บทที่ 121 ให้มันนอนไปให้พอ

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

สำหรับเทาเท่แล้วเงื่อนไขของจอร์แดนไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเขาสามารถจ้างนักเขียนบทที่เก่งๆได้มากมาย อย่างเช่นนักเขียนตัวท็อปแบบครูส

แต่เมื่อจอร์แดนเสนอเงื่อนไขนี้ออกมา ในใจเขาก็ปรากฏตัวเลือกที่ดีที่สุดขึ้นทันที ซึ่งก็คือหลินจือ

อย่างแรกเพราะเธอเป็นแฟนคลับตัวยงของจอร์แดน ย่อมรู้จักผลงานของจอร์แดนเป็นอย่างดี และเธอเคารพจอร์แดนมาก ตอนที่เขียนบทเธอจะต้องใส่ใจมากแน่นอน

ประการที่สอง ไม่ควรประเมินความสามารถของเธอต่ำไป

แม้ว่าเธอจะยังอายุน้อย แม้ว่าเธอจะยังเป็นน้องใหม่ในวงการเขียนบท แต่เขาก็เชื่อว่าสามารถเธอทำภารกิจสำคัญนี้ได้ เชื่อว่าเธอจะสามารถผ่านการทดสอบของจอร์แดนได้

ดังนั้นเขาจึงพูดกับจอร์แดนอย่างสบายๆว่า “เงื่อนไขที่คุณเสนอมาสมเหตุสมผลมาก ผมจะจัดหานักเขียนบทผลงานยอดเยี่ยมมารับการทดสอบการของคุณ”

จอร์แดนพอใจมาก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเรื่องปัญหาลิขสิทธิ์เราจะยังไม่รีบในตอนนี้ ผมอยากเห็นความสามารถของนักเขียนบทก่อน”

จอร์แดนเสริมอีกว่า “ผมขอบอกตามความจริง เพราะบริษัทของพวกคุณแต่ละแห่งจัดหานักเขียนบทมาไม่เหมือนกัน ดังนั้นผมต้องดูความสามารถของนักเขียนบทก่อน นักเขียนบทบริษัทไหนที่ทำให้ผมพอใจ ผมก็เซ็นสัญญากับบริษัทนั้น”

“ราคาไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผม” จอร์แดนเน้นย้ำสั้นๆในตอนท้าย

เรื่องนี้เทาเท่รู้ดี ว่ากันว่าจอร์แดนมาจากตระกูลเก่าแก่และร่ำรวยในเมืองเวลฟ์ ภูมิหลังครอบครัวคือบ้านเป็นบ้านที่สร้างล้อมรอบลานทั้งสี่ด้านแบบโบราณตั้งอยู่ข้างๆวังเฮอร์ แล้วจะขาดเงินได้อย่างไร?

และแม้จะไม่มีภูมิหลังครอบครัวแบบนี้ แค่เพียงเงินสะสมจากโลกของนักเขียนและนักเขียนบทในช่วงหลายปีที่ผ่านของจอร์แดน ก็เพียงพอที่จะร่ำรวยแล้ว

เหตุผลที่เขาให้ราคาสูงมากก็เพียงเพื่ออยากจะใช้วิธีนี้แสดงความจริงใจเท่านั้น

หลังจากที่ทั้งสองคุยกันเสร็จก็เดินออกจากร้านกาแฟไปที่ร้านหนังซือเทาน์นิสด้วยกัน ใกล้จะถึงเวลาเซ็นหนังสือของจอร์แดนแล้ว เทาเท่ก็เข้าร่วม

แต่ทว่าเป้าหมายต่อไปของเขาไม่ใช่จอร์แดนแล้ว แต่เป็นหลินจือที่มาร่วมงานเซ็นหนังสือด้วยเช่นกัน

หลังจากเข้าไปในร้านหนังสือแล้ว จอร์แดนก็ไปหาทีมของตัวเอง ไม่นานเขาออกต้องออกงานแล้ว

เทาเท่มองไปรอบๆห้องโถง แต่กลับไม่เห็นหลินจือเลย

เขาเหลือบมองนาฬิกาแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย งานเซ็นหนังสือกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วเธอยังไม่มาอีกเหรอ?

