164 : ปลาที่ติดเบ็ดหนีไปอีกแล้ว!

เป็นมหาเศรษฐีระดับพระเจ้าด้วยระบบลงชื่อ

ตอนที่ 164 : ปลาที่ติดเบ็ดหนีไปอีกแล้ว!

 

ในวันอาทิตย์ที่ทะเลวาบชิงหลง

 

เจียงเฉินได้เป็นเจ้าภาพนัดทั้งจางเทียนเหิง ลู่เว่ย โจวหมิงและเว่ยหย่งเซียงมาที่ทะเลสาบชิงหลงเพื่อตกปลา

 

ทุกคนต่างก็รู้จักกันแล้วทั้งนั้นดังนั้นพวกเขาจึงมานั่งตกปลากันอย่างสบายๆ

 

นั่งลง

 

ปล่อยเหยื่อ

 

รอ

 

ในระหว่างนั้นเจียงเฉินก็คอยหันไปพูดคุยกับทุกๆคน

 

เจียงเฉิน “พอดีผมตกปลาไม่เป็นหวังว่าพี่ๆจะออมมือให้ผมบ้างนะครับ”

 

จางเทียนเหิง “ฮ่าฮ่าฮ่า- ตกปลาก็คือการพักผ่อนจะไปสนใจมันทําไม?”

 

เจียงเฉิน “ยังไงก็ตามเรื่องก่อนหน้านี้ผมก็ต้องขอบคุณทุกคนจริงๆ”

 

ลู่เว่ยส่ายหัวแล้วพูดออกมา “ไม่เป็นอะไรหรอก ก็แค่ขุดข้อมูลนิดหน่อยๆเอง”

 

จางเทียนเหิงถามอย่างสงสัย “ฉันก็ได้ยินมาว่าหลิงหยุนคนนี้เป็นนักธุรกิจที่มีทรัพย์สินอยู่นับหมื่นล้าน แล้วเขามาทําให้นายขุ่นเคืองได้ยังไงกัน?”

 

เจียงเฉินที่ได้ยินก็เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานแต่งวันนั้นทันที

 

ทุกคนสายหัวแล้วหัวเราะกันออกมา

 

จางเทียนเหิงส่ายหัวแล้วพูดออกมา “หลิงหยุนคนนี้ดูท่าคงจะไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินหนานักกลับมาจากต่างประเทศ แล้วก็คิดว่าตัวเองนั้นยอดเยี่ยม แต่กลับไม่รู้ตัวเลยว่าในเมืองหลวงนั้นก็ยังมีเสือซ่อนมังกรหมอบแอบแฝงอยู่!”

 

โจวหมิงหัวเราะออกมา “หลิงหยุนคนนี้คงจะคิดว่าเจียงเฉินเป็นแค่คนส่งพัสดุแน่ๆและเขาก็คงคิดไม่ถึงว่าเจียงเฉินจะเป็นผู้ล่าที่ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำอย่างเงียบๆ!”

 

เว่ยหย่งเซียง “ถ้าฉันอยากจะทําตัวไม่โดดเด่นก็คงต้องมาปรึกษาเจียงเฉินแล้ว”

 

เจียงเฉินสายหัวแล้วพูดออกมาอย่ามถ่อมตัว “ทุกอย่างก็มาจากความช่วยเหลือของพี่ๆทั้งนั้นไม่งั้นคงจะจัดการเขาไม่ได้ง่ายแบบนี้แน่”

 

โจวหมิงพูดอย่างจริงจัง “ฉันคิดว่าหลิงหยุนคนนี้ชอบทําอะไรที่มันเสี่ยงเกินไปหน่อยแม้ว่าจะสามารถทํากําไรได้ในระยะเวลาสั้นๆแต่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องและแน่นอนว่ารากฐานก็ต้องไม่มั่นคงถ้าเกิดล้มลงมาก็คงไม่พ้นที่จะต้องเจ็บหนัก”

 

ลู่เว่ยหัวเราะแล้วพูดออกมา “พี่โจวหมิงพูดถูกแล้วเรื่องการค้าต่อให้เป็นทหารที่เดินเมื่อเดินท่ามกลางสนามรบก็ยังต้องเดินอย่างมั่นคง!”

 

ในเวลานี้เองเจียงเฉินก็หยิบบัตรสีดําที่มีลวดลายสีทองออกมา 4 ใบ

“ทุกคนครั้งนี้ผมได้เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของโรงแรมผางกู่และบัตรใบนี้ก็เป็นบัตรสมาชิกระดับสูงสุดของโรงแรมผางกู่ มันสามารถใช้สิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งจองเครื่องบินและแพคเกจทัวร์หรือจะเข้าไปนอนพักผ่อนในโรงแรมก็ได้ และก็ยังมีงานเลี้ยงธุรกิจระดับไฮเอนด์ที่จะจัดขึ้นเป็นครั้งคราว เพื่อสานสัมพันธ์กับผู้คนในแวดวงธุรกิจ..

