[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]

บทที่ 518: สอนกระบี่นวะสังหารให้กับฉินตงเฉี่วย!

“พี่ใหญ่.. พี่จะสอนวรยุทธให้ฉันจริงๆเหรอคะ?”

หนิงหลิงยู่ดีอกดีใจที่หลิงหยุนกลับมาถึงบ้านก็บอกว่าจะสอนวรยุทธให้กับตนเอง เธอดีอกดีใจและตื่นเต้นจนหน้าแดง เพราะเมื่อครู่เธอเองก็เพิ่งจะอิจฉาฉินตงเฉี่วยที่หายออกไปจากบ้านด้วยกับหลิงหยุนสองต่อสอง..

“จริงสิ.. ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของร่างกายหรือจิตใจ เธอก็พร้อมทั้งหมดแล้ว เวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับเธอที่จะฝึกวรยุทธที่สุด พี่จะสอนให้เธอเอง!

ฉินตงเฉี่วยที่กลับมาถึงบ้านตั้งแต่บ่ายนั้น ก็พบว่านางเองก็ไม่สามารถละสายตาจาหลิงหยุนได้..

หลิงหยุนไม่พูดพร่ำเพรื่ออีก.. เขาสั่งให้หนิงหลิงยู่ไปหยิบกระดาษกับปากกามาให้ จากนั้นก็ลงมือเขียนเคล็ดวิชาดาราคุ้มกาย และวิชาคลื่นคงคาลงไปในกระดาษ เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็ส่งให้หนิงหลิงยู่

เพื่อสร้างร่างซึ่งเป็นกายอัปสรนี้ให้กับหนิงหลิงยู่ หลิงหยุนต้องใช้เวลาไปกว่าห้าชั่วโมงในการถ่ายเทพลังอมตะจำนวนมาหาศาเข้าไปในร่างของเธอ

“หลิงยู่.. ท่องเคล็ดวิชาพวกนี้ให้ขึ้นใจ และจำไว้ว่าเพียงแค่ท่องเท่านั้น อย่าด่วนฝึกฝน ต้องรอจนกว่าพี่ใหญ่จะเป็นผู้สอนให้เท่านั้น..” หลิงหยุนบอก+ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

หนิงหลิงยู่ยื่นสองมือออกไปรับกระดาษสองสามแผ่นที่หลิงหยุนส่งให้ และบรรจงถือไว้ราวกับได้สมบัติล้ำค่ามาครอบครอง..

แต่จะว่าไปแล้ว.. กระดาษสองสามแผ่นนั้นก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ เพราะมันคือเคล็ดวิชาคลื่นคงคาที่ไม่ได้ด้วยไปกว่าวิชาพลังลับหยินหยางเลยแม้แต่น้อย

ร่างของหนิงหลิงยู่นั้นเป็นกายอัปสร ซึ่งเป็นร่างมีคุณสมบัติหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธาตุน้ำกับไม้ หลิงหยุนจึงต้องการถ่ายทอดวิชาคลื่นคงคาที่เขาเห็นว่าเหมาะสมกับหนิงหลิงยู่ให้

“จำไว้ว่าต้องท่องทุกคำให้ขึ้นใจ ท่องทีละคำจนกว่าจะจำได้หมด แล้วพี่ใหญ่จะเป็นคนทดสอบเธอด้วยตัวเอง.. เข้าใจใช่มั๊ย?” หลิงหยุนย้ำหนิงหลิงยู่ด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครั้ง

สีหน้าของหนิงหลิงยูเปี่ยมไปด้วยความสุข หลิงหยุนจึงหันไปยิ้มให้ฉินตงเฉี่วยพร้อมกับถามขึ้นว่า

“น้าหญิงท่านหิวหรือยัง? ถ้าหิวแล้ว.. ข้าจะไปทำอาหารให้ท่านทาน?”

ฉินตงเฉี่วยไม่ได้ทานอาหารเที่ยง และตอนนี้ก็เริ่มหิวมากแล้ว และยิ่งนึกถึงรสชาติอาหารที่แสนอร่อยของหลิงหยุน นางก็ได้แต่กลืนน้ำลายแล้วพูดเร่งเร้าหลิงหยุน

“นี่เจ้ายังจะรออะไรอยู่อีก? รีบไปทำอาหารให้ข้ากินได้แล้ว! จริงด้วยสิหลิงยู่.. เจ้าเองก็ยังไม่ได้ทานข้าวเที่ยงนี่..”