จากสิ่งที่เขารู้จักเธอเพียงเล็กน้อย เขาคิดว่าเธอไม่ใช่คนประเภทที่ไม่ตรงต่อเวลา

เมื่อเจอควีนอีกด้านของงาน เทาเท่ถามเธอว่า “ทำไมหลินจือยังไม่มาถึง?”

ควีนก็รู้สึกงง “ดิฉันไม่รู้ค่ะ เมื่อกี้ฉันยังส่งข้อความทางวีแชทหาเธอ แต่เธอไม่ตอบเลย”

เทาเท่สั่ง “รีบโทรหาเธอ”

ควีนรับคำสั่ง รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรหาหลินจืออย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าจะอยู่ในสถานะปิดเครื่อง

ควีนพูดกับเทาเท่อย่างแปลกใจ “เธอปิดเครื่องค่ะ”

คิ้วสวยทั้งสองของเทาเท่ขมวดกันแน่นยิ่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ไม่ปกติ

ตามหลักแล้วตอนนี้หลินจือควรอยู่ในงานเซ็นหนังสือได้แล้ว โทรศัพท์ก็ไม่ควรจะปิดเครื่อง

เธอเป็นคนละเอียดรอบคอบมาก เพื่องานเซ็นหนังสือวันนี้แล้ว เธอจะต้องชาร์จแบตโทรศัพท์ให้เต็มล่วงหน้าแน่นอน เพราะยังไงเดี๋ยวเธอก็ต้องถ่ายรูปกับจอร์แดน

ควีนเริ่มโทรหาหลินจืออีกครั้งและลองส่งข้อความเสียงทางวีแชทถึงเธอ

เนื่องจากโทรไม่ติดครั้งแล้วครั้งเล่า ลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจเทาเท่ก็ยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ

เขาหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมา โทรหาโซเมน แล้วสั่งโดยไม่ให้ถาม “รีบให้คนไปตรวจสอบกล้องวงจรบริเวณใกล้ๆบ้านของหลินจือ แล้วสะกดรอยตามข่าวของเธอทันที”

“เอ๋?” โซเมนงุนงง “เกิดอะไรขึ้น?”

เทาเท่ตอบเขาว่า “ไม่สามารถติดต่อเธอได้ รู้สึกไม่ค่อยชอบมาพากล”

“นายรีบให้คนไปตรวจสอบ ให้เร็วที่สุด!” เขากำชับโซเมนอีกครั้งแล้ววางสาย

โซเมนไม่กล้าละเลย เขารีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารีบทำตามที่บอก

ในเวลาเดียวกัน หลังจากวางสายแล้วเทาเท่ก็โทรหาจอนห์ที่อยู่บริษัทอีก “ตรวจสอบหน่อยว่าวันนี้พินอินขึ้นเครื่องแล้วรึยัง?”

พินอินบินไปต่างประเทศวันนี้ ถ้าเขาจำไม่ผิด ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาขึ้นเครื่องของพินอินแล้ว

จอนห์ส่งข้อความตอบกลับเขาอย่างรวดเร็ว “ประธานเทาเท่ครับ ทางสายการบินบอกว่าเธอไม่ได้ขึ้นเครื่องเลยครับ ตอนนี้ทั้งระบบไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับเธอเลย”

จอนห์ยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จึงพูดด้วยความปวดหัว “เธอพลาดตกเครื่อง ตั๋วที่ถูกซื้อเลยเปล่าประโยชน์”

ถ้าเธอไม่อยากไปในวันนี้ เขาก็ไม่ต้องจัดการก็ได้

แต่ในเมื่อทุกอย่างวางแผนไว้แล้ว แล้วตอนนี้เธอไม่ไป ก็เสียเงินเปล่าไม่ใช่หรือ?

แม้ว่าเจ้านายของพวกเขาจะมีเงิน แต่ไม่สามารถใช้อย่างฟุ่มเฟือยแบบนี้ได้

หลังจากที่เทาเท่ฟังคำตอบของจอนห์ เขาก็แทบจะระเบิดด้วยความโกรธ

เขาแน่ใจแล้วว่าการที่หลินจือไม่สามารถติดต่อได้เกี่ยวข้องกับพินอิน

เขารู้ว่าพินอินโทษหลินจือเรื่องที่เขาส่งเธอไปต่างประเทศ แต่เขาไม่ได้คิดว่าพินอินจะกล้าขนาดนี้ จนถึงขั้นกล้าลงมือกับหลินจือ

ตอนนี้เป็นสังคมที่ปกครองด้วยกฎหมาย การที่พินอินทำแบบนี้เป็นการก่ออาชญากรรม!

