คนที่ไม่เคยสนใจผู้หญิงเช่นเขา ยามนี้กลับคิดมากเพียงเพราะเห็นปีศาจสาวกินบะหมี่

ปีศาจสาวช่างสมเป็นปีศาจสาวจริงๆ

บางทีอาจเป็นเพราะพระจันทร์สีเลือดที่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าในตอนที่ได้พบนางครั้งแรกลงคำสาปเลือดไว้ในร่างของเขา ทำให้เขาไม่อาจสงบใจได้อีก

เซียวเถี่ยเฟิงหรี่ตาลงพลางยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงตะวัน ค่อยๆ ซึมซับความอบอุ่นที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ชั่วขณะนั้น สัญชาตญาณเยี่ยงลูกป่าซึ่งเกิดและโตในป่าลึกที่ติดตัวมาแต่กำเนิดบอกเขาว่า ดวงตาสุกใสคู่นั้นกำลังจ้องมองเขาอยู่

ดวงตาคู่นั้นกำลังสำรวจมองร่างของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนกับคืนแรกที่นางได้พบเขา

แต่บนร่างเขาในยามนี้ มีเพียงกางเกงผ้าเนื้อหยาบเปียกชุ่มเพียงตัวเดียวเท่านั้น

เซียวเถี่ยเฟิงหลุบตาลงก็พบว่า กางเกงซึ่งเปียกแนบร่างของตัวเองกำลังพองตัวขึ้นช้าๆ

พระอาทิตย์ลอยสูง ความอบอ้าวตามแบบฉบับของฤดูร้อนค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วลานบ้าน แต่เซียวเถี่ยเฟิงก็ยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับไปไหน

เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมปีศาจสาวถึงได้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขา? นางต้องการอะไรกันแน่? เขายากจนข้นแค้นจนนอกจากแผลเป็นบนร่างกับมีดในมือ เขาก็ไม่มีอะไรอีก หากนางไม่ต้องการไอหยางของเขา นางต้องการอะไรกัน?

ไม่รู้ผ่านไปนานแค่ไหน หยาดเหงื่อบนหน้าผากของเขาไหลลงมาตามจมูกก่อนจะหยดลงตรงมุมปาก เขาสัมผัสได้ถึงรสเค็ม ขมฝาด และความจนใจ

ทันใดนั้น เขารู้สึกโมโหขึ้นมา

นางกำลังแอบมองเขาอยู่ชัดๆ แต่ทำไมถึงไม่…

เซียวเถี่ยเฟิงพยายามสะกดความปรารถนาในใจเอาไว้ เขาสะบัดขาแรงๆ ให้กางเกงเปียกชื้นปลิวไปทางหนึ่ง จากนั้นก็คว้ากางเกงตัวใหม่ที่ตากอยู่บนราวมาสวม

ไม่อยากก็ไม่อยาก

เขากัดฟัน ตัดสินใจว่าจะไม่สนใจเรื่องนี้อีก

แต่ในตอนนั้นเอง เสียงของอาสะใภ้รองก็ดังขึ้นที่ด้านนอก “เถี่ยเฟิงยังไม่ออกไปไหนหรือ?”

“ยังขอรับ” เขาตอบรับเสียงแหบ

จากนั้น เขาก็เห็นอาสะใภ้รองเดินเข้ามา

ตระกูลเซียวเป็นตระกูลใหญ่ในเขาเว่ยอวิ๋น บิดาของเซียวเถี่ยเฟิงเคยเป็นคนมีหน้ามีตาที่นี่ เขาเคยเป็นหัวหน้าพรานอยู่หลายปี ครอบครัวมีที่นาดีๆ ถึงสามสิบกว่าไร่ แถมที่เชิงเขายังมีร้านขายผ้าอีกหลายแห่ง เรียกได้ว่าร่ำรวยมาก