“ข้าจะไปทำเดี๋ยวนี้แล้ว..” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเดินตัวปลิวเข้าไปในห้องครัว

ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ภายในบ้านเลขที่-9 ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ

แน่นอนว่าหลิงหยุนต้องผสมน้ำลายมังกร โสม และสมบัติล้ำค่าอื่นๆอีก ทันทีที่อาหารเสร็จเรียบร้อย หนิงหลิงยู่ที่กำลังสนอกสนใจกับเรื่องวรยุทธ ก็รีบลุกขึ้นและหมดความสนใจในทันที

ทั้งสามคนนั่งลงรับประทานอาหารเย็นที่แสนอร่อยกันอย่างมีความสุข หลังจากทานอาหารกันเรียบร้อยแล้ว และด้วยฤทธิ์ของน้ำลายมังกรกับโสมที่กินเข้าไป ทำให้ฉินตงเฉี่วยรู้สึกว่าตนเองจะสามารถผ่านเข้าสู่ขั้นต่อไปได้แล้ว นางจึงรีบบอกหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่ว่าจะกลับไปที่ห้องนอนดังเช่นปกติ

แต่หลิงหยุนกลับร้องบอกให้ฉินตงเฉี่วยรอเขาสักครู่ จากนั้นจึงเดินเข้าไปหยิบถ้วยใบใหญ่ออกมา และรีบจัดการรินน้ำลายมังกรลงไปจนเต็มถ้วยแล้วยื่นให้กับนาง

น้ำลายมังกรตรงหน้านั้นเป็นสีใสราวกลับผลึกแก้ว กลิ่นหอมที่น่าดึงดูดนั้นทำให้ฉินตงเฉี่วยที่แม้จะอิ่มมากแล้ว ก็ยังยากที่จะปฏิเสธได้

“น้าหญิง.. นี่เป็นน้ำลายมังกร ท่านดื่มเข้าไปให้หมดแล้วรีบกลับไปฝึก มันจะช่วยให้การฝึกฝนของท่านรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วเกินกว่าจะคาดคิดเชียวล่ะ!”

แต่จู่ๆ น้ำตาของฉินตงเฉี่วยก็ไหลพราก และร่างบอบบางของนางก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง..

ฉินตงเฉี่วยเริ่มฝึกฝนวรุยทธเกือบจะเรียกได้ว่าตั้งแต่อยู่ในท้องมารดาด้วยซ้ำไป แต่เพราะนางขาดแคลนโอสถที่จะช่วยในการฝึกฝน ทำให้ที่ผ่านมานางต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนักด้วยตนเอง เพื่อที่จะทำให้ตนเองสามารถก้าวหน้าทัดเทียมศิษย์พี่น้องคนอื่นๆที่มีโอสถเพิ่มความแข็งแกร่ง

ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา.. นางจึงรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาถึงขั้นฝึกไปพร้อมกับปาดน้ำตาไปด้วย..

แต่ตอนนี้หลิงหยุนกลับมอบน้ำลายมังกรให้กับนางซึ่งนับว่าเป็นสมบัติล้ำค่า เช่นนี้แล้วจะไม่ให้ฉินตงเฉี่วยตื่นเต้น และตื้นตันได้อย่างไรกัน?

หลิงหยุนเห็นแล้วถึงกับถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “น้าหญิง.. ท่านเป็นอะไร..?!”

ฉินตงเฉี่วยถอนหายใจน้ำตาเอ่อ.. นางประคองถ้วยที่ใส่น้ำลายมังกรไว้สองมือ และยกขึ้นดื่มโดยไม่ให้หกแม้แต่หยดเดียว

หลิงหยุนได้แต่ส่ายหน้า ที่จู่ๆอารมณ์ของน้าหญิงก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน เมื่อครู่นางยังตื่นเต้นดีใจกับน้ำลายมังกรอยู่เลย แต่แล้วจู่ๆกลับร้องไห้ หลิงหยุนไม่เข้าใจว่าน้ำลายมังกรถ้วยใหญ่นี้มีความหมายต่อหญิงสาวเช่นฉินตงเฉี่วยอย่างไร?

สองชั่วโมงต่อมา.. ฉินตงเฉี่วยก็สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-4 ได้ และเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-4 ได้ในเวลาถัดมาทันที..

ฉินตงเฉี่วยใกล้จะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5 ได้ด้วยซ้ำไป แต่นางรู้สึกว่านั่นจะเป็นการก้าวหน้าที่ก้าวกระโดดจนเกินไป และอาจเป็นผลเสียต่อความเสถียรของกำลังภายในในระดับย่อยๆของนางได้ นางจึงยังไม่รีบร้อนที่จะเข้าสู่ขั้นต่อไปเร็วนัก

ฉินตงเฉี่วยต้องการความเสถียรในแต่ละระดับมากกว่าขั้นที่สูง และสัมผัสได้ว่าตอนนี้พลังชี่ในร่างกายของนางนั้นมีมากขึ้นเป็นสองเท่า

หลังจากฝึกฝนเสร็จแล้ว.. ฉินตงเฉี่วยก็เดินออกมาจากห้องนอนของตนเอง ท่ามกลางแสงจันทร์ที่สาดส่อง นางเห็นร่างสูงใหญ่ของหลิงหยุนที่ยืนอยู่ลานหน้าบ้าน กำลังดูดซับเอาพลังจันทรา และพลังดาราอีกนับล้านๆดวงเข้าไป

 “สวรรค์.. นั่นมัน..”

