บทที่ 486 ความลับและประวัติศาสตร์

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา

บทที่ 486 ความลับและประวัติศาสตร์ โดย Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รีบเงยศีรษะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในวินาทีนั้น ภาพสำนักแห่งความมืดที่ถูกทำลายจนย่อยยับปรากฏขึ้นมาในจิตใจ ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าฝ่ายความมืดจะทำสิ่งใดกับประชากรโลกบ้างหากพวกมันยึดครองโลกสำเร็จ แต่การต้องอยู่อย่างหวาดกลัวเป็นเรื่องที่ทั้งตัวเขาและสหพันธรัฐจะยอมไม่ได้เป็นอันขาด!

“ทว่าฝ่ายความมืดยังถือว่ามีอำนาจน้อยในสำนักวังเต๋าไพศาล ฝ่ายที่มีอำนาจตัดสินใจคือฝ่ายที่สอง หรือที่เราเรียกว่าฝ่ายแสงสว่าง แน่นอนว่านี่เป็นชื่อที่เราตั้งให้พวกเขาเอง

“อุดมการณ์ทางการเมืองของฝ่ายแสงสว่างแตกต่างจากฝ่ายความมืด พวกเขาเชื่อว่าในเมื่อดาวบ้านเกิดของพวกตนถูกทำลายไปแล้ว การไปถึงจุดหมายเดิมที่ตั้งใจไว้หรือการอยู่ในระบบสุริยะต่อไปก็ไม่สำคัญอีกต่อไป พวกเขาดูจะยอมรับระบบสุริยะด้วยเช่นกัน แถมยังดูเหมือนว่าอยากจะลงหลักปักฐานที่นี่…พวกเขาอยากปรับตัวให้เข้ากับสหพันธรัฐมากขึ้น โดยมีเป้าหมายคือการรวมสหพันธรัฐเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา!”

“พวกเขาอยากจะสร้างสรรค์และเติบโตไปพร้อมๆ กับเรา แม้จะดูเพ้อฝันไปบ้าง แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเราในฐานะผู้ที่อ่อนแอกว่าในสถานการณ์นี้! สำหรับฝ่ายที่สามนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องไปใส่ใจ พวกเขาเป็นฝ่ายเป็นกลาง ที่ถือสันโดษและฝึกปราณอยู่ตลอด ไม่ใคร่จะใส่ใจกับการเมืองเท่าใด” เมื่อกล่าวจบ เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารก็หยุดพูด นางรอให้หวังเป่าเล่อย่อยสารทั้งหมดที่ได้รับให้เรียบร้อยเสียก่อน

“แปลว่าฝ่ายความมืดและแสงสว่างเกิดทะเลาะกัน แล้วตอนนี้ก็เลยบาดหมางกันอยู่อย่างนั้นหรือขอรับ” หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้น

“ตามความเข้าใจของเราในตอนนี้ก็ใช่ แต่ฝ่ายแสงสว่างได้เปรียบกว่าในความขัดแย้งนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงมีวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธ!”

“สิ่งที่ข้าเพิ่งเล่าให้เจ้าฟังเกิดขึ้นมานานกว่าสี่สิบปีแล้ว การก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายบนดาวพุธก็เริ่มขึ้นตอนนั้นเช่นกัน…ความเสียหายที่กระบี่สำริดเขียวโบราณได้รับทำให้โครงสร้างของตัวกระบี่เปลี่ยนไปพอสมควร และเพราะมันอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มาก มันจึงทำได้แค่เปิดเกราะกำบังป้องกันความร้อนและไม่อาจเคลื่อนย้ายหนีไปได้ แปลว่าตอนนี้สำนักวังเต๋าไพศาลก็ติดอยู่ที่นั่น เพราะหากพวกเขาเลือกที่จะเปิดเกราะป้องกันเพื่อออกไป พวกเขาก็จะละลายเสียก่อนที่จะได้ไปไหน!” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยิน

“ท่านเจ้านครขอรับ เรื่องนี้ไม่ขัดแย้งกันเองอยู่หรือ หากว่าพวกเขาออกมาไม่ได้ แล้วฝ่ายความมืดจะออกปล้นสะดมไปทั่วระบบสุริยะได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้น สหพันธรัฐรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นถูหน้าผาก แม้ชายหนุ่มจะเคยได้เรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับกระบี่สำริดเขียวโบราณที่ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อน แต่ในตอนนี้เขาก็ยังตื่นเต้นมากกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งจะได้รู้มา