แต่เสียดาย พอพ่อของเขาเกิดเรื่อง ทุกสิ่งทุกอย่างก็สูญสลายไปจนหมด

ครอบครัวตกอับ บิดาเกิดเรื่อง มารดาล้มป่วยเสียชีวิต เซียวเถี่ยเฟิงซึ่งมีอายุแค่เจ็ดปีต้องย้ายไปอยู่กับอาสะใภ้รอง นับแต่นั้นมา อาสะใภ้รองก็เป็นคนเลี้ยงเขาจนโต

ในความทรงจำของเซียวเถี่ยเฟิง อาสะใภ้รองผู้นี้ไม่เคยยิ้มให้เขาสักครั้ง แต่นางก็เป็นคนที่ให้ข้าวเขากิน เขาจึงยอมลงให้นางทุกเรื่อง ทั้งยังให้เกียรตินางไม่น้อย

พอก้าวเข้ามาในบ้าน อาสะใภ้รองก็เอ่ยถามถึงเรื่องภรรยาของเขา เขาตอบไปว่าเป็นภรรยาที่แต่งงานกันสมัยยังอยู่ข้างนอก ก่อนหน้านี้นางพลัดหลงไป เขาคิดว่านางตายไปแล้ว ตอนนี้ถึงได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

อาสะใภ้รองฟังแล้วก็เริ่มตินั่นตินี่

“เมียของเจ้า แค่ดูโหงวเฮ้งก็รู้ว่าเป็นพวกกระเชอก้นรั่ว เก็บเงินเก็บทองไม่เป็น! เจ้าแต่งเมียมือเติบแบบนี้ ต่อให้มีภูเขาเงินภูเขาทองก็คงไม่มีปัญญาเก็บเอาไว้! เจ้าอายุไม่น้อยแล้ว แม่ก็ไม่มี ข้าไม่เป็นห่วงใครจะมาเป็นห่วง เจ้าอยู่ข้างนอกทำงานหนักกว่าจะหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ได้ ขืนปล่อยให้เมียใช้หมดคงน่าเสียดายนัก!”

กล่าวพลางหยิบไข่ไก่ป่าไปใส่กระเป๋าของตัวเอง ปากก็ยังบ่นไม่หยุด “ไข่นี่ก็อย่ากินเลย อยู่ในป่าในเขาจะกินของดีๆ แบบนี้ไปทำไม? พรุ่งนี้ให้อาเจ้าเอาไปขายที่ตลาดแลกเหรียญทองแดงเก็บเอาไว้! อย่าเห็นว่าเป็นแค่เศษเงินเล็กๆ น้อยๆ ภูเขาเงินภูเขาทองก็ต้องเริ่มต้นจากตรงนี้ทั้งนั้น!”

เซียวเถี่ยเฟิงเคยชินเสียแล้ว ปกติเขามักจะขึ้นเขาไปล่าสัตว์อยู่บ่อยๆ ได้อะไรมาก็ไม่สนใจจะเอาไปขาย วางทิ้งไว้ในบ้านก็กินไม่หมด นางอยากได้ก็ปล่อยให้นางเอาไป

อาสะใภ้รองบ่นไปๆ ก็เดินเข้าไปในบ้าน นางยื่นมือไปแหวกผมของปีศาจสาวเพื่อสำรวจดูใบหู “ติ่งหูเล็กเท่าเม็ดถั่วเหลือง แค่ดูก็รู้ว่าไม่มีวาสนา!”

เขากำลังจะห้ามก็เห็นปีศาจสาวเม้มปากพลางปรายตามองอาสะใภ้รองของเขาด้วยแววตาเยียบเย็น

เห็นเช่นนี้ คำพูดที่กำลังจะพูดออกมาก็ค้างอยู่ในลำคอ

นับแต่นางปรากฏตัว นอกจากเสกมีดปลายแหลมเล่มหนึ่งมาแทงเขาแล้ว เขาก็ยังไม่เห็นนางใช้อาคมอะไรอีก ตอนนี้เห็นได้ชัดว่านางรู้ว่าอาสะใภ้รองของเขาไม่พอใจในตัวนาง นางเองก็อารมณ์ไม่ดีนัก

นางจะรับมืออาสะใภ้รองอย่างไร?

