บทที่ 122 ถูกวิพากษ์วิจารณ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“ถ้าหากผมไม่ได้เดาผิด ถ้าผมไม่มีเงิน คุณจะขู่ผมด้วยความรุนแรงใช่ไหม?”

เมื่อมองดูชายร่างกำยำตรงหน้า เย่เทียนยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม

ชายหนุ่มที่ได้ยินเช่นนี้ก็ถึงกับหน้าสั่นเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ตั้งตัวได้และพูดด้วยความโกรธว่า “มิจฉาชีพอะไร? คุณว่าใครเป็นมิจฉาชีพ?”

“ทุกคนมาตัดสินกันหน่อย ผมกับแม่ผมแค่จะมาขายส้มเพื่อหาเลี้ยงชีพเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่าไอ้สารเลวนี่มันจะขับรถชนแม่ผม มันไม่ขอโทษก็แล้วไป แต่มันยังมาโทษพวกผมว่าเป็นมิจฉาชีพมาแบล็กเมล์อีกด้วย”

ชายหนุ่มดูทั้งเศร้าทั้งโกรธและชี้ไปที่ส้มบนพื้นแล้วพูดกับเย่เทียนด้วยความโมโห “อย่าคิดว่านายมีเงินหน่อยแล้วจะตัดสินทุกอย่างได้ ความจริงมันขึ้นอยู่กับสายตาของคนส่วนใหญ่มากกว่า!”

“ใจร้ายใจดำ สมัยนี้สังคมมันช่างเสื่อมโทรมจริงๆ!”

“ไอ้หมอนั่นจะใจร้ายเกินไปไหม? ขับรถชนคนอื่นแล้วไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย แต่กลับโทษคนอื่นว่าเป็นมิจฉาชีพอีกด้วย”

ซึ่งทักษะการแสดงของชายหนุ่มกับหญิงวัยกลางคนคนนั้นยอดเยี่ยมเกินไป ทำให้ผู้สัญจรไปมาเกือบทั้งหมดเข้าข้างพวกเขา และทำให้เย่เทียนต้องกลายเป็นคนผิดในสายตาของผู้คน

เย่เทียนขมวดคิ้วอย่างกะทันหัน แม้เขาจะไม่กลัวการถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่มีใครมีความสุขได้หรอกถ้าต้องเจอเรื่องแบบนี้

ในเวลานี้ เฉินหวั่นชิงที่เห็นสถานการณ์ผิดปกติก็ได้เดินออกจากรถ “เย่เทียน คุณขับรถชนคนเหรอ?”

เย่เทียนที่ได้ยินเช่นนี้ก็แทบจะต้องคุกเข่าให้กับเฉินหวั่นชิง เพราะถ้าเธอถามแบบนี้ต่อหน้าทุกคน นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอกำลังยอมรับว่าเขาเป็นคนผิดหรือ!

ผู้หญิงคนนี้ซื่อจริงหรือว่าแค่แกล้ง? หรือว่าเธอต้องคำสาปของคำที่พูดว่า ‘หน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง’ คำนั้น?

และแน่นอนว่าประโยคคำถามของเฉินหวั่นชิงทำให้ชายหนุ่มคนนั้นได้โอกาสจับผิดพวกเขา ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นอย่างเสียงดังว่า “ทุกคนได้ยินแล้วใช่ไหม? ผู้หญิงคนนี้กับผู้ชายคนนี้มาด้วยกัน แม้แต่เธอยังยอมรับเลยว่าพวกเขาขับรถชนคนอื่นจริงๆ แต่ผู้ชายคนนี้กลับโยนความผิดให้คนอื่น!”

เฉินหวั่นชิงที่ได้ยินคำนี้ก็เหลือบมองไปที่เย่เทียนทันที เธอเพิ่งเปลี่ยนมุมมองสำหรับเย่เทียนไปเมื่อครู่นี้เท่านั้น แต่ไม่นึกเลยว่าหลังจากเกิดอุบัติเหตุ เย่เทียนจะไร้ความรับผิดชอบแบบนี้ สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยากจริงๆ!

แต่เย่เทียนจะรู้ได้อย่างไรว่าเฉินหวั่นชิงกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นแววตาที่ผิดปกติของเธอ เขาจึงพยายามจะอธิบายให้เธอฟัง

แต่เฉินหวั่นชิงกลับก้าวไปข้างหน้าก่อนแล้วพูดกับชายหนุ่มคนนั้น “เรื่องนี้พวกเราผิดเองค่ะ แต่พวกเรายังมีธุระด่วนต้องไปทำ เอางี้นะคะ พวกคุณต้องการค่าเสียหายเท่าไหร่คะ?”

