[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 517: ยังไม่แข็งแกร่งพอ!
ใบหน้าของฉินตงเฉี่วยแดงก่ำ เรือนร่างสวยงามที่สั่นเทิ้มนั้นหันหลังกลับไปทันที และกำลังจะเดินจากไป
“น้าหญิง..” หลิงหยุนเอ่ยปากเรียกโดยไม่หันกลับไปมอง
“อะไรของเจ้าอีกล่ะ..?” ฉินตงเฉี่วยหันกลับมาถามห้วนๆ
“ท่านรู้จักอารามจิ้งซินหรือไม่? แล้วอยู่ที่ใด?” หลิงหยุนถามขึ้นในที่สุด
แม้จะรู้ดีว่าคำถามเช่นนี้เป็นการทำลายบรรยากาศที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แต่หลิงหยุนก็จำเป็นต้องถาม เพราะเขาต้องการไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิงกลับมา
ฉินตงเฉี่วยรู้ดีว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงได้ถามถึงอารามจิ้งซิน ในใจของนางรู้สึกเสียดแทงราวกับถูกมีดแทง และแววตาเขินอายเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้นมาทันที
“ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว! อารามจิ้งซินอยู่บนเขาชิงเฉิงในมณฑลเสฉวน..” แต่ถึงแม้จะไม่พอใจ ฉินตงเฉี่วยก็ยังคงตอบหลิงหยุนไป
ทันทีที่ได้ฟัง ลูกนัยน์ตาของหลิงหยุนถึงกับสั่น เนตรหยินหยางของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำและขาววูบหนึ่งจึงค่อยๆดับลง
“น้าหญิง.. ท่านคิดว่าอารามจิ้งซินจะส่งลูกศิษย์ไปร่วมงานชุมนุมปราบพรรคมารในเดือนหน้าด้วยหรือไม่?” หลิงหยุนถามขึ้นทันที
แม้ว่าหลิงหยุนจะยืนหันหลังให้.. แต่ปฏิกิริยา และท่าทางทุกอิริยาบทของฉินตงเฉี่วยนั้น เขากลับเห็นได้อย่างชัดเจนด้วยจิตหยั่งรู้ แต่เขาก็จำเป็นต้องถาม เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิง
ฉินตงเฉี่วยเม้มริมฝีปากรูปงามเล็กน้อย ก่อนจะตอบเสียงเบาว่า “อารามจิ้งซินเป็นที่รู้จักมีชื่อเสียง พวกเขาจะต้องส่งคนไปร่วมงานด้วยอย่างแน่นอน!”
ริมฝีปากของหลิงหยุนแสยะออกเป็นรอยยิ้มที่ดูเยือกเย็น ก่อนจะพยักหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไรอีกเลย..
ฉินตงเฉี่วยที่กำลังจะก้าวเดินจากไปนั้น แววตาของนางเต็มไปด้วยความสับสนและครุ่นคิด แล้วจู่ๆก็ถามขึ้นมาว่า
“หลิงหยุน.. เจ้าบอกความจริงข้ามา กำลังภายในของเจ้าตอนนี้อยู่ขั้นใหนกันแน่?”
หลิงหยุนที่กำลังภาวนาอยู่ในใจเงียบๆ ได้แต่ส่ายหัวไปมาช้าๆ พร้อมกับตอบไปว่า “น้าหญิง.. ข้าฝึกฝนด้วยตนเอง เรื่องลำดับขั้นอะไรพวกนั้น.. ข้าไม่รู้และไม่เข้าใจจริงๆ ข้ารู้เพียงว่า.. ข้าสามารถสังหารหลิวซุ่ยเฟิงได้ภายในสามกระบวนท่า!”
“ห๊ะ.. นี่เจ้ามั่นใจว่าจะสามารถสังหารหลิวซุ่ยเฟิงได้ภายในสามกระบวนท่างั้นรึ?”