 

เจียงเฉินบอกสิทธิประโยชน์ของบัตรออกมา

 

จางเทียนเหิงตกตะลึง “ผู้ถือหุ้นของโรงแรมผางกู่? น้องเจียงนายนี่รวยจริงๆ!”

 

โจวหมิง “นายมีหุ้นอยู่เท่าไหร่หรอ?”

 

เจียงเฉินยิ้ม “ไม่มาก กว่า 30% เอง”

 

ลู่เว่ยยกนิ้วโป้งให้

 

มากกว่า 30% ก็ต้องมีทุนอย่างน้อย 6 พันล้านถึงจะซื้อได้เพียงแค่นี้ก็ทําให้เห็นแล้วว่าเจียงเฉินนั้นมีเงินทุนมากขนาดไหนและทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างก็รู้กันดีว่า!

 

เจียงเฉินนั้นเป็นคนใหญ่คนโตขนาดไหน!

 

เพียงไม่เจอกันแค่ไม่กี่วันทรัพย์สินของเขาก็พุ่งพรวดขึ้นไปอีกแล้ว!

 

จางเทียนเหิงถามอย่างสงสัยอีกครั้ง “น้องเจียงเฉิน แล้วหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นกับหลิงหยุนงั้นหรอ?”

 

เจียงเฉินเล่าออกมา “เขาต้องเดินบนทางที่เต็มไปด้วยเศษแก้วยาวกว่า 8 เมตรผมถึงจะยอมบอกยกโทษให้แต่เขากลับยังเอาเงินทุน 1 พันล้านที่เขาไปลงทุนไว้มอบให้ผมอีก”

 

ซี๊ด~~~

 

เหล่าคนใหญ่คนโตต่างสูดหายใจเข้าด้วยความตกตะลึง!

 

ถนนเศษแก้วที่ยาวถึง 8 เมตรเดินด้วยเท้าเปล่าแค่คิดแล้วพวกเขายังเจ็บแทนเลย!

 

แถมเดินเสร็จแล้วยังไม่รู้สึกไม่สบายใจจนต้องมอบเงินให้อีก 1 พันล้าน!

 

เหล่าคนใหญ่คนโตต่างดีใจที่พวกเขานั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเจียงเฉินและสําหรับพวกเขานั้นพวกเขาจะล่วงเกินใครก็ได้แต่พวกเขาจะไม่มีวันล่วงเดินเจียงเฉินเด็ดขาด!

 

ในเวลานี้เอง

 

ทุ่นของจางเทียนเหิงที่ลอยอยู่เหนือน้ำก็จมลงไปหลายครั้ง

 

ความสนใจของทุกคนถูกดึงดูดทันที

 

“มาแล้ว!”

 

เมื่อทุกคนเห็นพวกเขาต่งก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่คือปลาใหญ่

 

จากนั้นไม่นานสายเบ็ดก็ถูกดึงออกไปเกิดคลื่นน้ำขนาดใหญ่ขึ้นเหนือผิวทะเลสาบพวกเขาสามารถเห็นปลาตัวใหญ่ขนาดอย่างน้อย 20 กิโลกรัมกําลังดิ้นรนอยู่และคันเบ็ดที่กําลังรั้งมันไว้ก็ถูกดึงจนงอ

 

ในขณะที่ทุกคนกําลังตื่นเต้น~~

 

ฟู่ ฟู่ ฟู่~~~~

 

เรือยอชท์ขนาดใหญ่ก็ขับเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

มันมาพร้อมกับเสียงเพลงที่ถูกเปิดจนดังสนั่น

 

“ฉันอยากจะบินไปบนท้องฟ้าเคียงข้างกับดวงอาทิตย์และโลกจะต้องรอฉันเปลี่ยนแปลง.”

 

เรือยอชท์ขับมาด้วยความเร็วจนก่อให้เกิดคลื่นน้ำขนาดใหญ่

 

และปรากฏว่าเรือลํานี้เข้ามาแทรกระหว่างเขากับปลาพอดีและมันก็ชนเข้ากับสายเบ็ดทําให้ปลาหลุดออกไป

 

บนหัวเรือยอชท์นั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งกําลังสายหัวแล้วโบกมือให้จางเทียนเหิงอย่างภาคภูมิใจ

 

“หวัด~~ลุง ตกปลามันจะไปสนุกอะไร? ขับเรือยอชท์สนุกกว่าเยอะ!”

