บทที่ 264 ระเบิด มีเพื่อนร่วมยุคอีกหรือ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

“นั่นไงคุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่!”

“คุณชายหน้าหยก!”

“คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่!”

……

หน้าตาน่ากิน เรื่องนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงแค่อาหารหรือหญิงสาว แต่ใช้กับชายหนุ่มได้ด้วยเช่นกัน

ริมฝีปากแดงเรื่อฟันขาวผ่อง อ่อนโยน หล่อเหลา ท่าทางสง่างามไร้ที่เปรียบ ทันทีที่หวังจิ่นหลิงเดินตรงออกมา ชายหญิงรอบตัวก็ไร้สิ้นสีสัน ดูเหมือนว่าแสงทุกอย่างในโลกจะส่องประกายไปที่เขาเพียงคนเดียว เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ ทำให้ไร้สีสันไปอย่างสิ้นเชิง

ก่อนที่จะเข้ามาในเมือง ข่าวนี้ก็ได้แพร่เข้ามาทั่ว ทำให้สตรีมากมายในเมืองพากันตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจ บางคนถึงกับสลบไปด้วยความตื่นเต้น

สตรีในตงหลิงใจกล้ามากทีเดียว

หวังจิ่นหลิงไม่ได้รีบร้อนจะเข้าไปในเมือง เขาลงจากรถม้าแล้วหันไปขอบคุณทุกคนที่เดินทางมาทรงเข้าถึงที่นี่ ส่วนเนื้อหากล่าวว่าสิ่งใดนั้นเฟิ่งชิงเฉินฟังไม่ได้ยิน นางเห็นเพียงขบวนที่คุ้มกันหวังจิ่นหลิงได้หยุดลง ผู้คุ้มกันทุกคนลงจากรถม้าแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะส่งคุณชายใหญ่เข้าไปในเมืองจนลับสายตา!”

กองกำลังที่แตกต่างกัน ฝ่ายที่แตกต่างกัน แต่ความเคารพนับถือมีเช่นเดียวกัน เกียรติยศนี้แม้แต่องค์จักรพรรดิคาดว่าก็ยังไม่ได้รับ ใต้หล้านี้มีเพียงหวังจิ่นหลิงคนเดียวเท่านั้น

หวังจิ่นหลิงเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธ เขายิ้มพยักหน้าแล้วหันหลังจากไป…… องค์รัชทายาทเสด็จมาต้อนรับด้วยพระองค์เอง มีทหารคุ้มกันรักษาพระองค์ติดตามมาจำนวนหนึ่ง

เนื่องจากองค์รัชทายาทเป็นโรคหัวใจ มองไปจึงทำให้รู้สึกสอบผอมซูบ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออำนาจบารมีที่แผ่ออกมา น่าเสียดายเหลือเกินรัศมีอันสูงส่งเหล่านี้ เมื่อเผชิญหน้ากับหวังจิ่นหลิงซึ่งสง่างามกว่า ทำให้ดูเหมือนค่อนข้างจะธรรมดา

“ขอบคุณผู้กล้า และผู้คุ้มครองทุกท่านที่ส่งคุณชายใหญ่กลับมายังเมืองของเรา บัดนี้คุณชายใหญ่ได้เดินทางมาถึงเมืองอย่างปลอดภัยแล้ว ทุกท่านโปรดวางใจเถิด!” ท่าทางขององค์รัชทายาทดูอ่อนน้อมอ่อนโยน ไม่ถือตัวแต่อย่างใด

“องค์รัชทายาทโปรดวางใจเถิด พวกเราจะมองส่งคุณชายใหญ่ด้วยสายตาให้เข้าเมืองไปก่อนแล้วจะจากไปในทันที” คนกลุ่มนี้เนื่องจากเห็นแก่หวังจิ่นหลิงจึงไว้หน้าองค์รัชทายาทไม่น้อย