ฉินตงเฉี่วยร้องถามออกมาอย่างตกใจ ริมฝีปากสวยงามยั่วยวนของนางอ้าออกกว้างด้วยความตกตะลึง!
หลิวซุ่ยเฟิงนั้นเป็นหนึ่งในสิบอันดับศิษย์ที่มีฝีมือยอดเยี่ยมของสำนักดาบสวรรค์ ตอนนี้เขายังอายุไม่ถึงสามสิบ แต่กลับสามารถฝึกฝนจนเข้าสามารถเข้าสู่ระดับเริ่มต้นของขั้นเซียงเทียน-5 ได้แล้ว
แต่ตอนนี้.. หลิงหยุนกลับบอกว่าเขานั้นสามารถ..
เช่นนี้ย่อมหมายความว่ากำลังภายในของหลิงหยุนนั้น อย่างน้อยก็ต้องอยู่ในขั้นเซียงเทียน-6 แล้วสิ!
ฉินตงเฉี่วยที่ตอนนี้อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-3 และเข้าใกล้ที่จะผ่านเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-4 ได้ตลอดเวลา แต่เพราะหลายวันมานี้นางมัวแต่เป็นห่วงหลิงหยุนจนไม่มีกะจิตกะใจที่จะฝึกฝน
ฉินตงเฉี่วยมาจากตระกูลสามัญชน และนางก็นับว่าเป็นทายาทของตระกูลที่มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกกำลังภายในและวรยุทธ แต่ก็ต้องยอมรับว่าฝีมือของนั้นด้อยกว่าหลิวซุ่ยเฟิงซึ่งมาจากตระกูลจอมยุทธเก่าแก่
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฉินตงเฉี่วยจะไม่เก่งพอ หรือว่ายังฝึกฝนไม่หนักพอ สาเหตุที่นางด้อยกว่าหลิวซุ่ยเฟิงนั้น เหตุผลหลักก็คือเรื่องของปัจจัยในการฝึก ซึ่งไม่ต่างจากคนจนและคนรวยนั่นเอง
หลังจากที่เกิดเหตุการณ์กับฉินจิวยื่อแล้ว ตระกูลฉินก็ค่อยๆเสื่อมถอยลงไปตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมา และด้วยมรดกของตระกูลฉิน จึงทำให้ปัจจัยในการฝึกฝนไม่อาจเทียบเท่าตระกูลจอมยุทธที่เก่าแก่อย่างตระกูลหลิวได้ เรียกได้ว่าเทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว
แม้ว่าฉินตงเฉี่วยจะเชื่อมั่นในพรสวรรค์ของตนเองอย่างมาก และทุ่มเทชีวิตทั้งหมดให้กับการฝึกวรยุทธแล้ว ก็ยังนับว่ายากเย็นแสนเข็ญมาก กว่าที่นางจะฝึกจนเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-3 ได้ แต่ในขณะที่หลิวซุ่ยเฟิงกลับรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับนาง
ชีวิตของฉินตงเฉี่วยที่ผ่านมามีเพียงเรื่องการฝึกกำลังภายใน และการฝึกวรยุทธเท่านั้น จุดประสงค์ที่นางอุทิศชีวิตให้กับการฝึกฝนนั้น ก็เพื่อปกป้องครอบครัว และตระกูลของตนเองจากการถูกตระกูลอื่นๆที่แข็งแกร่งกว่ารุกราน
ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลก็คือ.. ความทุกข์ทรมานอย่างใหญ่หลวงจากความผิดพลาดเมื่อสิบแปดปีที่แล้วของพี่สาวนาง – ฉินจิวยื่อ ด้วยนิสัยของฉินตงเฉี่วย.. นางจึงคิดเรื่องแก้แค้นให้กับพี่สาว และตระกูลฉินมาโดยตลอด ดังนั้นนางจึงยอมละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต และทุ่มเทให้กับการฝึกฝน และพัฒนาความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง!
