บทที่ 121 กลอุบายกระจอก

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“แค่ก ๆ ๆ ……”

หลังจากไอมาสักพัก ในที่สุดจังเวยก็เริ่มดีขึ้น และสายตาที่มองเย่เทียนก็เต็มไปด้วยความโกรธ

แต่ว่า ต่อหน้าคนมีอำนาจในการชี้ต้นตายชี้ปลายเป็น เขาจึงเป็นได้แค่เนื้อบนเขียงที่ถูกลิขิตให้โกรธแต่พูดไม่ได้

แล้วเย่เทียนจะไม่สามารถสังเกตเห็นสีหน้าความอาฆาตแค้นนัยน์ตาของจังเวยได้อย่างไร แต่เขาไม่สนใจมัน ได้แต่พูดซ้ำๆ ว่า “คุณชายใหญ่จาง คุณจะเหวอสิ! ผมยุ่งอยู่นะ ให้ไวเลย”

จังเวยตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ผม ผมไม่ได้เอาเงินมามากขนาดนั้น”

“ไม่ได้เอาเงินมามากขนาดนั้น?” เย่เทียนเบิกตากว้างแล้วหันมองไปที่สุนัขรับใช้ของจังเวย

ซึ่งเหล่าคนรับใช้ของคนรวยที่เคยเห็นความห้าวหาญของเย่เทียนก็กลัวมาก พวกเขาไม่คิดเลยว่าเย่เทียนจะแข็งแกร่งขนาดนี้ แล้วจะกล้ามองหน้าเย่เทียนได้อย่างไร

โดยเฉพาะกลุ่มที่ตวาดส่งเสียงดังก่อนหน้านี้ พวกเขาได้แต่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเพราะกว่าเย่เทียนจะเอาเรื่องพวกเขา

“คุณชายใหญ่จาง ในเมื่อคุณไม่ได้เอาเงินมาเยอะขนาดนั้น คุณควรขอยืมกับลูกน้องคุณก่อนว่าไหม?” เย่เทียนรู้สึกขบขันและช่วยจังเวยแก้ไขปัญหา

แต่จังเวยก็ไม่กล้าปฏิเสธ ได้แต่รีบตะโกนขึ้นว่า “พวกเอ็งรีบเข้ามาเดี๋ยวนี้ ในตัวมีเงินอยู่เท่าไหร่ โอนมาให้หมด”

จากนั้น ฉากที่น่าสนใจก็ปรากฏขึ้น เพราะกลุ่มลูกสมุนของเศรษฐีที่ไม่เคยกลัวใคร แต่ตอนนี้กลับถูกบอดี้การ์ดที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนแบล็กเมล์!

เมื่อรีดไถเงินได้จากคนกลุ่มนี้มาเกือบสี่ล้าน เย่เทียนก็รู้สึกไม่คาดคิดมาก ลูกน้องของเหล่าเศรษฐีช่างรวยจริงๆ!

ต่อไปถ้าต้องการใช้เงินคงต้องรีดไถจากพวกเขาแล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่าเดิมพันกับพวกเขา ถ้าอย่างนั้นยังต้องกังวลชีวิตที่มีความสุขในอนาคตอีกหรือ?

“มีแค่เท่านี้นะ” จังเวยพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ ในใจคิดอยากให้เย่เทียนสำลักน้ำลายตัวเองตายมาก แต่ไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้าเลยแม้แต่นิด

“เงินก้อนนี้คิดเป็นสี่ล้านก็แล้วกันนะ ยังเหลืออีกหกล้านล่ะ!”

เย่เทียนพึมพำแล้วพูดแนะนำด้วยรอยยิ้ม “เอางี้ไหม คุณชายใหญ่จางเขียนหนังสือรับรองหนี้สินให้ผมได้ไหม?”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา ทุกคนถึงกับเสียวสันหลังและแอบรู้สึกโชคดีว่าไม่ใช่คนที่มีปัญหากับเย่เทียน เพราะเย่เทียนคนนี้ไม่ใช่บอดี้การ์ดกระจอกแล้ว แต่เขาเป็นเหมือนแวมไพร์ดูดเลือดมากกว่า! คนบ้าอำนาจชัดๆ!

