไปคิดอะไรให้มากความอีก? รอดูต่อไปก็รู้ได้แล้วนี่จริงไหม?”
“แต่ว่า…” ทว่าอย่างไรหลี่เหวยก็ยังรู้สึกไม่วางใจ “หลายปีมานี้ เขาไม่เคยโผล่หน้าในวังเลยสักครั้งนะขอรับ เขาเพียงหลบซ่อนอย่างลึกลับแบบนี้ แล้วพอมาถึงที่นี่เขาก็กระทำการเลวร้ายผิดมหันต์ลงไป เข้าไปมีส่วนร่วมกับการแย่งชิงบัลลังก์ของแคว้นซีเยว่ วิธีการและจิตใจเจ้าเล่ห์เช่นนี้เราจะมองข้ามไปไม่ได้เลยนะขอรับ ท่านจะเชื่อเขาได้จริงๆ งั้นหรือ?”
หลี่เหวยพูดออกมาราวกับว่ามีอะไรปิดบังอยู่ เขาสั่งให้องครักษ์ข้างกายที่ปกป้องอารักขาอยู่ข้างเฟิงเหลียนเซิ่งให้ถอยออกมา เมื่อมั่นใจว่ารอบข้างไม่มีผู้ใดอยู่แล้ว ถึงค่อยพูดขึ้นอย่างระมัดระวังกลัวว่าความลับจะหลุดออกไป “อีกอย่างไม่ว่าจะพูดอย่างไร ท่านอานอ๋องกับเขาก็เป็นน้าหลานกันแท้ๆ นะขอรับ!”
ภายในแววตาของเฟิงเหลียนเซิ่งเผยให้เห็นอะไรบางอย่างที่เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับขึ้นมา จากนั้นก็ทอดมองออกไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนอันกว้างไกลแล้วยิ้มออกมา “เจ้าคิดว่าเขาไม่น่าเชื่อถืองั้นหรือ ทว่าข้ากลับคิดว่า การที่เขาทำได้ทุกอย่างโดยไม่สนใจว่าจะใช้วิธีไหนนั้น…สำหรับข้าแล้วมันกลับเป็นเรื่องดีมากเลยล่ะ!”
คนที่มีหลักการมักจะให้ความสำคัญกับคุณธรรมและมิตรภาพความรัก
แต่คนอย่างเหยียนหลิงจวินแล้ว…
เขาทำไปเพราะต้องการทำให้ฉู่สวินหยางดีใจเท่านั้น ขอเพียงแค่แย่งชิงตำแหน่งให้วังบูรพามาได้ ไม่ว่าวิธีนั้นจะสกปรกแค่ไหนเขาก็กล้าทำ!
ถึงแม้ว่าเฟิงอี้จะเป็นน้าชายเขาแท้ๆ ก็ตาม…
เมื่อก่อนเฟิงเหลียนเซิ่งคิดว่าการมีอยู่ของเหยียนหลิงจวิน สำหรับเขาแล้วมันอันตรายยิ่งกว่าอะไรดี แต่ช่วงนี้เขากลับรู้สึกดีถึงการมีอยู่ของอีกฝ่ายขึ้นมา
เขาไม่กลัวหรอกว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนที่ทำได้ทุกวิถีทางโดยไม่สนใจแยแสความสัมพันธ์และมิตรภาพ
อย่างไรก็ตาม…
จุดอ่อนของคนคนนั้นก็เด่นหราอยู่ตรงหน้าแบบนั้นแล้ว เขาจะกลัวอะไรอีกเล่า?