 

“โอ้ขอโทษทีนะลุง ผมทําปลาลุงหลุดไปแล้ว!”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า~~”

 

ชายหนุ่มและหญิงสาวประมาณ 7-8 คนบนเรือยอชท์ส่งเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

 

ก่อนจะขับออกไปอย่างรวดเร็ว

 

ทะเลสาบก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง

 

จางเทียนเหิงอยากจะด่าคนพวกนั้นมาก

 

ครั้งก่อนปลาตัวใหญ่ของเขาก็โดนเรือลาดตระเวนของเจียงเฉินทําให้ตกใจแต่ตอนนั้นเขาไม่รู้สึกโกรธอะไร

 

แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับครั้งก่อน!

 

โจวหมิงพูดออกมา “พี่เทียนเหิงช่างมันเถอะ อย่าไปสนใจเด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่เลย”

 

จางเทียนเหิงหัวเราะออกมาทันที “พูดได้ดี! อย่าไปถือสาพวกเด็กกําพร้าแบบนี้ดีกว่า”

 

บรรยากาศกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

 

หลังจากตกปลาไปกว่า 1 ชั่วโมงพวกเขาก็ได้ปลามาไม่น้อยและยังมีปลาดําติดมาด้วยอีกตัว!

 

“ไป ไปกินข้าวเย็นที่คฤหาสน์ชิงหลงกัน”

 

ไม่นานทุกคนก็มาถึงคฤหาสน์ระดับไอเอนด์ คฤหาสน์ชิงหลง

 

พวกเขาเปิดห้องส่วนตัวและเริ่มสั่งอาหารทันที

 

ในเวลานี้เองหนิวเสี่ยวเฉียงชายหนุ่มที่ขับเรือยอชท์ก่อนหน้านี้ก็เดินเข้ามาในคฤหาสน์พร้อมกับเพื่อนของเขา

 

“เมื่อกี้ฉันหัวเราะแทบตาย ตอนที่ตาลุงนั่นกําลังจะจับปลาได้แล้วฉันเข้าไปแทรกตรงกลางทําให้ปลาดหลุดออกไปตอนที่เห็นหน้าเขาฉันอยากจะหัวเราะจริงๆ”

 

“ทักษะการขับเรือยอชท์ของลูกพี่หนิวสุดยอดจริงๆ!”

 

“คิดถึงสีหน้าของคนพวกนั้นแล้ว ผมยังอยากจะหัวเราะออกมาอยู่เลย”

 

คนกลุ่มนี้เข้ามานั่งที่โต๊ะและคุยไปหัวเราะกันไป

 

แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือเจียงเฉินและคนอื่นๆต่างก็อยู่ในห้องส่วนตัวที่ห่างออกไปไม่ไกลดังนั้นพวกเขาจึงได้ยินเสียงทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง

 

แม้จางเทียนเหิงจะใจกว้างแค่ไหนแต่เมื่อได้ยินแบบนี้สีหน้าของเขาก็เริ่มดูไม่ดีนัก

 

เว่ยถามออกมา “จะให้ผมออกไปสั่งสอนคนพวกนั้นไหม?”

 

จางเทียนเหิงสูดหายใจเข้าลึกๆ “ไม่ต้อง พวกมันก็แค่เด็กไม่กี่คนถ้าฉันออกไปสั่งสอนมันคงจะดูใจร้ายเกินไป!”

 

แต่ยังไงก็ตามบรรยกาศนั้นก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่!

 

ลู่เว่ยขมวดคิ้ว

 

ชายหนุ่มที่นําคนกลุ่มนี้มาทําให้เขารู้สึกคุ้นๆตาอยู่เล็กน้อย

 

ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ

 

ทุกๆจานต่างเป็นปลาที่พวกเขาจับได้

 

มีทั้งหัวปลาสับผัดพริกไทย ปลากะหล่ำปลีดอง ซุปหางปลา…

 

เพราะทั้งหมดล้วนเป็นปลาที่พวกเขาจับมากันเองมันจึงให้รสชาติที่อร่อยกว่าปกติ!

 

ในเวลานี้เอง..

 

“โอเคุณลู่ ตอนแรกผมก็ว่าผมตาฝาดไปคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะมาเจอคุณที่นี่”

 

นักธุรกิจคนหนึ่งที่ดูร่ำรวยเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วไวน์ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความกระตือรือร้น

 

ลู่เว่ยประหลาดใจ “อ่าว น้องหนิวทําไมนายถึงมาอยู่ที่ทะเลสาบชิงหลงล่ะ?”