ฉินตงเฉี่วยนั้นนับว่าเป็นผู้ฝึกฝนที่มีพรสวรรค์อย่างมากคนหนึ่ง ความก้าวหน้าที่รวดเร็วของนางนั้นเรียกได้ว่าเร็วจนถึงกับต้องอ้าปากค้าง และต่างเป็นที่รู้กันในสำนักดาบสวรรค์ว่านางเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างมากคนหนึ่ง
ตัวของฉินตงเฉี่วยเองก็นับว่าเป็นผู้ฝึกบ่มเพาะที่มีพรสวรรค์อย่างมากคนหนึ่ง ความรวดเร็วในการก้าวหน้านั้นเร็วจนถึงกับต้องอ้าปากค้าง และนางก็เป็นที่รู้กันในหมู่บ้านดาบสวรรค์ว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างมากคนหนึ่ง
แต่ฉินตงเฉี่วยกลับคิดไม่ถึงว่า เพียงแค่เกือบหนึ่งเดือนที่หลิงหยุนไม่อยู่ เขาจะก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ใจเช่นนี้ แม้แต่ฉินตงเฉี่วยเองก็ไม่เคยพบเห็นใครที่เป็นเหมือนหลิงหยุนมาก่อน
หลิงหยุนนั้นนับว่าอยู่เหนือบรรดาผู้เป็นเลิศด้านนี้ทุกคน จากที่ฉินตงเฉี่วยได้พบเห็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนมามากมาย หากนำมาเทียบกับหลิงหยุนแล้ว คนเหล่านั้นกลับไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง!
แต่เมื่อฉินตงเฉี่วยได้ยินหลิงหยุนเอ่ยชื่ออารามจิ้งซินขึ้นมา นางก็นึกเป็นห่วงหลิงหยุน เพราะรู้ดีว่าศิษย์ของอารามจิ้งซินหลายคนได้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-7 แล้ว หรือไม่ก็อาจเหนือกว่านั้น หากหลิงหยุนไปที่นั่นในเวลานี้ คงยากที่จะรอดกลับออกมาได้
“หลิงหยุน.. ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี และรู้ว่าเจ้าเก่งและแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใด! แต่หากเจ้าต้องการไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิง ข้าขอบอกว่า.. ด้วยความสามารถของเจ้าในเวลานี้ ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้!”
แม้ว่าฉินตงเฉี่วยจะตกใจกับความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างน่ากลัวของหลิงหยุน แต่นางก็เป็นห่วงความปลอดภัยของหลิงหยุนมากเช่นกัน
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มบางๆ และตอบไปว่า “ขอบคุณน้าหญิงที่เป็นห่วง! ข้ารู้ดีว่าตัวเองยังแข็งแกร่งไม่เพียงพอ แต่ข้าจะตั้งใจฝึกให้หนัก..”
ตอนนี้หลิงหยุนเริ่มเข้าใจดาวเคราะห์ดวงนี้ได้กระจ่างแจ้งมากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้ธรรมดาเหมือนอย่างที่คนทั่วไปพบเห็น เพราะเขาเองก็ได้พบเจอตระกูลต่างๆหลายตระกูลในประเทศศนี้มาแล้ว และก็เริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้นเช่นกัน
จากที่หลิงหยุนได้เคยพบเจอตระกูลใหญ่ๆหลายตระกูลมา ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลง ตระกูลเฉิน หรือตระกูลซัน ซึ่งยังมีตระกูลอื่นๆอีกมากมายนั้น หลิงหยุนยังไม่สามารถเอาชนะตระกูลเหล่านั้นได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วยซ้ำ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงนิกายลับ และตระกูลจอมยุทธเก่าแก่อีกมากมาย
หลิงหยุนรู้ตัวดีว่าเขานั้นยังไม่แข็งแกร่งมากพอ และยังคงห่างไกลอยู่มาก เขาจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองให้รุดหน้า และแข็งแกร่งให้ได้มากเท่าที่เขาจะสามารถทำได้!
