บทที่ 485 สำนักวังเต๋าไพศาล!

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 485 สำนักวังเต๋าไพศาล! โดย Ink Stone_Fantasy

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังเดินทางกลับดาวอังคารนั้น สื่อหลายสำนักในสหพันธรัฐยังคงเฉลิมฉลองการบรรลุขั้นของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์หลี่ซิงเหวิน ทุกคนล้วนอารมณ์ดี เสียงหัวเราะชื่นมื่นปกคลุมไปทั่วสหพันธรัฐ

ในขณะเดียวกัน ผู้คนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่รู้ว่า ต้วนมู่ฉี ผู้นำสหพันธรัฐคนปัจจุบัน ตัดสินใจเข้าถือสันโดษในวันที่สี่หลังจากที่หลี่ซิงเหวินบรรลุขั้นปราณ ขณะเดียวกัน มีการเปิดวงแหวนปราณครอบนครหลวงเอาไว้เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ อีกด้านหนึ่ง แม้ว่ากายหยาบของหลี่ซิงเหวินจะอยู่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แต่ชายชราก็ยังเฝ้ามองนครหลวงอยู่เสมอ หากเกิดเหตุใดขึ้น เขาก็จะก้าวเข้าไปดูแลความปลอดภัยของต้วนมู่ฉีด้วยตนเองในพริบตา

เพราะหากต้วนมู่ฉีบรรลุขั้นปราณได้เช่นกัน ก็จะแปลว่าสหพันธรัฐได้ก้าวเข้าสู่ยุคจุติวิญญาณอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน สิ่งที่สำคัญสุดก็คือการที่พวกเขาทั้งสองบรรลุขั้นติดๆ กัน เพราะมันจะแปลว่าการบรรลุขั้นนั้นเป็นไปได้สำหรับคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

คนอื่นๆ ที่ว่านี้รวมถึงคณะเสนาบดี เจ้านครดาวอังคาร ผู้อาวุโสสูงสุดของอีกสามยอดสำนักศึกษาเต๋า สำนักรุ่งสางจักรพิภพ สำนักสหชุมนุมสกุณา และแม้กระทั่งตระกูลนภาห้าสมัยด้วยเช่นกัน!

ในความเป็นจริงแล้วต้วนมู่ฉีไม่ถือว่าเป็นรุ่นที่สอง ตัวเขานั้นนับว่าเป็นผู้ใหญ่ที่กำเนิดมาจากยุคสงครามครั้งใหญ่ ผ่านการเปลี่ยนแปลงอันรุนแรงนับครั้งไม่ถ้วนของสรวงสวรรค์และพื้นพิภพ รวมไปถึงสงครามอสูร เช่นเดียวกับหลี่ซิงเหวิน ไม่ว่าความสามารถและแนวคิดจะแตกต่างกันเพียงใด ก็ต้องนับว่าพวกเขาเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคแรกอย่างแท้จริง!

บุคคลเช่นเขาไม่ควรจะติดอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในอีกแล้ว!

มีคนเช่นต้วนมู่ฉีอีกไม่น้อยที่เริ่มถือสันโดษเช่นกัน พวกเขาเองก็ตั้งเป้าจะบรรลุขั้นการฝึกตนและก้าวเข้าสู่ขั้นจุติวิญญาณ!

ถึงกระนั้น การจะบรรลุขั้นได้ก็เป็นเรื่องยากยิ่ง ไม่เพียงต้องใช้เวลา แต่ยังต้องมีโอกาสอันเหมาะเจาะอีกด้วย แม้ว่ายุคสมัยแห่งการฝึกปราณจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ทำให้ผู้มีอำนาจได้พบเจอโอกาสมากมาย แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือความยิ่งใหญ่ของโอกาสและผลที่พวกเขาจะกอบโกยมาได้

ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้สร้างความกังวลให้หวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ขณะนี้ เรือบินของเขาลงจอดบนดาวอังคารแล้ว และชายหนุ่มก็กลับไปยังเขตนครพิเศษบนดาวอังคารทันที ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเขายังรู้สึกถึงความเชื่อมโยงรางๆ กับวัตถุเวทแห่งความมืดจากใต้ดิน และรับรู้ว่าทุกอย่างยังคงเดิม

หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มกังวลขึ้นมาอีกครั้ง วัตถุเวทแห่งความมืดนั้นทรงพลังก็จริง แต่มันก็เสียหายมากเกินไป หากว่าหวังเป่าเล่อไม่สามารถซ่อมแซมและนำมันออกมาได้ ก็คงจะรู้สึกเหมือนว่ามีใครสักคนมอบภาพเขาตอนผอมให้ ชายหนุ่มสามารถมองเห็นและรู้สึกถึงร่างกายนั้นได้ แต่ก็ไม่สามารถลดน้ำหนักให้เป็นตามในภาพได้!

ความกังวลนี้ทำให้หวังเป่าเล่อถอนหายใจอยู่บ่อยครั้ง ตอนที่เขาไม่อยู่นั้นไม่มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ ใดเกิดขึ้นในเขตนครพิเศษแห่งนี้ หลี่หว่านเอ๋อร์ก็ยังคงถือสันโดษอยู่ หลินเทียนหาวและพรรคพวกยังคงทำงานบริหารอาณาเขตทั้งหลายในเขตนครพิเศษตามที่ได้รับมอบหมาย คนอื่นๆ ยังคงตื่นเต้นกับการที่หลี่ซิงเหวินบรรลุขั้น และเมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อบรรลุขั้นต่อหน้าต่อตาก็พากันถือสันโดษกันเสียสิ้น

ดูราวกับว่ากระแสการฝึกปราณในสหพันธรัฐนั้นได้รับอิทธิพลอันยิ่งใหญ่จากการบรรลุขั้นของหลี่ซิงเหวิน ทำให้ผู้คนหันมาฝึกปราณกันอย่างคึกคักอีกครั้ง!

ดังนั้นหวังเป่าเล่อ ผู้ที่เพิ่งกลับมาถึงดาวอังคาร จึงตัดสินใจที่จะฝึกวิชาแห่งศาสตร์มืดเช่นกัน แต่ก่อนที่ชายจะได้เริ่มฝึกปราณ และในขณะที่ทั้งสหพันธรัฐกำลังเฉลิมฉลองอยู่นั้น ก็มีประกาศหนึ่งออกมา!

ดาวพุธจะถูกสร้างขึ้นอีกครั้ง!

หลังจากที่ดาวพุธนั้นประสบภัยพิบัติก็กลายเป็นเพียงดินแดนรกร้าง ดาวเกือบทั้งดวงแทบจะเหี่ยวเฉาไปเสียสิ้นเพราะความเสียหายมหาศาลที่ได้รับ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่มีเพียงความเศร้าหมองเท่านั้น ท่ามกลางคลื่นความปีติยินดีของประชากรส่วนใหญ่ แผนการสร้างดาวพุธใหม่นั้นจึงได้รับการสนับสนุนจากคนจำนวนไม่น้อย

ขณะเดียวกัน เรื่องนี้เหมือนเป็นสัญญาณที่ทำให้ผู้นำกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ พากันตกตะลึง ตามข้อมูลที่พวกเขาได้รับมา การสร้างดาวพุธขึ้นมาใหม่นั้นมีความเกี่ยวข้องกับความจริงบางอย่างที่สาธารณะชนไม่ได้รับรู้!

“การหลอมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธ…อย่างเป็นทางการกำลังจะเริ่มต้นขึ้น” นี่คือความคิดแรกที่แล่นผ่านใจของผู้นำกลุ่มอำนาจการเมืองต่างๆ ในวินาทีที่พวกเขาได้ยินประกาศของสหพันธรัฐเรื่องการสร้างดาวพุธขึ้นใหม่

สิ่งนี้เป็นความจริง วันเดียวกับที่ข่าวถูกประกาศออกไป หวังเป่าเล่อก็ได้รับข้อความเสียงจากเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารทันที ในข้อความนั้น เจ้านครให้พิมพ์เขียวจำนวนมากมาและออกคำสั่งให้เขาหลอมชิ้นส่วนทั้งหมดที่เขียนอยู่ในพิมพ์เขียวตามระยะเวลาที่กำหนด

ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการหลอมนั้น ทางดาวอังคารจะจัดเตรียมให้ทั้งหมด!

