บทที่ 63 คนดีจริงเป็นเช่นนี้เอง ! (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 63 คนดีจริงเป็นเช่นนี้เอง ! (ปลาย)

อันหลานซิ่วเมื่อได้ฟังดังนั้นก็อดขำไม่ได้ “สายตาของข้าละเอียดมาก ดังนั้นจึงสามารถมองได้ทะลุถึง แก่นแท้วิชา”

เมื่อเห็นว่านางไม่ขยายความ เยี่ยฉวนจึงไม่ซักถามอีก

พลันนางหยุดเดินและหันมาประจันหน้ากับชายหนุ่ม “เหตุการณ์ที่เมืองหน้าด่านเป็นท่านที่สังหาร ทหารม้าเกราะดำแห่งแคว้นถังและยังกล้าขัดขวางกองทหารนับพันเพียงลำพังด้วย ใช่หรือไม่ ?”

เยี่ยฉวนมีสีหน้าฉงนใจยิ่ง “ท่านรู้ได้อย่างไร ?”

อันหลานซิ่วกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม “องค์หญิงเก้าเป็นสหายที่ดีที่สุดของข้า ! พระองค์ทรงเล่าให้ข้าฟัง ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ทั้งยังบอกเรื่องหนุ่มน้อยสวมชุดสีกรมท่าผู้มากับน้องสาว …ข้านึกแล้วว่าต้องเป็นท่าน !”

เยี่ยหลิงที่ได้ยินแบบนั้นพลันยิ้มหวานแล้วเดินเข้ามากอดแขนพี่ชายไว้แน่น

หญิงสาวออกเดินต่อไปช้า ๆ “พี่เยี่ย คนในเมืองหลวงนี้ช่างซับซ้อนนัก พวกเขาสนใจแต่ประโยชน์ของ ตัวเอง จะมีสักกี่คนที่ใส่ใจต่อความเป็นไปของชาติบ้านเมือง ? ข้าเชื่อเหลือเกินว่าถ้าวันนั้นคนพวกนี้ อยู่ที่เมืองหน้าด่าน คงไม่มีผู้ใดกล้าออกไปขัดขวางทหารเหมือนท่าน”

เยี่ยฉวนถามกลับด้วยเสียงอ่อนโยน “แม่นางอัน ท่านมีความกังวลเรื่องแคว้นเจียง ?”

หญิงสาวหัวเราะน้อย ๆ “เขตแคว้นก็คือครอบครัว ครอบครัวก็คือคนในครอบครัว สิ่งที่ข้าเป็นห่วงหาใช่ราชสำนักแต่เป็นแคว้นเจียง ท่านเข้าใจหรือไม่ ?”

ได้ยินดังนั้นชายหนุ่มก็พยักหน้าหงึก “ข้าเข้าใจแล้ว”

ส่วนลึกแล้วเยี่ยฉวนคิดไม่ต่างกับอันหลานซิ่ว

เยี่ยฉวนมีความเห็นแก่ตัวเฉกเช่นคนอื่นทั่วไป แต่หากบ้านเมืองกำลังมีภัย เขาเองก็เต็มใจที่จะยืนหยัดต่อสู้เช่นเดียวกับอันหลานซิ่ว ชายหนุ่มกับราชวงศ์เจียงหาได้มีบุญคุณที่ต้องทดแทนไม่ ทว่าเป็นผืนแผ่นดิน แคว้นเจียงต่างหากที่เขาห่วงใย !!

นางยังคงย่ำเท้าต่อไปโดยมีเยี่ยฉวนและเยี่ยหลิงเดินตาม

ภายใต้แสงจันทร์ส่องสว่าง อันหลานซิ่วในชุดสีขาวสะอาดช่างงดงามดั่งเทพธิดาเสด็จลงมาจากสวรรค์

หญิงสาวช่างสง่างามอะไรเช่นนี้ !

ในเวลานั้นอันหลานซิ่วพลันเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “พี่เยี่ย จิตใจของผู้คนในเมืองหลวงซับซ้อนยิ่ง ท่านเป็นผู้ ฝึกกระบี่ จึงมีจิตที่แน่วแน่ ดังนั้นทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดี”

เยี่ยฉวนมองตอบ “ขอบใจเจ้ามาก !”