“สหพันธรัฐคิดหาคำตอบของคำถามที่เจ้าเพิ่งถามมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว สำนักวังเต๋าไพศาลอาจติดอยู่ที่นั่นก็จริง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะออกมาไม่ได้ ทว่าการเคลื่อนย้ายออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณนั้นใช้ทรัพยากรและแรงงานมหาศาล ตอนที่ฝ่ายแสงสว่างกุมอำนาจได้นั้น พวกเขาได้ใช้ทรัพยากรไปจำนวนมากเพื่อจะเคลื่อนย้ายคนคนหนึ่งออกมา ในฐานะตัวแทนของพวกเขา คนผู้นั้นก็มุ่งหน้าตรงมาที่สหพันธรัฐทันที!

“ท่านหมายถึงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตอบทันทีด้วยความตกตะลึง

“ชื่อของท่านผู้นั้นคือโมเกาจื่อ เขาก็คือคนเดียวกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่เจ้าพูดถึง ตอนที่เขาเดินทางมาถึงสหพันธรัฐและพบอดีตผู้นำหลี่ซิงเหวินนั้น เขาไม่ได้ซ่อนเจตนารมณ์เอาไว้แม้แต่น้อย เขาบอกเล่าเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับสำนักวังเต๋าไพศาล และทำงานร่วมกับสหพันธรัฐอย่างใกล้ชิด…เพื่อสอนการฝึกปราณและเรื่องอื่นๆ…การมาของเขาทำให้อารยธรรมการฝึกปราณของสหพันธรัฐรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว!” เมื่อเจ้านครพูดถึงโมเกาจื่อ น้ำเสียงของนางนั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม ความเคารพ และอารมณ์อื่นๆ มากเกินจะพรรณนา

ดวงตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงขึ้นทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เรื่องนี้เกินความคาดหมายของเขาไปมาก แต่ถึงอย่างนั้น หากคิดใคร่ครวญดูดีๆ มันก็น่าเชื่อถืออยู่ เพราะอย่างไรเสีย ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อเกินไปเมื่อคิดว่าสหพันธรัฐก้าวหน้ามาถึงจุดนี้ได้ภายในระยะเวลาเพียงสี่สิบปีด้วยด้วยกำลังของตัวเองและผ่านการลองผิดลองถูก

“ในช่วงนั้นเองการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก็เริ่มต้นขึ้นบนดาวพุธ ตามความต้องการของศิษย์พี่โมเกาจื่อ เขาบอกเราอย่างชัดเจนว่าเมื่อใดที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเสร็จสมบูรณ์ ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณและผู้คนจากสหพันธรัฐก็จะไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวกดาย และเราจะเปิดประตูต้อนรับบรรดาผู้ฝึกตนจากบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ!”

“สิ่งที่ข้าเพิ่งบอกเจ้าไปนั้นเราเรียนรู้มาจากศิษย์พี่โมเกาจื่อทั้งสิ้น ทั้งตัวข้าเองและผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจกับความช่วยเหลือที่ศิษย์พี่โมเกาจื่อได้มอบให้เรามาโดยตลอด เขาคนเดียวทำให้อารยธรรมการฝึกปราณในสหพันธรัฐก้าวหน้ามาได้ ตอนที่เขามาถึงโลกเมื่อสี่สิบปีก่อนหน้านี้ สหพันธรัฐ…ไม่มีกระทั่งผู้ฝึกตนระดับการฝึกตนโบราณแม้แต่คนเดียว หากเขามีจิตคิดร้ายต่อเราแล้ว สหพันธรัฐก็คงจะไม่ได้เป็นเหมือนอย่างทุกวันนี้แน่”

“แต่…” เจ้านครเงียบไปชั่วอึดใจ จากนั้นนางก็ถอนหายใจออกมา ความรู้สึกที่อยู่ในน้ำเสียงของนางสับสนปนเปกันเมื่อนางพูดประโยคต่อไป

“อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่คนของเรา และไม่ใช่ผู้มีอำนาจในสำนักวังเต๋าไพศาลด้วย…พวกเราเชื่อในความปรารถนาดีของเขา แต่ก็ไม่อาจมั่นใจได้เต็มร้อย ความล้มเหลวนั้นมีราคาแพงเกินไป…

“ดังนั้นหลังจากที่เข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด หลังจากที่ศิษย์พี่โมเกาจื่อขอให้สหพันธรัฐรวบรวมทรัพยากรและสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขึ้น อดีตผู้นำหลี่ซิงเหวินจึงตัดสินใจ…ออกคำสั่งให้ชะลอการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายออกไป และเขายังขอให้ศิษย์พี่โมเกาจื่อทำงานให้เขาอีกอย่างหนึ่งอีกด้วย!