ฉินตงเฉี่วยเดินออกไปนอกบ้าน และจู่ๆ ก็เห็นแสงสีเหลืองนวลของพระจันทร์ทอดลงมาราวกับสายน้ำตก และร่างของหลิงหยุนก็ถูกครอบไว้ด้วยแสงสว่างพวกนั้น

“ดูช่างทรงพลังเสียเหลือเกิน..!”

ฉินตงเฉี่วยได้แต่แอบถอนหายใจ และเริ่มเข้าใจว่าเหตุใดมือของหลิวซุ่ยเฟิงจึงแทบหักคามือหลิงหยุน

ฉินตงเฉี่วยเข้าสู่ระดับย่อยที่สี่ของวิชาดาราคุ้มกาย นางจึงรับรู้ถึงประโยชน์มหาศาลของวิชานี้

วิชาดาราคุ้มกายนั้นให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดในเรื่องของการปรับปรุงสภาพร่างกาย และเพิ่มสมรรถภาพในการปกป้องร่างกายให้กับผู้ฝึก ในเวลาเดียวกันก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งในการฝึกบ่มเพาะสำหรับผู้ที่เริ่มฝึกด้วย

ระหว่างที่ฉินตงเฉี่วยเดินออกมานั้น หลิงหยุนเองก็เพิ่งฝึกเสร็จ และกำลังสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะค่อยๆผ่อนคลายร่างกายด้วยการยืดแขนยืดขา

เขาหันหลังกลับไปมองฉินตงเฉี่วยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “น้าหญิง.. ข้ายินดีกับท่านด้วย กำลังภายในของท่านแข็งแกร่งขี้นกว่าเดิมแล้ว..”

“ตอบข้ามา.. เหตุใดเจ้าจึงสอนวิชาคลื่นคงคาให้กับหลิงยู่ แต่ไม่ยอมสอนให้ข้า?”

ฉินตงเฉี่วยนึกขุ่มมัวอยู่ในใจ เพราะนางรู้สึกว่าวิชานี้น่าจะเป็นวิชาที่มีอานุภาพค่อนข้างน่ากลัว..

“เอิ่ม..”

หลิงหยุนรู้ดีว่าฉินตงเฉี่วยนั้นเป็นพวกที่คลั่งไคล้การฝึกวรยุทธ และรู้ว่านางกำลังเข้าใจผิด.. เขาจึงได้แต่หัวเราะและตอบไปว่า

“น้าหญิง.. วิชาคลื่นคงคามีอานุภาพมากก็จริง แต่ก็เป็นวิชาสำหรับบ่มเพาะกำลังภายใน ไม่เหมาะกับท่านที่มีกำลังภายในสูงส่งแล้ว..”

หลิงหยุนมองออกว่าฉินตงเฉี่วยนั้นมีธาตุใหญ่สองธาตุที่เด่นชัด ซึ่งก็คือธาตุทอง และธาตุไฟ และทั้งสองธาตุนี้ไม่เหมาะที่ฉินต้งเฉี่วยจะฝึกวิชาคลื่นคงคา

แต่ในเมื่อนางเอ่ยปากออกมา หลิงหยุนเองก็ไม่มีอะไรทำอยู่พอดี อีกทั้งเมื่อครั้งยังอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น เขาเองก็เรียนรู้วรยุทธ และวิชาที่ใช้ในการบ่มเพาะมามากมาย แต่วิชาเหล่านั้นก็ยังไม่เหมาะที่จะฝึกให้กับฉินตงเฉี่วยในเวลานี้ เพราะฉินเตงเฉี่วยก็ฝึกจนถึงขั้นเซียงเทียน-4 แล้ว เรียกได้ว่ากำลังภายในของนางนั้นไปไกลกว่าขั้นพลังชี่ของโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ด้วยซ้ำไป

“น้าหญิง.. วิชาบ่มเพาะที่ข้ารู้มานั้น ส่วนใหญ่ต้องอาศัยการทำสมาธิเข้าฌาน จึงขัดแย้งกับวรยุทธที่ท่านฝึกอยู่”

ฉินตงเฉี่วยขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกผิดหวัง จากที่เธอเห็นความแข็งแกร่งของหลิงหยุนที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนั้น แต่กลับไม่มีวิชาใหนเหมาะกับนางเลย.. เช่นนี้แล้วจะไม่ให้นางรู้สึกผิดหวังและเศร้าใจได้อย่างไรกัน?

“นี่.. ไม่มีอะไรที่ข้าจะฝึกได้เลยหรือยังไง?”