หวังเป่าเล่อประหลาดใจใจ ชายหนุ่มรู้สึกถึงพายุที่กำลังก่อตัว และหลังจากครุ่นคิดถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดและประมุขสำนักได้บอกเขา ร่วมกับข้อมูลเรื่องการสร้างดาวพุธขึ้นใหม่ หวังเป่าเล่อก็เริ่มคาดเดา ชายหนุ่มรีบโทรหาเจ้านครดาวอังคารเพื่อถามไถ่ในทันที

เจ้านครนิ่งเงียบราวกับกำลังใคร่ครวญว่านางสามารถเปิดเผยข้อมูลได้หรือไม่ หลังจากนั้นอึดใจหนึ่ง นางก็สูดลมหายใจเข้าลึก และเปิดอภิมหาวงแหวนปราณดาวอังคารขึ้นเต็มที่เพื่อป้องกันให้การพูดคุยกันเป็นส่วนตัวขึ้นอีก วงแหวนปราณนั้นป้องกันไม่ให้ผู้ใดแอบฟังได้ หลังจากจัดการเสร็จสิ้นนางจึงเริ่มพูด

“เจ้าได้ยินประกาศของสหพันธรัฐเรื่องการสร้างดาวพุธขึ้นใหม่แล้วใช่หรือไม่ ประกาศนั้นเป็นเพียงฉากหน้าเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงในการสร้างดาวพุธคือการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดยักษ์ขึ้นที่นั่น!

“อันที่จริง วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนี้ได้เริ่มการก่อสร้างไปแล้ว แต่ยังขาดทรัพยากรอีกมาก แถมยังไม่ถึงกำหนดเวลา มันจึงคืบหน้าไปอย่างล่าช้า รวมถึงภัยพิบัติที่พวกเขาเพิ่งประสบ ทำให้สิ่งที่เหลืออยู่ล้วนทรุดโทรม

“ทว่าช่วงเวลาอันเหมาะสมนั้นใกล้เข้ามาแล้ว เป็นเหตุให้สหพันธรัฐเองต้องเร่งมือ พวกเขาวางแผนจะเริ่มการก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายที่จะนำเราขึ้นไปสู่กระบี่สำริดเขียวโบราณได้!

“ดังนั้นไม่ใช่เพียงแค่เจ้าเท่านั้น แต่นักหลอมอาวุธเวททุกคนในสหพันธรัฐฃ้วมได้รับมอบหมายให้หลอมชิ้นส่วนพวกนี้ ที่สุดท้ายแล้วจะนำไปประกอบขึ้นเป็นวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย!”

เมื่อได้ฟังคำพูดของเจ้านครแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตกใจอยู่ไม่น้อย ความคิดนับล้านไหลผ่านในใจ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเปิดปากถาม

“ภารกิจพันธุ์กล้าของสหพันธรัฐหรือขอรับ”

“เรื่องบางอย่างเจ้าสามารถรู้ได้เพราะยศถึง ทว่าวิธีการส่งข้อมูลให้เจ้าก็ต้องรัดกุมเป็นอย่างยิ่ง และไม่มีใครบอกเจ้าตรงๆ บนโลกได้ แน่นอนว่าการรับมือกับเรื่องนี้ดูจะเกินจริงไปเสียหน่อย แต่ก็ไม่มีใครอยากเสี่ยง เพราะอย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ปัญหาของคนคนเดียว แต่เป็นปัญหาของสหพันธรัฐทั้งหมด รวมถึงชีวิตของมนุษยชาติอีกด้วย!” เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารไม่ได้ตอบคำถามของเขาตรงๆ แต่นางก็ได้อธิบายเรื่องที่ผู้อาวุโสสูงสุดและประมุขสำนักพากันอ้ำอึ้งที่จะตอบหวังเป่าเล่อเมื่อครั้งที่เขาอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

ยิ่งเป็นเช่นนี้ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งแปลกประหลาด ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยถ้อยคำ เขาเลือกที่จะรอเจ้านครให้ข้อมูลเพิ่มเติม