จังเวยนั้นเหมือนถูกทุบฟันหักแต่ก็ต้องกลืนเลือดในปากลงไป และหลังจากความกดดันจากความน่าเกรงขามของเย่เทียน เขาทำได้เพียงยับยั้งความโกรธในใจและเซ็นสัญญาหนี้สินให้เขาอย่างเชื่อฟัง

“ใช้ได้เลยนะ สมเป็นคุณชายใหญ่จางจริงๆ ใจถึงมาก!”

หลังจากตรวจสอบใบแจ้งหนี้อย่างละเอียดแล้ว เย่เทียนก็ตบไหล่จังเวยเบาๆ อย่างพึงพอใจ “ชำระส่วนที่เหลืออีกหกล้านในหนึ่งสัปดาห์ มิฉะนั้น ผมจะไปหาคุณเอง!”

เมื่อพูดจบ เย่เทียนก็ไม่ได้อยู่ต่อ เขาหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างไม่แยแส เหลือเพียงภาพของแผ่นหลังอันน่าเกรงขามของเขาเท่านั้น

……

รถยนต์ค่อยๆ แล่นไปบนถนน เฉินหวั่นชิงที่นั่งอยู่ข้างที่นั่งคนขับได้แต่จ้องมองไปที่เย่เทียนด้วยท่าทางแปลกๆ

แม้ว่าตอนที่อยู่โรงพนันหินเมื่อครู่นี้เธอไม่ได้พูดอะไร แต่สำหรับพฤติกรรมของเย่เทียนนั้น ทำให้เธอต้องสงสัยเหมือนถูกค้อนทุบเข้าที่หัวใจอย่างรุนแรง

ผู้ชายคนนี้ยังเป็น “สามี” ที่ไร้เดียงสาของเธอคนนั้นอยู่หรือเปล่า?

แต่ไม่ว่าอย่างไร เธอก็เป็นถึงซีอีโอของบริษัทแซ่เฉิน เรื่องบางเรื่องเธอไม่จำเป็นต้องถามออกจากปาก แค่เก็บไว้คิดในใจของเธอเองเท่านั้นก็พอ

จากเรื่องของจางฟู่ฉีที่มีเจตนาร้ายต่อหวงเย่าโจว แม้กระทั่งเรื่องการถูกลักพาตัวของเธอ สิ่งเหล่านี้เย่เทียนก็มีส่วนร่วมทั้งนั้น

ก่อนหน้านี้เธอเดาด้วยสัญชาตญาณมาตลอดว่าเบื้องหลังของเย่เทียนมียอดฝีมือลึกลับคอยช่วยเหลือ แต่แล้วเรื่องในโรงพนันหินเมื่อสักครู่นี้ล่ะ?

เพราะเธอยืนอยู่ข้างเย่เทียนตลอดเวลา และไม่มีใครมาคุยอะไรกับเย่เทียนเลยด้วยซ้ำ?

หรือมันเป็นแมวตาบอดที่บังเอิญเจอกับหนูที่ตายแล้วจริงๆ?

ซึ่งในพจนานุกรมของเฉินหวั่นชิงนั้นไม่มีคำนี้เลย ถ้าหากมีความบังเอิญแบบนี้จริงๆ เกรงว่าบริษัทแซ่เฉินคงถูกกัดกินเหมือนหนูที่ไม่เหลือแม้แต่กระดูกตั้งแต่เมื่อแปดพันปีก่อนแล้ว

“ที่รัก คุณมองผมแบบนี้ เดี๋ยวผมก็เขินสิ”

ในเวลานี้ เย่เทียนก็ใช้คำพูดติดตลกทำให้เฉินหวั่นชิงตื่นจากโลกจินตนาการของเธอ “ถ้าผมไม่มีสมาธิ เธอชนหมูหมากาไก่เข้าจะทำยังไงล่ะ?”

เฉินหวั่นชิงกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นเธอก็เห็นร่างคนคนหนึ่งวิ่งออกมาจากทางเท้าอย่างกะทันหัน

เอี๊ยด……!

ด้วยสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ ทำให้เย่เทียนต้องเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน!