หลังจากวางสายของจอนห์แล้ว เทาเท่ก็รีบออกไปข้างนอกเพื่อโทรหาพินอิน

ตอนแรกพินอินไม่รับสาย แต่ต่อมาอาจเป็นเพราะเป็นห่วงพี่ชายอย่างเขา หลังจากเวลาผ่านไปอยู่นานเธอจึงรับสาย “พี่คะ เกิดอะไรขึ้น?”

เทาเท่นั่งอยู่ในรถพอดี พอได้ยินแบบนั้นก็พูดเข้าประเด็น “พินอิน ปล่อยหลินจือซะ”

พินอินไม่มีทางยอมรับ “อะไร อะไรคือให้ปล่อยหลินจือไปคะ? ฉันไม่รู้ว่าพี่พูดถึงอะไร?”

เทาเท่กัดฟันขึ้นเสียง “พี่จะพูดอีกครั้ง ปล่อยหลินจือไปซะ ไม่อย่างนั้นเธอจะต้องรับผลที่ตามมา”

เขาไม่ได้ทำแค่เพียงพูดอย่างแน่นอน ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับหลินจือขึ้นมา เขาจะบีบคอพินอินด้วยตัวเองโดยไม่สนว่าเธอจะเป็นน้องสาวแท้ๆของเขาหรือไม่ก็ตาม

เมื่อถูกคำพูดที่เย็นชาและรุนแรงข่มขู่ พินอินรู้สึกหงุดหงิดทันที แล้วยอมรับออกมาเลย

เธอตะโกนอย่างบ้าคลั่ง “ฉันไม่ปล่อย!”

“มีความสามารถก็มาหามัน ช่วยมันเอง!” พินอินหัวเราะไปด้วยพูดไปด้วย “แต่ฉันเดาว่ากว่าพี่จะเจอยัยนี่ มันก็คงกลายเป็นรองเท้าเน่าไปแล้ว”

“พี่คะ พี่ยังไม่รู้สินะว่า ฉันหาผู้ชายให้ยัยนี่แล้วสองสามคน ให้มันได้นอนไปให้พอ”

“พินอิน!” เทาเท่คำรามเสียงดัง “เธอจะบ้าเหรอ!”

เทาเท่ไม่สามารถจินตนาการถึงภาพสกปรกที่พินอินกล่าวได้ เขาโกรธจนแทบจะระเบิดออกมา มือที่บังคับพวงมาลัยเริ่มสั่น

พินอินกลับไม่ใส่ใจนัก “พี่คะ ทำไมต้องโกรธขนาดนั้นด้วย? ฉันก็ทำเพื่อแก้แค้นแทนพี่นี่ไง?”

“ยัยนี่มันชอบปีนขึ้นเตียงผู้ชายนักไม่ใช่เหรอ? งั้นครั้งนี้ฉันจะปล่อยให้เธอปีนให้พอ!” น้ำเสียงของพินอินเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “ถ้าไม่ใช่เพราะมัน คุณปู่ก็คงไม่หยุดรักฉัน ถ้าไม่ใช่เพราะมัน แล้วฉันจะถูกพี่ส่งไปต่างประเทศได้ยังไง!”

ตอนนั้นเองโซเมนโทรเข้าโทรศัพท์อีกเครื่องของเทาเท่ หลังจากเทาเท่รับสายก็ได้ยินโซเมนพูดจากอีกฝั่งหนึ่งว่า “หาคนตรวจสอบกล้องวงจรแล้วนะ วันนี้ตอนเช้าทันทีที่ออกบ้านเธอถูกรถตู้พาตัวไป ปลายทางคือโกดังเก่าแห่งหนึ่งทางเหนือของเมือง”

เทาเท่ตอบรับเพื่อบอกว่าเขารู้แล้ว จากนั้นก็กระแทกพวงมาลัยขับตรงไปที่โกดังร้าง