บทที่ 62 คนดีจริงเป็นเช่นนี้เอง ! (ต้น)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 62 คนดีจริงเป็นเช่นนี้เอง ! (ต้น)

“พี่เยี่ย !”

เหตุปัจจุบันสร้างความตื่นตะลึงอย่างที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว

จะมีคนสักกี่คนในเมืองหลวงที่อันหลานซิ่วยอมยกให้เป็น ‘พี่’ อาจจะมีบ้างแต่คงยากมาก

ด้วยเป็นผู้มีขั้นพลังยุทธ์สูงส่ง จึงถือว่านางต้องลดตัวเองลงมาอย่างมากในการคบค้าสมาคมกันคนผู้นี้ ชายหนุ่มผู้นี้เป็นเพียงคนธรรมดาสามัญเท่านั้นจริงหรือ ?

หลายคนลอบชำเลืองมอง พวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นซ่อนในแววตา !

แววตาของโม่สุ่ยชิงฉายร่องรอยแห่งความประหลาดใจ

นางรู้จักอันหลานซิ่ว ดังนั้นหญิงสาวจึงรู้ว่าทั่วเมืองหลวงมีคนเพียงไม่ถึงห้าคนที่มีความสำคัญกับนาง

ชายหนุ่มคนนี้คู่ควรกับการปฏิบัติด้วยความนุ่มนวลอ่อนโยนเช่นนั้นได้อย่างไร ?”

ฝ่ายองค์ชายใหญ่เจียงเหนียนเฉิงได้แต่ยืนทำหน้าเหยเก

ทรงรู้สึกว่าตนเองก้าวพลาดเสียแล้ว !

เมื่อเผชิญหน้ากันหญิงสาว เยี่ยฉวนจึงหันไปยิ้มให้ “ข้าไม่เป็นไร !”

พลันบุรุษรุ่นหนุ่มคนหนึ่งก็ได้พุ่งปราดเข้ามาตรงหน้าอันหลานซิ่ว เขาทรุดตัวลงพร้อมแสดงคารวะต่อ นางและกล่าวว่า “ผู้เยี่ยมยุทธ์อัน คนผู้นี้ใช้วาจาดูหมิ่นคุณหนูโม่และยังทะเลาะวิวาททำร้ายผู้คน เขาสมควรรับโทษอย่างยิ่ง ! โปรดให้ความเป็นธรรมด้วยเถิดขอรับผู้เยี่ยมยุทธ์อัน !”

อันหลานซิ่วจ้องเขม็งพร้อมถามว่า “เจ้าชื่ออะไร ?”

เมื่อเห็นว่านางใส่ใจถามไถ่ดังนั้น เขาจึงรู้สึกยินดีเปี่ยมล้นในใจจนรีบกระแทกกำปั้นกับฝ่ามือ “ข้าน้อยชื่อหลี่เฟิง เป็นคนตระกูลหลี่ขอคารวะท่านอันผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งแคว้นของรับ !”

อันหลานซิ่วหันมองหน้าเยี่ยฉวน หากมิได้พูดเอ่ยอะไร ทว่าเยี่ยหลิงกลับไม่สบายใจเมื่อเห็นดังนั้น นางรีบให้ความกระจ่างเสียเองว่า “พี่สาวเจ้าคะ พวกเขากลั่นแกล้งพวกเรา…”

ด้วยเหตุนี้เยี่ยหลิงจึงถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าให้แก่อันหลานซิ่วฟัง

ชั่วเวลาไม่นานต่อมา อันหลานซิ่วพลันหันกลับมาที่โม่สุ่ยชิงซึ่งตอนนี้สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

….เป็นข้อเท็จจริงที่ว่าตระกูลโม่ของนางเป็นตระกูลที่ทรงอำนาจนัก และหากจะกล่าวว่าอำนาจของ ตระกูลโม่นั้นมากเพียงใด ก็คงต้องบอกว่าแม้แต่สถานศึกษายักษ์ใหญ่อย่างสถานศึกษาฉางมู่ และสำนักอัปสรเมรัยก็ยังมิอาจหาญกระทำการอันจะก่อให้เกิดความขุ่นเคืองใจได้ก็แล้วกัน !