“ต้องคุณผู้หญิงคนนี้สิถึงจะดูมีเหตุผลหน่อย ไม่เหมือนใครบางคน ขับรถชนคนอื่นแล้วยังโทษคนอื่นผิด หน้าไม่อายจริงๆ!”

ชายหนุ่มพูดอย่างประชดประชัน จากนั้นยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วส่ายไปมา “เอางี้นะครับ คุณให้ตามนี้ก็พอ”

“ได้สิ หนึ่งหมื่นก็หนึ่งหมื่น”

เฉินหวั่นชิงเปิดกระเป๋าเพื่อจะหยิบเงินและเธอยังไม่ลืมพูดว่า “คุณอย่าลืมพาแม่คุณไปหาหมอด้วยนะ เผื่อบาดเจ็บตรงไหน”

“ให้ตายสิ คุณคิดว่าผมเป็นขอทานงั้นเหรอ?!”

แต่ว่า ก่อนที่เฉินหวั่นชิงจะหยิบเงินออกมา ชายหนุ่มคนนั้นก็พูดด้วยความโกรธ “ผมหมายถึงหนึ่งล้าน!”

เฉินหวั่นชิงที่คิดจะใช้เงินแก้ไขปัญหานี้ก็รู้สึกตกใจและขมวดคิ้วแน่นๆ “หนึ่งล้านเลยเหรอ? ฉันว่าแม่คุณก็ไม่เป็นอะไรมากนะ คุณจะโลภมากไปหน่อยไหม?”

“คุณรู้ได้ไงว่าแม่ผมไม่เป็นอะไรมาก?”

ชายหนุ่มใช้การเปรียบเทียบว่า “ถึงผมจะเป็นคนบ้านนอก แต่ผมก็ดูข่าวเหมือนกันนะ ก่อนหน้านี้ยังมีข่าวรายงานว่ามีคนถูกรถชนแต่ไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลย แต่หลังจากกลับบ้านไปแค่สองวันเขาก็เสียชีวิต แล้วจากนั้นส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลก็พบว่าเขาช้ำใน”

“ต่อให้แม่ผมจะดูไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดเธอช้ำในล่ะ?!”

ราวกับว่าเธอให้ความร่วมมือเป็นพิเศษกับชายหนุ่มคนนี้ หญิงวัยกลางคนก็ปล่อยมือของเธอจากชายเสื้อของเย่เทียนแล้วกุมหน้าอกและตะโกนว่า “โอ๊ย โอ๊ย ฉันรู้สึกแน่นอก ฉันหายใจไม่ออกแล้ว”

“ฉัน……” เฉินหวั่นชิงผู้ซึ่งอยู่ในวงการการค้ามานานนับหลายปี แต่ในตอนนี้เธอรู้สึกอึดอัดจนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ

ตามทฤษฎีแล้ว คำพูดของชายหนุ่มคนนั้นไม่มีอะไรผิด เพราะมันมีความเป็นไปได้

แต่มันก็แค่ทฤษฎีเท่านั้น แล้วถ้าหากหญิงวัยกลางคนไม่ได้ช้ำในล่ะ? แค่เฉี่ยวชนยังต้องจ่ายค่าเสียหายเป็นล้าน แล้วใครยังจะทำงานให้เหนื่อยอีก?

“ฉันไม่ได้พกเงินมาเยอะขนาดนั้นหรอก ตอนนี้มีแค่สองหมื่น” เฉินหวั่นชิงยังคิดจะเจรจาอีกครั้ง แต่เมื่อถูกผู้คนมากมายวิพากษ์วิจารณ์ เธอทำได้แค่อดทนไว้

เพราะเธอเป็นถึงผู้บริหารของบริษัทแซ่เฉินและเธอยังถือว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในเจียงหนันแห่งนี้ด้วย อีกอย่าง บริษัทแซ่เฉินในปัจจุบันกำลังอยู่ในช่วงเฟื่องฟู แล้วถ้าหากเธอมีข่าวเชิงลบแบบนี้ มันจะส่งผลกระทบต่อบริษัทแซ่เฉินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน

“ครอบครัวผมเป็นคนยากจนก็จริง แต่ต่อให้ครอบครัวผมจะยากจนสักแค่ไหน ชีวิตของแม่ผมก็ไม่ได้มีค่าแค่สองหมื่นนี้หรอก!”