เจ้านครดาวอังคารนิ่งเงียบอยู่อีกครู่หนึ่ง นางดูพอใจกับความนิ่งของหวังเป่าเล่อต่อสถานการณ์ที่ใหญ่โตเช่นนี้ จึงลดเสียงลงก่อนจะเริ่มพูดต่อ

“เป่าเล่อ สิ่งที่ข้ากำลังจะบอกเจ้านี้เป็นความลับสุดยอด ที่จะเผยได้ก็ต่อเมื่อร้อยละเก้าสิบของขุนนางระดับหนึ่งชั้นรองของสหพันธรัฐยินยอมเท่านั้น…

“กว่าสี่สิบปีมาแล้ว มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในจักรวาล และกระบี่สำริดเขียวโบราณก็เข้ามาในระบบสุริยะของเรา พลังกดดันของมันพลิกจักรวาลไปทั้งหมด และกระบี่นั้นท้ายที่สุดก็มาปักอยู่บนดวงอาทิตย์ เผยให้เห็นส่วนปลายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น!

“ด้ามจับของกระบี่แตกออก และชิ้นส่วนของมันก็กระจัดกระจายไปทั่วระบบสุริยะ ส่งผลให้พลังงานขัดข้องไปทั่วทั้งสหพันธรัฐตั้งแต่เริ่มยุคกำเนิดวิญญาณเป็นต้นมา และการฝึกตนโบราณก็ถือกำเนิดขึ้น…ทว่าในความเป็นจริงแล้ว กระบี่สำริดเขียวโบราณถือกำเนิดมาจากอารยธรรมฝึกปราณอื่นที่มีระดับการฝึกปราณก้าวหน้ากว่าเราไปไกลนัก กระบี่เล่มนี้คือสำนักหนึ่งจากอารยธรรมดังกล่าวเพียงเท่านั้น!

“พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ กระบี่นั้นเป็นยานพาหนะ พวกเขาหนีจากอันตรายมาแต่กลับประสบอุบัติเหตุ เป็นผลให้มาตกลงบนระบบสุริยะแห่งนี้!

“ยังมีผู้คนอาศัยอยู่บนกระบี่โบราณเป็นจำนวนมาก!” เมื่อเจ้านครเล่ามาถึงจุดนี้ ลมหายใจของหวังเป่าเล่อก็เริ่มรัวเร็ว แต่เขาก็ไม่ได้ตกใจอะไร ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก เฝ้ารอให้เจ้านครเล่าต่อไป

“ตามข้อมูลจากหน่วยสอดแนมของเรา สำนักบนกระบี่สำริดเขียวโบราณมีนามว่าสำนักวังเต๋าไพศาล!

“สำนักวังเต๋าไพศาลผ่านเหตุการณ์มามากมายและได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แถมยังถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่ายใหญ่ๆ ภายใต้การนำของผู้นำสามคนที่มีวิสัยทัศน์ต่างกันโดยสิ้นเชิง!

“ฝ่ายหนึ่งรู้จักกันในนามฝ่ายความมืด เป้าหมายของพวกเขาคือลาจากที่แห่งนี้และมุ่งหน้าไปยังเป้าหมายที่พวกเขาตั้งใจจะไปตั้งแต่ตอนแรก แต่เพราะกระบี่นั้นเสียหายหนัก เป้าหมายของพวกเขาในตอนนี้ก็คือการทำลายทั้งระบบสุริยะเพื่อหาทรัพยากรในการซ่อมแซมกระบี่!

“หากพวกเขายึดครองอำนาจได้ สหพันธรัฐจะต้องเผชิญภัยพิบัติใหญ่หลวงแน่นอน เจ้าเองก็น่าจะจินตนาการได้ว่าหากต้นกำเนิดดวงดาวทั้งหมดในระบบสุริยะหายไปจะเกิดสิ่งใดขึ้น ไหนจะเรื่องพลังงานของดวงอาทิตย์ที่จะถูกแย่งไปด้วย แน่นอนว่าระบบสุริยะทั้งหมดจะต้องกลายมาเป็นดินแดนรกร้าง และพวกเราก็ต้องกลายเป็นทาสของสำนักนี้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!”