“งานนั้นก็คือ…การพาตัวแทนจากสหพันธรัฐไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณ เพื่อที่ว่าเราจะได้เห็นโลกภายในกระบี่ด้วยตาตนเอง และตัดสินได้ว่าสิ่งใดคือความจริงและสิ่งใดคือความเท็จ!”

“เจ้าน่าจะพอจินตนาการได้ว่าหลี่ซิงเหวินนั้นเตรียมใจที่จะเสี่ยงชีวิตกับการเดินทางครั้งนั้น เขาได้เตรียมการเผื่อในกรณีที่เขาเสียชีวิตเอาไว้หมดแล้ว มีกระทั่งแผนสำรองในกรณีที่เขาถูกควบคุมจิตใจ” เจ้านครทอดถอนใจ น้ำเสียงฉาบเคลือบไปด้วยความรู้สึกร่วมที่มีต่อความยากลำบากในอดีตแม้นางจะไม่ได้ประสบด้วยตนเอง

หวังเป่าเล่อนิ่งงันไป ภาพของหลี่ซิงเหวินปรากฏขึ้นในใจเขา ทันใดนั้นเองชายหนุ่มก็เหมือนจะตระหนักได้…ถึงภาระหน้าที่ที่มาพร้อมตำแหน่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐ

“ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าหลี่ซิงเหวินเจรจากับศิษย์พี่โมเกาจื่ออย่างไร และเขาก็ไม่เคยบอกใคร สุดท้ายแล้ว…ศิษย์พี่โมเกาจื่อก็ตกปากรับคำ ก่อนจะส่งข้อความขึ้นไปถึงสำนักวังเต๋าไพศาล และฝ่ายแสงสวางก็ต้องใช้ทรัพยากรมากมาย รวมถึงพลังปราณของศิษย์พี่โมเกาจื่อ เพื่อจะพาหลี่ซิงเหวินและตัวแทนอีกห้าคนขึ้นไปยังกระบี่สำริดเขียวโบราณ

“เมื่อพวกเขาเห็นสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยตาตนเองและยังได้รับโอกาสมากมายในการฝึกฝนเพื่อเพิ่มพลังปราณ พวกเขายืนยันเจตนาบริสุทธิ์ของฝ่ายแสงสว่างก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงซึ่งกันและกัน หลี่ซิงเหวินอุ้มทารกคนหนึ่งกลับมาด้วย ส่วนอีกห้าคนนั้น คนหนึ่งกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งตระกูลนภาห้าสมัย คนหนึ่งเป็นหัวหน้าคณะเสนาบดีคนปัจจุบัน คนหนึ่งก่อตั้งกลุ่มไตรจันทรา และอีกสองคนกลายมาเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักสหชุมนุมสกุณาตามลำดับ!

“การเคลื่อนย้ายครั้งนั้นส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อกระบี่สำริดเขียวโบราณ และก็เป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีการเคลื่อนย้ายอีกนับตั้งแต่ครั้งนั้น”

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็จำได้ว่าจั่วอี้ฟานเคยบอกไว้ครั้งหนึ่งว่า ตระกูลนภาห้าสมัยมีกระบวนเวทแปลกประหลาดที่สามารถเรียกชีวิตในชาติภพที่แล้วของคนคนหนึ่งมาดูได้ ชายหนุ่มคาดเดาตัวตนของทารกที่ผู้อาวุโสสูงสุดพากลับมาด้วยเช่นกัน

*หลี่อู๋เฉิน…*หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างหนัก จนกระทั่งเสียงของเจ้านครดังขึ้นมาอีกคำรบ

“หลังจากนั้น สหพันธรัฐก็เริ่มเตรียมการปฏิบัติการดวงอาทิตย์ปักกระบี่และปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐ เราเริ่มหาทรัพยากรและเริ่มก่อสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย แผนของพวกเราถูกชะลอออกไปเพราะเหตุการณ์ท้องทะเลแห่งอสูร ระหว่างการต่อสู้นั้น…ศิษย์พี่โมเกาจื่อได้ถือสันโดษเพราะเขาใช้พลังปราณไปมากในการเคลื่อนย้าย จึงไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย

“แต่ในการต่อสู้ครั้งนั้น แม้สหพันธรัฐสูญเสียเลือดเนื้อไปมาก แต่ก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจบการต่อสู้ หลี่ซิงเหวินก็เริ่มไม่แน่ใจเกี่ยวกับแผนการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย เขาไม่อาจวางใจได้แม้จะได้เห็นความจริงใจของสำนักวังเต๋าไพศาลแล้วก็ตาม สุดท้ายแล้ว เมื่อวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายถูกสร้างจนเสร็จ ผู้ฝึกตนบนกระบี่สำริดเขียวโบราณก็จะไปไหนมาไหนได้ดังใจ สิ่งนี้อาจถือเป็นโอกาสทอง แต่หลี่ซิงเหวินก็กลัวว่าเขาอาจกำลังเปิดประตูสู่นรกอเวจีก็เป็นได้

“อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของอารยธรรมสหพันธรัฐ จึงถูกแล้วที่เขาจะชั่งใจ! ดังนั้นแม้หลี่ซิงเหวินจะเป็นคนสั่งให้เริ่มการก่อสร้าง แต่เขาก็เลือกที่จะประวิงเวลาออกไป เมื่อตัดสินใจเช่นนั้น เขาก็สละตำแหน่ง และให้ต้วนมู่ฉี ผู้สืบทอดสานต่อแผนนั้นด้วยวิธีการของตนเอง

“ต้วนมู่ฉีเสนอให้วิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณ ที่จะกลายมาเป็นอาวุธลับของสหพันธรัฐ ถึงแม้จะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ปิงบังความจริงจากศิษย์พี่โมเกาจื่อผู้ซึ่งหายดีและออกมาจากถือสันโดษแล้ว ต้วนมู่ฉีบอกโมเกาจื่อว่าสหพันธรัฐต้องการความพร้อมและอาวุธลับเพื่อความสบายใจ และเพื่อที่จะร่วมมือด้วยได้อย่างสนิทใจ

“ศิษย์พี่โมเกาจื่อเข้าใจจุดยืนนั้นดี เขารู้ดีว่าอารยธรรมที่อ่อนแอกว่าย่อมมีความกังวลเมื่อต้องเผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่า เขาจึงไม่ได้เข้าขัดขวางแผนการของสหพันธรัฐและเลือกที่จะเฝ้ารออย่างอดทนแทน

“จากนั้น ไม่กี่ปีก่อนเจ้าก็สามารถต้านทานเหตุอสูรหลั่งไหลได้ในการปะทะกันเพียงครั้งเดียว แปลว่าสหพันธรัฐไม่ต้องแบ่งกำลังไปต้านทานเหตุอสูรหลั่งไหลไปพักใหญ่ แถมการวิจัยระเบิดต้านทานวิญญาณก็ยังประสบความสำเร็จในขั้นต้น ในขณะเดียวกัน ต้วนมู่ฉีก็กังวลว่าศิษย์พี่โมเกาจื่อจะเกิดรอไม่ไหวและแผนที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านั้นจะเปลี่ยนไป เป็นเหตุให้ปฏิบัติการกระบี่ปักดวงอาทิตย์ถูกนำกลับมาอีกครั้ง รวมถึงปฏิบัติการพันธุ์กล้าสหพันธรัฐด้วย!

“นั่นเป็นเหตุผลที่เราพาตัวเจ้าเข้ามายังนครหลวง และจัดการคัดเลือก พันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นของสหพันธรัฐจะเป็นผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลุ่มแรกที่ขึ้นไปบนกระบี่สำริดเขียวโบราณตามข้อตกลงระหว่างหลี่ซิงเหวินและฝ่ายแสงสว่างแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเขาจะขึ้นไปที่สำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อเรียนรู้และฝึกฝน นอกจากจะได้เพิ่มพูนระดับการฝึกปราณแล้ว พวกเขายังถือเป็นก้าวแรกในการผูกสัมพันธไมตรีกับสำนักวังเต๋าไพศาลอีกด้วย!”

เจ้านครอาณานิคมดาวอังคารบรรยายประวัติศาสตร์ที่สหพันธรัฐได้เผชิญมาในช่วงสี่สิบปีแห่งยุคกำเนิดวิญญาณด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ ราวกับว่านางได้วาดภาพขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อ อารมณ์ความรู้สึกมากมายพลุ่งพล่านอยู่ภายในใจของชายหนุ่ม และต้องใช้เวลาเป็นนานกว่าจะสงบลงได้