 

ลู่เว่ยทําการแนะนําเขาให้กับเจียงเฉิน จางเทียนเหิงและคนอื่นๆ “คนนี้คือหนิวต้าเย่ หนึ่งในพันธมิตรทางธุรกิจของผม! ชื่อฟังดูมงคลมากเลยใช่ไหมล่ะธุรกิจของเขากําลังไปได้ด้วยดีเลยล่ะ”

 

ลู่เว่ยเริ่มแนะนําเจียงเฉินและคนอื่นๆ แต่เขาเพียงแนะนําไปว่าเป็นเพื่อนเท่านั้นไม่ได้เจาะจงอะไรมากเห็นได้ชัดว่าคนๆนี้ยังมีความแข็งแกร่งไม่มากพอที่จะรู้จักกับคนระดับนี้ดังนั้นเขาจึงไม่มีความจําเป็นต้องแนะนําออกไป

 

หนิวต้าเย่ไม่เพียงจะไม่โกรธกับความจริงเล็กๆน้อยๆนี้แต่เขายังค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ

 

สําหรับเขาไม่ใช่ว่านี่คือโอกาศที่ดีในการขยายความสัมพันธ์งั้นหรอ?

 

เขาไม่สนใจที่จะเป็นเพื่อนกับคนที่อยู่ต่ำกว่าตัวเขา

 

เขานั้นสนใจเพียงแค่คนที่เก่งกว่าเขาเท่านั้น

 

ด้วยเหตุนี้หนิวต้าเยจึงยื่นนามบัตรให้ทุกคนอย่างรวดเร็ว “สวัสดีครับทุกคน ผมชื่อหยิวต้าเย่แต่จะเรียกผมว่าเสี่ยวเย่ก็ได้ครับ”

 

จากนั้นเขาจึงเริ่มสังเกตุเห็นตัวตนของหนุ่มหล่ออย่างเจียงเฉินที่กําลังนั่งอยู่ที่นั่งหัวโต๊ะ!

 

ตกตะลึง!

 

คนๆนั้นคือใครกัน?

 

เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะเป็นหนึ่งในสุดยอดนายน้อยในตํานานของเมืองหลวง?!

 

เขารับทักทายเจียงเฉินอย่างกระตือรือร้นก่อนจะเริ่มดื่มให้เจียงเฉิน “แก้วนี้ของผม ผมขอดื่มให้คุณเจียงนะครับ”

 

เจียงเฉินยกแก้วขึ้นตอบ

 

หลังจากดื่มทักทายกันเสร็จหนิวต้าเยก็นึกถึงลูกชายของเขาดังนั้นเขาก็เลยคิดจะดึงลูกชายของเขามาทําความรู้จักกับบรรดาลุงๆเหล่านี้หน่อย

 

(เจียงเฉิน : เดี๋ยวนะ…ฉันเป็นแค่พี่ใหญ่ก็พอ! ไม่ตจ้องถึงขั้นลุง!)

 

เมื่อหนิวต้าเย่คิดได้เช่นนี้เขาก็ขอตัวออกไปก่อนชั่วคราว

 

หลังจากที่หนิวต้าเน่ออกไปลู่เว่ยก็พูดออกมา “หนิวต้าเย่นคนนี้ผมบอกได้เลยว่าเขาดื้อรั้นและไร้ยางอายมาก ก่อนหน้านี้ธุรกิจของเขามีปัญหาเขาก็เลยมาขอยืมทุนจากผม ตอนแรกผมก็ตอบปฏิเสธไปแต่เขาก็ยังตามตื้อไม่หยุดราวกับเด็กที่วิ่งไล่ตามลูกอม บางทีก็เหมือนพวกโรคจิตจนผมเริ่มรําคาญดังนั้นก็เลยให้เขาไปนิดหน่อยและหลังจากนั้นธุรกิจของเขาก็เริ่มดีขึ้น หลังจากนั้นเขาก็มาขอบคุณผมทุกวันๆ เอานุ่นนี่มากให้ราวกับธุรกิจของเขาประสบความสําเร็จได้ก็เพราะผมที่ยอมช่วยเขาไว้”

 

ตอนนั้นเองผมก็เริ่มรู้สึกว่าเขาก็เป็นคนดีก็เลยลองร่วมงานบางอย่างกับเขาดู

 

เมื่อทุกคนได้ยินเรื่องพวกเขาต่างก็รู้ได้ทันทีว่าคนๆนี้เป็นคนยังไง

 

โรคจิต

 

ไร้ยางอาย

 

แต่ก็ยังถือว่าเป็นคนดีอยู่