เพียงแต่ว่า ทุกอย่างมันสายเกินไป เพราะคนคนนั้นได้ล้มลงกับพื้นไปแล้วกลิ้งไปตามถนนอย่างเกินความเป็นจริง จากนั้นเขาลุกขึ้นแล้วชี้ไปที่รถและตะโกนเหมือนหมูที่กำลังจะถูกเชือด “ขับรถชนคนแล้ว! ทุกคนรีบมาดูเร็วเข้า! มันจะชนฉันตายแล้ว……”

ไม่ต้องพูดถึงเฉินหวั่นชิง แม้แต่เย่เทียนยังต้องเบิกตากว้าง

นี่มันมิจฉาชีพในตำนานจริงๆ!

จะไม่รู้ได้อย่างไร เพราะพวกเขาเพิ่งออกจากโรงพนันหิน และตอนนี้ยังอยู่ในถนนที่พลุกพล่าน อีกอย่างเย่เทียนยังไม่ทันได้เพิ่มความเร็วเลยด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ แม้ว่าคนคนนั้นออกมาอย่างกะทันหัน แต่เย่เทียนก็มั่นใจว่ารถของเขาไม่ได้ชนเขานั้นเลย

“ผมจะลงไปดู คุณอยู่บนรถก่อน อย่าเพิ่งลงไปนะ”

เย่เทียนพูดอย่างเร่งรีบ จากนั้นดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถ และคนที่เขาเห็นคือหญิงวัยกลางคนผิวดำคนหนึ่งที่มีรูปร่างผอมบาง

หญิงวัยกลางคนคนนี้สวมเสื้อผ้าเก่าที่ชำรุดทรุดโทรม แม้แต่กางเกงที่ฉีกขาดของเธอยังเลอะด้วยคราบโคลนหลายจุด ซึ่งดูแล้วน่าสงสารมาก

นอกจากนี้ บนพื้นถนนยังมีส้มที่หล่นกระจัดกระจายไปทั่ว รถที่ขับผ่านไปมาจึงทับส้มและบดขยี้ส้มจนเหลือแค่ซากเท่านั้น

จากสิ่งนี้ สรุปได้ไม่ยากว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้มาจากชนบทใกล้เมืองและมาขายส้มเพื่อหาเลี้ยงชีพ

เพียงแต่ว่า เย่เทียนได้แต่ขมวดคิ้วอย่างน่าสงสัย

แม้ว่าหญิงวัยกลางคนคนนี้จะจัดฉากได้ดี แต่เสียงที่เธอตะโกนมันจะเวอร์ไปหน่อยไหม? ถ้าโดนชนเข้าจริงๆ เธอยังจะตะโกนได้ดังขึ้นนี้อยู่หรือเปล่า?

แต่อุบัติเหตุนี้ก็ได้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากอย่างไม่ต้องสงสัย และทุกคนต่างก็ชี้ไปที่เย่เทียนแล้วตำหนิเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเข้าข้างฝ่ายที่ดู ‘อ่อนแอ’ กว่า ซึ่งก็คือหญิงวัยกลางคนคนนั้น

“นี่คุณ! คุณขับรถชนฉัน! รีบชดใช้ค่าเสียหายเลยนะ!”

เมื่อเห็นเย่เทียนลงจากรถ หญิงวัยกลางคนก็เอื้อมมือออกไปและคว้าชายเสื้อของเย่เทียนไว้ ด้วยแรงกระชากของเธอมันแทบจะดึงเสื้อของเย่เทียนขาดในทันที

แต่ก่อนที่เย่เทียนจะพูดขึ้น ชายหนุ่มร่างกำยำที่แต่งกายชุดธรรมดาและดูใสซื่อคนหนึ่งก็ได้เดินออกมาจากฝูงชน

โดยที่ไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น เขาชี้หน้าไปที่เย่เทียนแล้วตวาดอย่างเสียงดังว่า “นี่นายขับรถยังไง? ถนนกว้างขนาดนี้ยังขับชนแม่ข้าได้! จะบอกให้นะ ถ้านายไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย วันนี้เรื่องไม่จบแน่!”

เมื่อมองไปที่ชายหนุ่มที่เคร่งขรึมคนนี้ เย่เทียนก็อดหัวเราะไม่ได้ “คิดจะใช้กลอุบายกระจอกของมิจฉาชีพมาแบล็กเมล์ผมงั้นเหรอ? ถ้าผมเดาไม่ผิดนะ ถ้าผมไม่จ่ายเงินคุณ คุณจะใช้ความรุนแรงกับผมใช่ไหม?”