ชายหนุ่มตบเงินสองหมื่นที่เฉินหวั่นชิงยื่นมาให้จนร่วงหล่นลงบนพื้นแล้วพูดด้วยความโกรธว่า “งั้นให้ผมขับรถชนพวกคุณดูไหม ต่อให้ผมลำบากแค่ไหนผมก็จะหาเงินสองหมื่นมาให้พวกคุณ!”

ในขณะพูด ชายหนุ่มก็เดินผ่านทั้งสองแล้วเดินไปที่ข้างรถและตบไปที่หลังคารถเบาๆ

โดยไม่ต้องรอให้เฉินหวั่นชิงตอบ ชายหนุ่มคนนั้นเหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขาจึงเปิดประตูรถแล้วหยิบกล่องกระดาษแข็งออกมาจากรถ

“ในเมื่อพวกคุณบอกว่าไม่มีเงิน ผมก็จะไม่บังคับพวกคุณ งั้นผมขอของชิ้นนี้แทนก็แล้วกันนะ!”

เมื่อเห็นแบบนี้ ดวงตาสีเข้มของเย่เทียนก็เปล่งประกายด้วยความเย็นชา เพราะกล่องที่บรรจุนั้นคือหยกชั้นยอดที่เพิ่งได้มากโรงพนันหิน!

และเมื่อย้อนคิดกลับไปถึงกลอุบายของชายหนุ่มกับหญิงวัยกลางคนคนนี้ แค่ใช้หัวแม่เท้าคิดก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าต้องเป็นแผนการของใครสักคนที่อยากได้หยกชิ้นนี้อย่างแน่นอน!

ซึ่งข้อแตกต่างมีเพียงอย่างเดียวก็คือ พวกเขาได้เห็นฝีมืออันแข็งแกร่งของเย่เทียนแล้ว ดังนั้นจึงใช้วิธีนี้ในการแย่งชิงหยกชิ้นนี้

“ผมให้เวลาคุณสามวินาที วางของของผมกลับไปที่เดิมแล้วไสหัวไปให้พ้น!”

เย่เทียนเดินเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วและพูดอย่างเย็นชาว่า “ไม่อย่างนั้น อย่าหาว่าผมไม่เกรงใจนะ!”

“แหม ๆ นี่คุณกำลังขู่ผมอยู่ใช่ไหม?”

แล้วชายร่างกำยำคนนี้จะกลัวคำข่มขู่จากเย่เทียนได้อย่างไร

“หนึ่ง!”

เย่เทียนได้แต่นับเวลาของเขาอย่างไม่แยแสและไม่สนใจคำพูดของคนพรรค์นี้

“ทุกคนรีบเข้ามาดูเร็วเข้า ดูหน้าไอ้สารเลวคนนี้สิ!”

ชายหนุ่มวางกล่องกระดาษแข็งไว้บนหลังคารถ เขาเป็นคนฉลาดมาก เพราะเขาไม่เลือกที่จะเผชิญหน้ากับเย่เทียน แต่กลับหันไปตะโกนพูดกับผู้คนที่สัญจรไปมา “ไอ้หมอนี่มันขับรถชนแม่ผม มันไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้ผม แต่ยังพูดจาข่มขู่ผมอีกด้วย ทุกคนรีบดูหน้ามันสิครับ!”

ผู้คนที่เข้าข้างชายหนุ่มคนนี้ตั้งแต่แรกก็เริ่มวิพากษ์วิจารณ์เย่เทียนอีกครั้ง

“นี่น้อง น้องคิดอะไรอยู่? ขับรถชนคนอื่นแบบนี้ ชดใช้ค่าเสียหายหน่อยจะเป็นไรไป?”

“วัยรุ่นสมัยนี้ไร้จิตสำนึกเลยจริงๆ ขับรถชนคนอื่นยังทำตัวแข็งกร้าวขนาดนี้ ขยะสังคม น่าจะลากคอไปยิงทิ้งมากกว่า!”

“สาม!”

เย่เทียนยืนกรานที่จะไม่ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ด้วยวาจาของทุกคน และทันทีที่เขานับถึงสาม เขาก็ยกมือขึ้นโดยที่ไม่มีการลังเลและตบไปที่ใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นด้วยความแรง….