ทันใดเขาพลันหยุดเดินพร้อมเอ่ยเชื้อเชิญ “ท่านจะต่อสู้กับข้าได้หรือไม่ ?”

ต่อสู้ !

เหตุที่ทำให้เยี่ยฉวนกระตือรือร้นจะต่อสู้กับผู้อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่มีพลังกล้าแกร่ง เป็นเพราะ เงาในหอคอยแห่งเรือนจำไม่อาจเป็นคู่ฝึกปรือให้เขาได้อีกต่อไป ทั้งด้วยตนเองรู้สึกค้างคาใจบางอย่าง อันเป็น ความคลุมเครือและยังไม่กระจ่างในขั้นพลังแข็งแกร่งที่ตนบรรลุเป็นผลสำเร็จ !

หลังจากที่นางได้ยินเยี่ยฉวนเชื้อเชิญมาเช่นนั้น อันหลานซิ่วจึงหันไปมองและยิ้มรับ

ยิ้มสดใสของนางสยบได้แม้สวรรค์และโลกมนุษย์ เพียงแค่สบรอยยิ้มนั้น เยี่ยฉวนก็เหมือนตกอยู่ใน ภวังค์แทบสูญเสียความเป็นตนเอง ทว่าไม่นานนักเขาก็เรียกสติกลับคืนมาได้ในที่สุด

แม้แต่เยี่ยหลิงซึ่งอยู่ข้าง ๆ ยังหลุดปากออกมา “พี่สาว ท่านสวยจัง !”

อันหลานซิ่วเอื้อมมือมาสัมผัสศีรษะของเด็กสาว “ความงามนั้นเป็นเพียงเปลือกนอก ความยิ่งใหญ่และสติปัญญหาต่างหากคือหัวใจสำคัญ !”

ว่าเสร็จนางก็หันกลับมองเยี่ยฉวนและยิ้ม “ไว้ท่านสำเร็จขั้นหลอมรวมลมปราณเมื่อใด ข้าจะสู้กับท่าน ตกลงไหม ?”

ขั้นหลอมรวมลมปราณ !

เช่นนั้นก็คงอีกไม่นาน คิดแล้วเยี่ยฉวนจึงพยักหน้ารับคำ “ได้ !”

หญิงสาวหยุดเดิน “พี่เยี่ย ข้าขอลา !”

ชายหนุ่มคารวะอำลาต่ออันหลานซิ่ว “แม่นางอัน ค่อยพบกันใหม่ !”

กล่าวจบพี่น้องพลันหันหลังเดินจากไป

ขณะเดียวกันเยี่ยหลิงยังหันมาโบกมืออำลาครั้งสุดท้าย เห็นได้ชัดว่าผู้เป็นน้องนิยมชมชอบในตัวนาง มากทีเดียว

หญิงสาวยืนมองสองพี่น้องเดินหายลับสายตาไป ก่อนละสายตาจากภาพนั้นแล้วมุ่งหน้าเดินโดยไม่ทันรู้ตัวว่ามีชายชรามายืนอยู่ข้าง ๆ

เสียงแหบต่ำแว่วมา “แม่นาง ยิ่งท่านสนิทสนมกับพวกเขาเท่าใด มันก็ยิ่งเกิดปัญหาใหญ่แก่เขาโดย ไม่ตั้งใจมากเท่านั้น !”

เสียงตอบกลับเบาแทบเป็นกระซิบ “พ่อบ้านหลิงกลับไปบอกทุกคน ข้าจะไม่ละเว้นถ้ามีใครกล้าแตะ ต้องสองพี่น้องตระกูลเยี่ย !”

คนแซ่หลิงมีรอยยิ้มเศร้า “คุณหนู หรือเป็นเพราะท่านไม่อยากไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขา ?”

“เจ้าคิดว่าข้าไม่ควรเป็นสหายกับเขาเช่นนั้นหรือ ?”