แต่ถึงกระนั้น หลิงหยุนก็ไม่ได้รีบร้อนมากนัก เพราะตอนนี้เขาได้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-7 แล้ว การจะก้าวเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-9 นั้น ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ยากสักเท่าไหร่..
เพราะสำหรับหลิงหยุน ตราบใดที่มีพลังชีวิตที่มากพอ เขาก็จะสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-9 ได้ก่อนที่จะสอบเอนทรานซ์อย่างแน่นอน หรือไม่แน่ว่าอาจจะสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่เลยก็ได้ หากทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาได้วางแผนไว้..
และเพราะอสุนีบาตน่าสยดสยองที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับเขา แต่ก็กลับเกิดขึ้นนั้น ทำให้เขาได้รับประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล แม้เพียงแค่อยู่ในขั้นปรับร่างกาย-7 แต่เขากลับสามารถมีจิตหยั่งรู้ที่แข็งแรงในระดับหนึ่ง การเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-9 จึงเป็นปรากฏการณ์ที่นับว่าเป็นไปได้มากสำหรับเขา
หลิงหยุนมีความมั่นใจอย่างมาก เพราะเขารู้ดีว่าเขาจะมีพลังชีวิตที่เพียงพออย่างแน่นอน!
ไม่ว่าจะเป็นน้ำลายมังกรในน้ำเต้าวิเศษ ค่ายกลหลุมพลังที่อยู่ในบ้านเลขที่-1 ของเขา หญ้าน้ำลายมังกร สมุนไพรชีฉียู่ หญ้าหยาง หญ้าหยิน และพลังชีวิตจากกล่องหยก
อีกทั้งเขายังสามารถไปฝึกฝนที่ตลาดค้าของเก่าได้ เพราะที่นั่นเองก็มีพลังชีวิตมากมาย
และหลิงหยุนสามารถใช้การบ่มเพาะเคียงคู่กับกงเสี่ยวลู่ หรือเหยาลู่ได้อีก เรียกได้ว่าหญิงสาวทั้งสองคนนั้นล้วนยินดี และเต็มใจอยู่แล้ว
พรสวรรค์ในตัวกงเสี่ยวลู่ และเหยาลู่นั้นอาจจะด้อยกว่าหลินเมิ่งหาน แต่หากหลิงหยุนได้บ่มเพาะเคียงคู่กับหญิงสาวทั้งสอง เขาเชื่อว่าจจะสามารถเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-8 ได้โดยไม่มีปัญหาอะไร..
“ถึงเวลาต้องไปพบมู่หลงเฟยจื่อ และซ่งเจิ้งหยางแล้วสินะ..”
หลิงหยุนมองคลื่นที่ซัดไปมาอยู่ในทะเลพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ..
ฉินตงเฉี่วยยืนมองแผ่นหลังของหลิงหยุนที่ตั้งตรงอย่างมั่นใจ นางสัมผัสได้ถึงการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วยความหวั่นใจ แต่ก็ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้เช่นกัน
“หลิงหยุน.. หากเจ้าต้องการจะไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิงจริงๆ ข้าก็จะสนับสนุนเจ้า แต่เจ้าต้องฝึกฝนจนแข็งแกร่งพอก่อนแล้วจึงค่อยไป เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ฉินตงเฉี่วยเม้มริมฝีปากแน่นขณะที่เอ่ยแนะนำหลิงหยุน..
“น้าหญิง.. ท่านไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้รีบร้อนไปตอนนี้!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็หันหลังกลับไป เขาจ้องมองดวงตาคู่งามของฉินตงเฉี่วย และพูดขึ้นอย่างมั่นใจใจ “ยังเวลาอีกตั้งหนึ่งเดือนกว่าข้าจะไปถล่มอารามจิ้งซิน!”