เซียวเถี่ยเฟิงเม้มปากพลางเฝ้ามองอยู่เงียบๆ

ในตอนนั้นเอง อาสะใภ้รองเหลือบไปเห็นขนมเปี๊ยะไข่ที่เขาเพิ่งทำเสร็จเมื่อครู่ นางเดินไปหยิบมาทันที “เมื่อวานหลานของเจ้าเพิ่งร้องจะกิน แต่ข้าตัดใจได้เสียที่ไหน สุดท้ายใช้ไม้กวาดฟาดไปหลายที เขาถึงได้ยอมเลิกรา นี่เดี๋ยวจะเอากลับไปให้หลานของเจ้ากิน จะได้ไม่ร้องไห้งอแงให้รำคาญหูอีก!”

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นปีศาจสาวเบิกตาจ้องขนมเปี๊ยะไข่สีเหลืองทองตาเขม็ง

อาสะใภ้รองหยิบไปชิ้นหนึ่ง นางก็กะพริบตาทีหนึ่ง ความโมโหก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง

ในที่สุด เมื่ออาสะใภ้รองกำลังจะหยิบขนมเปี๊ยะไข่ชิ้นสุดท้ายไป นางก็หมดความอดทน ปีศาจสาวยืดตัวขึ้นแล้วเอื้อมมือไปกระชากกระจาดกลับมากอดไว้กับอกอย่างรวดเร็วราวกับกำลังกอดสมบัติล้ำค่า ท่าทางบอกชัดว่าต่อให้ตายก็จะไม่ยอมปล่อยมือเด็ดขาด!

ปกติอาสะใภ้รองเป็นคนชอบเอาเปรียบคนอื่น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา นางถือว่าตัวเองเป็นคนเลี้ยงเขาจนโตก็เลยเอาเปรียบนั่นเอาเปรียบนี่ตามใจชอบ เขาเองก็ยอมนางมาตลอด นางคงคิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้มาเจอกับปีศาจสาวที่กล้าแย่งขนมเปี๊ยะไข่ซึ่งกำลังจะเข้าปากไปซึ่งๆ หน้า

อาสะใภ้รองตะลึงงันไปครู่หนึ่งก็ร้องด่าเสียงดัง “เถี่ยเฟิง นางคิดจะทำอะไร? กล้าลงไม้ลงมือต่อหน้าผู้ใหญ่งั้นรึ? พ่อแม่ไม่เคยอบรมสั่งสอนบ้างรึยังไง?”

แต่ไม่ว่าอาสะใภ้รองจะก่นด่ายังไง นางก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่สะทกสะท้าน มือทั้งสองกอดกระจาดไว้แนบอก ท่าทางบอกชัดว่าใครกล้าแตะต้องอาหารของนาง นางจะแลกชีวิตกับคนคนนั้น

เซียวเถี่ยเฟิงรู้สึกขบขัน เขาน่าจะมองออกนานแล้วว่านางเป็นปีศาจจอมตะกละ

เพราะอาสะใภ้รองร้องโวยวายไม่หยุด เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงก็เลยพากันมามุงดูเรื่องสนุก อาสะใภ้รองเห็นมีคนนอกอยู่ก็ยิ่งเอาใหญ่ นางร้องห่มร้องไห้พลางคร่ำครวญว่าหลายปีมานี้นางลำบากมากขนาดไหน ลูกๆ ที่บ้านต้องกินต้องใช้มากขนาดไหน สุดท้ายนางยังต้องมาเลี้ยงเซียวเถี่ยเฟิง นางดีต่อเซียวเถี่ยเฟิงอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอมีเมียเซียวเถี่ยเฟิงกลับหลงลืมบุญคุณของนาง

“จิตสำนึกถูกเมียกินไปหมดแล้ว!” อาสะใภ้รองคร่ำครวญด้วยความโกรธแค้น ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห สุดท้ายก็เลยยกมือขึ้นชี้หน้าปีศาจสาวแล้วร้องด่าน้ำลายแตกฟอง “นังกระเชอก้นรั่ว อยู่ดีๆ ก็ยุแยงให้ผัวอกตัญญู เขาเว่ยอวิ๋นของเราไม่มีทางยอมรับตัวเรือดอย่างเจ้าแน่!”

เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที

เมื่อก่อนอาสะใภ้รองทำอย่างไรเขาไม่เคยสนใจ ต่อให้นางแย่งอาหารกับปีศาจสาว เขาก็ไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ แต่ครั้งนี้นางมาด่าคนของเขาแบบนี้ ออกจะเกินไปสักหน่อย

เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วพลางตั้งท่าจะเข้าไปปรามอาสะใภ้รองให้เลิกอาละวาด คิดไม่ถึงว่าในตอนนั้นเอง ปีศาจสาวจะเริ่มเอ่ยปากพูดบ้าง

ปีศาจสาวกอดกระจาดเอาไว้แนบอกพลางเลิกคิ้ว จากนั้นก็พูด “@%&%@” ด้วยท่าทางวางอำนาจ

เสียงของนางกังวานใสไพเราะมาก

พอนางเอ่ยปาก ทุกคนก็ได้แต่หันไปมองหน้ากันก่อนจะหันมามองเขา

“นางกำลังพูดงั้นหรือ? นางพูดภาษาอะไร?”

“นางไม่ได้เป็นใบ้หรอกรึ?”

เซียวเถี่ยเฟิงกระแอมเบาๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมเรื่องที่ปีศาจสาวเป็นใบ้ถึงได้แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านรวดเร็วเช่นนี้ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ เขาก็ได้แต่อธิบายว่า “นางเอ่ย…คำสาป”

“คำสาป? มันคืออะไร?”

เห็นสายตางุนงงสงสัยของเพื่อนบ้านแล้ว เซียวเถี่ยเฟิงก็ได้แต่แข็งใจพูดต่อ “นางมีอาคม”

“อาคม?” ทุกคนประหลาดใจมาก สมองเริ่มคิดถึงนิทานเกี่ยวกับอาคมของปีศาจซึ่งอาศัยอยู่บนภูเขา ทุกคนต่างได้ยินนิทานทำนองนี้มาตั้งแต่เด็ก ซ้ำยังว่ากันว่า มีคนรุ่นปู่บางคนถูกสังหารด้วยอาคมอีกด้วย

“ใช่”

สิ้นเสียงของเซียวเถี่ยเฟิง ปีศาจสาวก็ลุกพรวดขึ้นยืนโดยไม่สนใจขาที่ยังกะเผลกของตัวเอง นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าสะเอว อีกข้างโบกไปมา ปากก็พูด “@%@&%” กับบรรดาเพื่อนบ้านที่ยืนอยู่เบื้องล่างด้วยท่าทีของคนที่เหนือกว่า

เสียงนั้นกังวานขึ้นเรื่อยๆ แถมยังพรั่งพรูราวกับสายธารบนภูเขา ทำให้หัวใจของผู้คนหวั่นไหว แม้นางจะพูดจบไปแล้ว เซียวเถี่ยเฟิงก็รู้สึกว่ายังฟังไม่พออยู่นั่นเอง

ปีศาจสาวพูดอะไรก็น่าฟังทั้งนั้น

ทำไมนางถึงไม่พูดต่อเล่า?

แต่เพื่อนบ้านทั้งหลายกลับตกใจมาก ปู่หนิวข้างบ้านกระชับแขนกอดหลานหัวแก้วหัวแหวนแน่นขึ้นพลางถามเสียงสั่น “นาง…นางกำลังร่ายอาคมงั้นรึ?”

เซียวเถี่ยเฟิงกำลังเคลิบเคลิ้ม ได้ยินคนเอ่ยถามเช่นนี้ เขาก็ตอบส่งๆ ไป “น่าจะใช่”

สิ้นเสียงของเขา ทุกคนก็เผ่นหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับเห็นผี

เซียวเถี่ยเฟิงเดินตามไปส่งพลางร้องตามหลังอาสะใภ้รองที่กำลังเผ่นหนีไปที่ปากตรอกสุดชีวิตว่า “อาสะใภ้รอง ว่างๆ ก็มาอีกนะ”