อันหลานซิ่วละสายตาจากคนตรงหน้าและกล่าวว่า “คุณหนูโม่ ตระกูลของเจ้าเป็นตระกูลชนชั้นสูง ในฐานะที่เป็นตัวแทนของตระกูล การกระทำหรือคำพูดของเจ้าย่อมเท่ากับตระกูลของเจ้าพูดหรือกระทำด้วยตัว เอง ฉะนั้นควรลดละนิสัยเด็กเอาแต่ใจลงเสีย เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไรเล่า ?”

โม่สุ่ยชิงปั้นสีหน้าเหยเก ไม่มีคำพูดออกจากปากแม้แต่คำเดียว

อันหลานซิ่วจ้องเขม็ง “เจ้าไม่ตอบเพราะนึกแค้นใจหรือไร ?”

สิ้นเสียงของอันหลานซิ่ว แรงกดดันลมปราณพลันแผ่กระจายออกจากกายไปในระยะไกล ฉับพลันร่างของโม่สุ่ยชิงก็โน้มลงราวกับมีภูเขาลูกใหญ่หล่นมากดทับหลังไว้ และไม่แต่เพียงเท่านั้น เพราะขาทั้งสองเองก็ข้างราวกับมีมือมาจับเข่าดัดให้งอลงอีกด้วย

ทุกคนพากันตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา

อันหลานซิ่วยามนี้กำลังอยู่ในอารมณ์เดือดจัด !

ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากพูดกับโม่สุ่ยชิงแม้แต่คำเดียว !

ท่ามกลางสายตาทุกคู่ โม่สุ่ยชิงถูกจับให้คุกเข่าลงกับพื้น แต่ถึงกระนั้นสองมือของนางยังกำมือแน่น แววตาเต็มไปด้วยความดุดัน

นางเป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่สวรรค์ประทานพร ใยจึงปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ ?

ขณะนั้นเอง ชายชราผู้หนึ่งพลันถลันออกมาขวางทางอันหลานซิ่ว เขาผู้นั้นลนลานทรุดตัวลงแสดง คารวะ “ผู้เยี่ยมยุทธ์อัน นางยังเยาว์วัยนัก จึงมักทำการโดยไม่ทันคิดไตร่ตรองให้รอบคอบ เวลานี้กลับทำให้ ท่านขุ่นเคืองใจแล้ว ขอให้ท่านโปรดละเว้นนางสักครั้งหนึ่งเพื่อเห็นแก่ท่านประมุขตระกูล ข้าน้อยจะขอบคุณ อย่างหาที่สุดมิได้ขอรับ ผู้เยี่ยมยุทธ์อัน !”

ได้ยินดังนั้นอันหลานซิ่วจึงปลดปล่อยอานุภาพพลังกลับคืน ทันทีที่ทำเช่นนั้น ร่างของโม่สุ่ยชิงพลัน หล่นวูบทรุดลงไปกองกับพื้น

อันหลานซิ่วมองโม่สุ่ยชิงนิ่งพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “กลับไปเสียและแจ้งแก่ประมุขของตระกูล โม่ด้วยว่าคุณชายเยี่ยเป็นสหายของข้า หากตระกูลโม่ยังข้องใจก็ให้มาพบข้าได้ทุกเมื่อ ถ้ามารู้ในภายหลังว่า ตระกูลโม่ยังตามอาฆาตแค้นเยี่ยฉวนสองพี่น้องเพราะเรื่องในครั้งนี้ ตัวข้าจะไปที่ตระกูลโม่ทวงถามความเป็น ธรรมให้แก่พี่น้องคู่นี้เอง !

ชายชรารีบพยักหน้าก่อนลนลานออกไปพร้อมโม่สุ่ยชิง

อันหลานซิ่วหันมาทางองค์ชายใหญ่ซึ่งใบหน้าถอดสีเล็กน้อย นางพูดอย่างใจเย็น “องค์ชายใหญ่ ท่านน่าจะรู้ว่าแคว้นเจียงของเราน้อยครั้งจึงจะมียอดคนถือกำเนิด ! แต่แล้วพระองค์กลับทรงคิดกำราบผู้เป็นยอด คนด้วยเหตุเพราะคิดถึงแต่ตัวเอง …มันช่างเป็นความคิดที่โง่เขลาและตื้นเขินอะไรเช่นนี้ !”