แม้ว่าฉินตงเฉี่วยจะไม่กล้ามองตาหลานชายของตนเองตรงๆ นางก็สัมผัสได้ถึงความโกรธเกรี้ยวในใจของหลิงหยุน แต่ก็ไม่ลังเลที่จะออกมาเมื่อนึกขึ้นมาได้
“หลายวันก่อนน้องสาวของเฉิงเม่ยเฟิง – เฉิงเมี่ยน แวะเวียนมาหาเจ้าที่บ้านเสมอ นางถามว่าเจ้าไปทำอะไรที่ใหน?”
“ปล่อยนางไป.. ท่านไม่ต้องไปใส่ใจ!”
สีหน้าของหลิงหยุนเรียบเฉย และไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ เขาไม่ชอบเฉิงเมี่ยน หากไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นน้องของเฉิงเม่ยเฟิง หลิงหยุนแทบจะไม่เสียเวลาไปใส่ใจเธอเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าเด็กดื้อ.. ในเมื่อเจ้ามีเรื่องครุ่นคิดมากมายเช่นนี้ ข้ากลับเข้าบ้านไปก่อนจะดีกว่า!”
ฉินตงเฉี่วยรู้สึกว่าไม่ได้รับความสนใจจากหลิงหยุน นางจึงไม่ต้องการอยู่ที่นั่นต่อ และทันทีที่พูดจบ ร่างงดงามของนางก็ราวกับหมอกขาวที่จางหายไปในทันที และเพียงแค่สองก้าวก็หายลับตาหลิงหยุนไปเสียแล้ว
-น้าหญิง.. ไว้สอบเอนทรานซ์เสร็จ ข้าจะตามท่านไปที่เขาหลงหู่ด้วย!-
หลิงหยุนยังคงยืนนิ่ง เขาใช้กระแสจิตบอกฉินตงเฉี่วย นางจึงได้ยินอย่างชัดเจน
ฉินตงเฉี่วยกลับไปที่บ้าน ส่วนหลิงหยุนก็หันกลับไปมองทะเลที่เวิ้งว้างสุดลูกหูลูกตาต่อ ด้วยสภาพจิตใจที่กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงไม่ต่างจากคลื่นในทะเล
“พลังชีวิตในร่างกายข้ายังคงเหลืออยู่มาก แล้วก็ยากที่จะใช้มันหมดได้ในเวลาอันเรวดเร็ว ทำให้ยากที่จะเข้าสู่ขั้นต่อไปได้..”
“อีกทั้งจุดตันเถียน และเส้นลมปราณที่แปลกประหลาด ก็สามารถรวบรวมพลังหยินหยางได้รวดเร็วมากว่าเดิมหลายเท่า..”
“หลิงหยุน.. ต่อไปเจ้ามิต้องดำไปฝึกใต้ทะเลเลยหรืออย่างไร..?!”
หลิงหยุนจำได้ว่าครั้งก่อนนั้น เขาต้องใช้แรงต้านของกระแสน้ำ และใช้หม้อเสินหนงหมุนอยู่นานกว่าจะใช้พลังชีวิตไปจนหมด
“ไม่เป็นไร.. หากต้องทำเช่นนั้น ก็คงต้องทำ!”
หลิงหยุนพึมพำพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ..
หลิงหยุนยังคงยืนนิ่งราวกับรูปปั้นที่งดงามสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เขายืนครุ่นคิดเรื่องสำคัญหลายๆเรื่องจนกระทั่งใกล้ค่ำ เขาจึงกลับไปที่บ้าน
ทันทีที่กลับไปถึงบ้าน.. หลิงหยุนก็เรียกหนิงหลิงยู่ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และเปี่ยมไปด้วยความรัก..
“หลิงยู่.. ตั้งแต่วันนี้ไปพี่จะสอนวรยุทธให้กับเธอ”