จู่ๆ อารมณ์ความรู้สึกในแววตาของเฟิงเหลียนเซิ่งก็เปลี่ยนไป ถึงแม้หลี่เหวยจะยังรู้สึกไม่วางใจ แต่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก เขาก็ทำได้แค่เงียบปากไม่พูด
จากนั้นพวกเขาก็เดินทางเข้าวังไป
ในขณะเดียวกันทางด้านประตูวังก็ได้มีการเปลี่ยนเวรทหารยามกันแล้ว
ขบวนทัพของเฟิงเหลียนเซิ่งยิ่งใหญ่มากโข แต่คนส่วนใหญ่ในขบวนไม่สามารถติดตามเขาเข้าวังไปด้วย จึงต้องปล่อยให้รออยู่ด้านนอก
สุดท้ายคนที่ติดตามเขาเข้าวังไปได้ก็มีแต่เขา หลี่เหวย และฉู่ซินรุ่ยรวมกันเป็นสามคน
จากนั้นพวกเขาก็ขึ้นนั่งบนเกี้ยวภายใต้การอารักขาของกองทหารองครักษ์มุ่งหน้าเข้าไปยังด้านในด้วยความรวดเร็ว
ตอนนี้เป็นเวลาช่วงสิ้นเดือนแปดแล้ว แสงจันทร์ในค่ำคืนวันนี้ก็ไม่ได้ส่องสว่างอยู่เป็นทุนเดิม ยิ่งทางด้านตำหนักที่บรรทมของฮ่องเต้นั้นยังเกิดเพลิงไหม้ลุกลาม เผามอดไหม้มาได้สองชั่วยาม[1]แล้ว ทั้งยังลุกลามไปถึงตำหนักที่อยู่รอบข้างจนบดบังท้องฟ้าและแสงที่สาดส่องลงมาจนมิด ทำให้ทั้งพระราชวังถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันขโมง เพียงแค่เดินทางเข้ามา ใบหน้าก็เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นควัน ไม่ต้องคิดถึงเลยว่าอยากจะแหงนหน้ามองดูดาวดูจันทร์พวกนั้นเลย
ตำหนักที่บรรทมของฮ่องเต้ถูกเผาไหม้ เลยทำให้เขาต้องย้ายไปนอนที่ตำหนักเจียวไท่เป็นการชั่วคราว
เกี้ยวทั้งสองถูกยกไล่ตามหลังกันจนมาถึงหน้าประตูใหญ่
เฟิงเหลียนเซิ่งและฉู่ซินรุ่ยลงจากเกี้ยวมาทีละคน
เฟิงเหลียนเซิ่งเองก็คร้านที่จะสนใจนาง เลยก้าวเท้าเดินนำหน้าออกไปก่อน
ฉู่ซินรุ่ยยังคงรู้สึกหวาดกลัว ยืนลังเลอยู่บนขั้นบันไดจนเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ถึงค่อยตัดสินใจถลกกระโปรงเดินเข้าไปด้านใน
เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในพระราชวังขนาดนี้ พวกขุนนางข้าราชการทุกคนต่างก็หูตาไวตอบสนองเร็วยิ่งกว่าเดิม แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ทราบข่าวคราวด้วยวิธีและช่องทางที่ไวที่สุด รีบร้อนกันเข้าวังมาถามไถ่ให้ควั่ก
เมื่อพวกเขาเฟิงเหลียนเซิ่งและฉู่ซินรุ่ยเดินทางมาถึงตอนนั้น ภายในท้องพระโรงก็มีผู้คนก้มหมอบคำนับอยู่เต็มไปหมดแล้ว
ฉู่ซินรุ่ยเห็นภาพยิ่งใหญ่ทรงพลังตรงหน้าก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว แต่ก็ทำได้แค่กัดฟันบังคับตัวเองไม่ให้ถอยหนี นางเดินเร็วขึ้นไปสองก้าว เพื่อไม่ให้ทิ้งระยะห่างจากเฟิงเหลียนเซิ่งมากนัก
ทั้งสองคนเดินตามกันก้าวเข้าไปด้านในทีละคน
ขณะนั้นฮ่องเต้กำลังได้รับการปรนนิบัติดูแลอยู่ในห้องอุ่นที่อยู่ด้านข้าง มีม่านบังตาห้อยปิดลงมา ทำให้ยังพอมองเห็นร่างกายช่วงบนของเขาที่นั่งพิงหมอนอยู่ลางๆ
สภาพของเขาดูอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรงเสียเหลือเกิน
“กระหม่อมมาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ!” เฟิงเหลียนเซิ่งทูลกล่าว แล้วทำความเคารพให้กับคนที่อยู่หลังม่านคนนั้น “ได้ยินมาว่าเกิดเรื่องขึ้นในวัง ทำให้ฝ่าบาทได้รับความตกใจไม่น้อย กระหม่อมมาเยี่ยมท่านช้าไป ฝ่าบาทอย่าได้ถือสาโทษโกรธกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ!”
“แค่ก…” ด้านหลังม่านนั้น ฮ่องเต้อ้าปากแต่ก็กลับไอโขลกออกมาก่อน
นางกำนัลที่ยืนอยู่ด้านข้างก็รีบไปช่วยประคองเขาเอาไว้
ฮ่องเต้โบกมือปัดแล้วพูดด้วยเสียงแหบกร้านว่า “เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว…”
น้ำเสียงของเขาแหบกร้าน ฟังดูแล้วอ่อนแรงอย่างชัดเจน
——————————————–
[1] หนึ่งชั่วยาม เท่ากับเวลาสองชั่วโมง