องค์รัชทายาทเป็นคนฉลาดหลักแหลม เขาจะไม่มีวันทำให้ตัวเองต้องลำบากใจ เขารู้ดีว่าคนกลุ่มนี้มาจากที่ต่างๆ มากมาย และไม่จำเป็นจะต้องไว้หน้าเขา องค์รัชทายาทพยักหน้าด้วยความสง่างามแล้วเชิญหวังจิ่นหลิงเข้าไปนั่งด้วยกันในรถ

นี่คือกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ ต่อให้หวังจิ่นหลิงจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ก็ไม่มีความสมบัติพอที่จะนั่งบนรถม้าขององค์รัชทายาท หวังจิ่นหลิงยิ้มขึ้นแล้วปฏิเสธ องค์รัชทายาทก็ไม่ได้ฝ่าฝืนบังคับเขา แต่กระทำออกมาด้วยท่าทาง

“คุณชายใหญ่ ขี่ม้ากับข้าเป็นเช่นไร?” หวังจิ่นหลิงเดินทางกลับเมืองด้วยท่าทางสง่างาม หากจะให้นั่งอยู่เพียงภายในรถม้า ก็จะทำให้สูญเสียความสง่างามนั้นไปได้ซึ่งองค์รัชทายาทคงจะไม่เห็นด้วย

แม้ว่าตอนอยู่กับหวังจิ่นหลิงจะดูมีความกดดัน ให้เขาซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทมาอยู่เป็นเพื่อนชาวบ้านธรรมดา แต่ในเมื่อทำแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด การที่สามารถได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหวังสำหรับองค์รัชทายาทแล้วต่อให้ต้องสูญเสียเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ก็คุ้มค่า

“พ่ะย่ะค่ะ” ไม่ว่าทิวทัศน์รอบข้างจะเป็นเช่นไร แต่หวังจิ่นหลิงก็ยังคงสุภาพมีมารยาท รอยยิ้มของเขาบนใบหน้าเฉกเช่นสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

“หวังจิ่นหลิงก็คือหวังจิ่นหลิงจริงๆ ไม่ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงเพียงไร แต่แก่นแท้ของเขายังคงไม่แปรเปลี่ยน” เฟิ่งชิงเฉินจำได้ว่าครั้งแรกที่ได้พบหวังจิ่นหลิง เขาสวมชุดคลุมสีขาวเรียบง่ายอยู่ในบ้านหลังซอมซ่อ กลับทำให้รู้สึกว่าสง่างาม

บัดนี้เมื่อเขายืนอยู่อย่างสง่างามท่ามกลางฝูงชนทว่า ไม่แตกต่างอันใดกับการอยู่ท่ามกลางห้องโทรมๆ นั้น ที่ปราศจากความแวววาว

หากใช้ดอกไม้ในการอุปมา หวังจิ่นหลิงเป็นเสมือนดอกบัวที่เบ่งบานงดงามด้วยตนเอง

ชายหนุ่มผู้สง่างามและม้า หวังจิ่นหลิงขี่ม้าเข้าไปในเมือง ชาวบ้านไม่จำเป็นต้องถูกตะโกนขับไล่จากทหาร ทุกคนล้วนหลีกทางให้หวังจิ่นหลิงด้วยตนเอง

“คุณชายใหญ่ คุณชายใหญ่!”

“คุณชายหน้าหยกเจ้าคะ!”