องค์ชายเจียงเหนียนเฉิงสีหน้าบอกบุญไม่รับ ทว่ามิกล้าโต้แย้ง !

ด้วยนางเป็นบุคคลที่แม้แต่องค์ฮ่องเต้ผู้เป็นบิดาของตนเองยังให้ความเกรงใจ

บุคคลภายนอกอาจไม่รู้ว่าอันหลานซิ่วสำคัญต่อแคว้นเจียงเพียงใด ทว่าพระองค์เองในฐานะสมาชิก ของราชวงศ์ย่อมรู้ดีที่สุด หากจะพูดให้ชัด ทั้งราชสำนักและบรรดาตระกูลขุนนางน้อยใหญ่แห่งแคว้นเจียงล้วน ยอมเสียสละพระองค์เองมากกว่าทำให้อันหลานซิ่วขุ่นเคืองใจแม้เพียงน้อยนิด !

ด้วยเหตุว่าแคว้นเจียงทุกวันนี้มีเพียงอันหลานซิ่วคนเดียวที่สามารถต่อกรพวกยอดคนและพวกจอม ยุทธ์มากฝีมือจากแคว้นอื่นได้ !

…อาจกล่าวได้ว่าเพราะมีอันหลานซิ่วอยู่จึงทำให้แคว้นเจียงเป็นชนชาติที่น่าเกรงขามต่อแคว้นเพื่อน บ้าน ทำให้พวกเขาเหล่านั้นไม่กล้าจู่โจมโดยไร้สติ !

“พระองค์ทรงถอนตัวเสียด้วยพระองค์เองจากตำแหน่งผู้พิจารณาคัดเลือกศิษย์รุ่นใหม่ และไม่ควรเข้า ไปยุ่งเกี่ยวกับหน้าที่นี้อีกเป็นเวลา 5 ปี !”

องค์ชายใหญ่ค้อมกายลงเพื่อแสดงคารวะจากนั้นจึงหันกลับ ก่อนออกทรงทอดเนตรมาทางเยี่ยฉวน ครั้งหนึ่งแล้วจึงเสด็จไป

อันหลานซิ่วหันมามอง “พี่เยี่ย เชิญ !”

เยี่ยฉวนฉวยข้อมือเยี่ยหลิงก่อนหันมาถาม “ข้าขอพาน้องสาวไปด้วยได้หรือไม่ ?”

อันหลานซิ่วคลี่ยิ้ม “ข้าไม่ขัดข้อง !”

อันหลานซิ่วหันกลับเดินออกไปพร้อมสองพี่น้องท่ามกลางสายตานับสิบคู่ที่มองตาม

ความเงียบงันปกคลุมทั่วทั้งบริเวณต่อไปอีกเนิ่นนาน

เวลานี้มืดค่ำแล้ว ทั้งสามคนเดินเคียงกันมาตามเส้นทางท่ามกลางความมืดและเงียบสงัด

อันหลานซิ่วเป็นฝ่ายเปิดฉากสนทนาด้วยเสียงอ่อนโยน “พี่เยี่ย หลังจากที่พวกเราแยกย้าย คิดไม่ถึง ว่าท่านจะสำเร็จในกระบี่ใจกระจ่างและยังลึกซึ้งในเคล็ดวิชาต่อสู้อีกด้วย แสดงว่าท่านใกล้จะสำเร็จถึงขั้น ปรมาจารย์แล้ว”

“เพียงชั่วแว่บเดียว ท่านก็สามารถอ่านพลังของข้าได้อย่างทะลุปรุโปร่งเลยหรือ ?” เยี่ยฉวนถาม เสียงเคร่ง

คำถามเดียวกันนี้เขาเคยนึกอยากจะถามนางตั้งแต่เมื่อครั้งพบกันที่เมืองชิงแล้ว