อารมณ์ดีๆของฉินตงเฉี่วยพังทลายลงด้วยความผิดหวัง นางกระทืบเท้าพร้อมกับร้องออกมาอย่างไม่พอใจ

แต่หลิงหยุนกลับเพียงแค่ยิ้มและตอบไปว่า “น้าหญิง.. อย่าได้ร้อนใจไป! ข้าจะหาวิธีแก้ปัญหาพวกนี้ให้กับท่าน และวันหน้าท่านจะต้องฝึกฝนได้อย่างแน่นอน”

ความแข็งแกร่งของหลิหยุนในเวลานี้นับว่าแข็งแกร่งกว่าฉินตงเฉี่วย แต่ตอนนี้เขากลับอยู่เพียงแค่ขั้นปรับร่างกาย และเมือใดก็ตามที่เขาเข้าสู่ขั้นพลังชี่-4 คงยากที่จะหาผู้ใดเทียบได้!

หลิงหยุนยิ้ม และเรียกกระบี่มังกรขาวออกมา!

“น้าหญิง.. ท่านถือกระบี่นี่ไว้ ข้าจะสอนเพลงกระบี่ให้กับท่าน”

กระบี่นวะสังหาร! หลิงหยุนจะสอนเพลงกระบี่นวะสังหารให้กับฉินตงเฉี่วย!

เมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้ว กำลังภายในจะถูกกลั่นจนเข้าสู่จิตวิญญาณ จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็จะสามารถขยายขอบเขตออกไปได้ไกล ทำงานได้รวดเร็ว และเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง..

ถึงเวลานั้น.. เขาก็จะสามารถใช้จิตหยั่งรู้ของตนเองควบคุมมีดบิน และสามารถลงมือสังหารศัตรูที่อยู่ในระยะขอบเขตการทำงานของจิตหยั่งรู้ได้ เมื่อเวลานั้นมาถึงกระบี่นวะสังหารของเขาก็แทบจะไร้ประโยชน์

กระบี่นวะสังหารนั้นมีเพียงแค่สิบกระบวนท่าก็จริง แต่เป็นเพลงกระบี่ที่สามารถดัดแปลงได้ตลอดเวลา จึงค่อนข้างซับซ้อน และฝึกฝนได้ยากยิ่ง

ฉินตงเฉี่วยไม่เพียงเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านวรยุทธ แต่ยังเคยฝึกวิชาที่สำนักดาบสวรรค์อยู่นาน ดังนั้นเพียงแค่ได้ฟังหลิงหยุนบอกเคล็ดวิชา นางก็สามารถล่วงรู้ถึงความน่ากลัวของเพลงกระบี่นี้ได้

“เพลงกระบี่นี้ช่างรวดเร็ว และมุ่งสังหาร อีกทั้งยังสามารถดัดแปลงได้หลากหลาย..”

ฉินตงเฉี่วยถึงกับร้องอุทานออกมา หลังจากที่หลิงหยุนร่ายรำวิชากระบี่นวะสังหารให้ฉินตงเฉี่วยดูแล้ว เขาก็เริ่มฝึกสอนให้กับนาง

ในสำนักดาบสวรรค์นั้น ทุกคนล้วนเป็นเลิศในเรื่องของการใช้ดาบเป็นอาวุธ ฉินตงเฉี่วยเองก็เช่นกัน หลังจากที่มองดูหลิงหยุนร่ายรำวิชากระบี่นวะสังหาร นางก็แทบลืมเพลงดาบใดๆที่เคยได้ร่ำเรียนมาจากสำนักดาบสวรรค์จนหมดสิ้น เพราะไม่มีเพลงดาบใดจะเทียบได้กับเพลงกระบี่ที่หลิงหยุนกำลังร่ายรำอยู่นี้ได้เลย

ตลอดคืนนั้น.. หลิงหยุนตั้งหน้าตั้งตาสอนเพลงกระบี่นวะสังหารให้ฉินตงเฉี่วยอย่างตั้งอกตั้งใจ

และระหว่างที่ฉินตงเฉี่วยร่ายรำเพลงกระบี่อย่างตั้งอกตั้งใจอยู่นั้น หลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า

“น้าหญิง.. ข้ายังมีเรื่องต้องไปสาะสางอีกหลายเรื่อง ข้าขอ..” หลิงหยุนทำเสียงอ้อนวอนฉินตงเฉี่วย

“เจ้าจะไปใหนก็รีบไป.. แล้วก็อย่าลืมว่าต้องกลับมากินข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน”

ในเวลานั้นฉินตงเฉี่วยกำลังจดจ่ออยู่กับการฝึกกระบี่นวะสังหารที่ลึกลับซับซ้อน นางจึงไม่สนใจหลิงหยุนอีก และรีบไล่เขาให้ไปไกลๆ