คนแซ่หลิงส่ายหน้า “คนผู้นี้สำเร็จและเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเคล็ดวิชาต่อสู้ตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งยัง สำเร็จในกระบี่ใจกระจ่าง นับว่าเป็นทั้งยอดฝีมือและโชคชะตายังเข้าข้าง คนเช่นนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ เลย หากท่านจะรับเขาไว้เป็นสหายด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนับว่าไม่ลำบากแม้แต่น้อย แต่ถ้าจะ…”

ชายชราพูดเพียงเท่านั้นแล้วชะงักไป เขาประจักษ์แก่ใจดีว่าคุณหนูผู้นี้ให้ความเอาใส่ใจต่อหนุ่มน้อยคนนั้นเป็นพิเศษ …ซึ่งนี่มิใช่เรื่องดีเลยแม้แต่น้อย !

อันหลานซิ่วถึงกับปล่อยหัวเราะคิก “ท่านหลิง ท่านกลัวข้าจะมีใจให้เขาเช่นนั้นหรือ ?”

คนแซ่หลิงสีหน้าเจื่อนไป “คุณหนู ท่านพูดตรงเกินไปแล้ว !”

“ท่านเองก็ไม่คิดสงวนท่าทีไว้บ้าง ?”

หญิงสาวหันกลับไปมองเส้นทางที่สองพี่น้องเดินลับไป “ข้าพบคนผู้นี้ที่เมืองชิง เห็นเขาปฏิบัติต่อน้อง สาวทำให้ข้ารู้สึกประทับใจ และยิ่งรู้สึกประทับใจมากขึ้นเมื่อได้รับรู้เรื่องที่เมืองหน้าด่าน”

กล่าวจบหันกลับมา บนในหน้าปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน “ที่แท้คนดีเป็นอย่างนี้เอง !”

ได้ยินแล้วพ่อบ้านชราพลันรู้สึกห่อเหี่ยวในอก

แต่ทว่าหญิงสาวกลับออกนำหน้าลิ่วไปเสียแล้ว

ชายชรายังอยู่ที่เดิมได้แต่รำพึงรำพัน “คุณหนู ท่านยังไม่รู้จักเขาดีพอ ! หาไม่แล้วท่านจะอยู่อย่างยากลำบาก หรืออาจต้องทุกข์ระทมอย่างแสนสาหัส…”

คนภายนอกไม่ล่วงรู้ความหวั่นใจเกี่ยวกับคุณหนูดีเท่าตัวของชายชรา ชายใดที่จะมาครองคู่กับนาง เขาจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบทั้งฐานะทางสังคม วิชายุทธ์กล้าแข็ง เป็นยอดฝีมือ และมีชาติตระกูลสูงส่ง อย่างไร้ข้อหักล้าง !!

ในขณะที่เยี่ยฉวนนั้น หลังชายชราทำการสืบประวัติของเขาแล้ว ก็พบว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงลูกที่พ่อแม่ ทอดทิ้งไว้บนโลกกลมใบนี้เท่านั้น !

เพียงฐานะทางสังคมประการเดียว สำหรับคนทั้งสองแล้วมันก็ช่างห่างไกลกันเหลือเกิน

พ่อบ้าชราได้แต่ทอดถอนก่อนเดินตามนางไป

ที่สุดแห่งปลายเส้นทางนั้น เยี่ยฉวนแบกน้องสาวขึ้นหลังและค่อย ๆ เดินไปตามถนนที่ทอดยาว

“ท่านพี่ พี่อันสวยจัง…”

“อืม !”

“ท่านพี่ ท่านชอบนางหรือไม่เจ้าคะ ?”

“…”

“ท่านพี่ ท่านจะแต่งกับนางไหมเจ้าคะ ? ข้าว่าพี่อันเหมาะสมกับคนอย่างท่านพี่…”

“ท่านพี่ของเจ้าไม่มีอะไรสักอย่าง ข้าจะให้นางมามีชีวิตอยู่บนความไม่แน่นอนกับข้าได้อย่างไร ?”

“ท่านพี่ชอบนางไหมเจ้าคะ ?”

“ข้าห่วงแต่จะดูแลเจ้าตลอดไป !”

“ท่านพี่… ข้าก็จะอยู่กับท่านตลอดไป !”

“เด็กโง่ โตขึ้นเจ้าจะต้องแต่งงานกับใครสักคน !”

“ไม่ ไม่มีวัน !”

“เพราะอะไร ?”

“เพราะ… ข้าไม่เคยเห็นใครจะดีไปกว่าท่านพี่ของข้าอีกแล้ว”

“…”