น้ำเสียงอันเขินอายและขี้ขลาดของหญิงสาวดังขึ้นอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ที่ถนนแห่งนั้นหน้าต่างมากมายได้เปิดออก มีทั้งกระเป๋าเงิน ดอกไม้ ไข่มุกและจี้หยกมากมายลอยมา

บนถนนเต็มไปด้วยดอกไม้ กระเป๋าเงิน โปรยปรายงดงาม นี่คือสิ่งที่หวังจิ่นหลิงเท่านั้นจึงจะได้รับ

“ช่างใจกว้างกันเหลือเกิน!” เฟิ่งชิงเฉินพูดไม่ออก

นางคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงตำนาน ที่แท้มันมีอยู่จริง

เมื่อมองเห็นหวังจิ่นหลิงเดินเข้าเมืองไปอย่างสง่างาม เฟิ่งชิงเฉินก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพตัวเองตอนที่เขาเมืองมาสามครั้งสามครา ต้องขอบอกว่าเป็นภาพที่ทำให้คนหงุดหงิดมากเหลือเกิน

ตอนที่นางเข้ามาในเมือง ประตูเมืองนั้นเต็มไปด้วยผู้คน เพียงแต่ไม่ได้ยืนต้อนรับนาง กลับยืนเหยียดหยามนางอยู่

ตอนที่นางก้าวเข้ามาในเมืองก็มีผู้คนโยนของออกมา ทว่ามันเป็นไข่เน่าและผักเน่า เมื่อมองไปยังหวังจิ่นหลิงพบว่าสิ่งของเหล่านั้นคือดอกไม้และกระเป๋าเงิน เป็นสิ่งของมีค่าซึ่งไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย

เฟิ่งชิงเฉินสัมผัสไปที่ใบหน้าของตน แม้จะกล่าวว่าหวังจิ่นหลิงหน้าตาดี แต่นางก็ไม่ได้แย่ เหตุใดการกระทำที่ได้รับจึงแตกต่างกันมากขนาดนี้ นางไม่เข้าใจเลยจริงๆ

“ทำไมหรือ อิจฉาหรืออย่างไร เจ้าเองจะโยนออกไปบ้างก็ได้ บางทีจิ่นหลิงอาจจะรับรู้” ตี๋ตงหมิงคิดว่าเฟิ่งชิงเฉินเห็นหวังจิ่นหลิงได้รับความนิยมมากมายจึงรู้สึกอิจฉา ดังนั้นจึงกล่าวติดตลก

“นั่นน่ะสิท่านอาจารย์ สตรีเหล่านั้นล้วนขวางของออกไป ท่านเองก็ลองขว้างดูไหม? ดูสิคุณชายใหญ่เดินตรงมาที่ทางพวกเราแล้ว” ซุนซือสิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเอื้อมมือไปปลดกระเป๋าเงินของนางออกมา แล้วอย่าใส่เข้าไปในมือของเฟิ่งชิงเฉิน

วันนี้เป็นวันดี ควรจะโยนทุกปัญหาทิ้งไปเสีย

“อย่าไร้สาระ!” เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกอึดอัดใจและถอยหลังออกไป

นางและหวังจิ่นหลิงไม่ได้มีความสัมพันธ์อย่างที่คนเหล่านี้คิด ทั้งสองเป็นเพียงแค่เพื่อน เพียงแค่เพื่อนเท่านั้น!

หากว่าหวังจิ่นหลิงสามารถแต่งงานกับนางได้ บางทีนางอาจจะตกลง แต่บังเอิญเหลือเกินตัวตนของหวังจิ่นหลิงกำหนดไว้แล้วว่าไม่อาจแต่งงานกับสตรีเช่นนางได้

ในเมื่อทั้งสองรู้ว่าไม่มีความเป็นไปได้ก็ไม่จำเป็นจะต้องรั้งความสัมพันธ์นี้เอาไว้อย่างคลุมเครือ นางเองก็รู้ว่าหวังจิ่นหลิงรับรู้ ทั้งสองล้วนเป็นคนง่ายๆ ทั้งสองไม่อาจมอบความรักแบบคู่รักด้วยกันได้เช่นนั้นก็คงเป็นได้เพียงเพื่อนสนิท

“อาจารย์ ข้าไม่ได้ทำเรื่องไร้สาระแต่อย่างใด รีบโยนออกไปเร็วเข้า ไม่อย่างงั้นก็จะสายเกินไปแล้ว!” ส่วนซุนซือสิงไม่ยอมให้เฟิ่งชิงเฉินหลบหลีกไป เหมือนว่าหมอตัวน้อยคนนี้จะเปิดโลกทัศน์ตนแล้ว

“ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” บัดนี้เฟิ่งชิงเฉินเหมือนกับยกก้อนหินมาทุบขาตนเอง ตามปกติทั่วไปแล้วนางไม่เคยแสดงทีท่าว่าเป็นอาจารย์ ดังนั้นซุนซือสิงจึงไม่กลัวนาง

“ท่านอาจารย์รีบโยนไปเร็วเข้า! เร็วเข้า! ทุกคนล้วนโยนออกไปแล้ว ท่านควรจะปฏิบัติตามประเพณี นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอาย”

“ถึงอย่างไรหวังจิ่นหลิงก็ไม่รู้หรอก คนมากมายขนาดนี้ และมีกระเป๋าเงินมากมายจะไปรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นของใคร”

ตี๋ตงหมิงและซุนซือสิงสนับสนุนเฟิ่งชิงเฉิน ไม่ยอมให้นางหลีกเลี่ยงไป

“ท่านอาจารย์ มาแล้วมาแล้วรีบเร็วเข้า!”

องค์รัชทายาทและหวังจิ่นหลิงดำเนินไปท่ามกลางการคุ้มกัน คนหนึ่งเดินข้างหน้าอีกคนเดินตามหลัง ในไม่ช้าก็มาถึงโรงน้ำชาที่เฟิ่งชิงเฉินนั่งอยู่ เฟิ่งชิงเฉินหันไปมองกระเป๋าเงินที่ตกลงมามากมาย นางจึงรู้สึกว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษจากนั้นจึงโยนกระเป๋าเงินที่อยู่ในมือไป

ใครจะไปรู้กันเล่าว่าวินาทีที่เฟิ่งชิงเฉินปล่อยมือ ตี๋ตงหมิงก็ตะโกนขึ้นด้วยน้ำเสียงอันดังว่า “หวังจิ่นหลิงรับเร็วเข้า!”

ไม่รู้ว่าคำพูดของตี๋ตงหมิงเกิดประโยชน์ขึ้นหรืออย่างไร……

วินาทีที่เฟิ่งชิงเฉินปล่อยกระเป๋าเงินของนางออกไป หวังจิ่นหลิงก็ดึงบังเหียนหยุดม้า แล้วเอื้อมมือออกไปคว้ากระเป๋าเงินนั้นเอาไว้เงยหน้าขึ้นแล้วยิ้ม “เฟิ่ง……”

ตูม……

ประโยคหลังของหวังจิ่นหลิงยังไม่ทันกล่าวออกมาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้นข้างกายหวังจิ่นหลิง คุ้มกันด้านข้างถูกระเบิดจนลอยออกไป

“นี่คืออะไร?”

“ทหาร ทหาร คุ้มกันองค์รัชทายาท มีมือสังหาร!” ผู้คุ้มกันนั้นอยู่ข้างกายหวังจิ่นหลิงซึ่งอยู่ห่างจากองค์รัชทายาทและหวังจิ่นหลิงระยะหนึ่ง จึงทำให้เขารอดไปได้

“อย่า!…….” เสียงนี้เฟิ่งชิงเฉินคุ้นเคยเป็นที่สุด ร่างกายของนางตอบสนองเร็วกว่าสมองเสียด้วยซ้ำ

“จิ่นหลิง ระวัง!”

ตูม……

เสียงระเบิดครั้งที่สองดังขึ้น เฟิ่งชิงเฉินกระโดดลงไปจากโรงน้ำชาตรงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของหวังจิ่นหลิง

ให้ตายสิ เป็นไปไม่ได้! ในยุคนี้จะมีระเบิดได้อย่างไร? อีกอย่างระเบิดนี้ดูเหมือนจะมุ่งเป้าไปที่หวังจิ่นหลิง

เฟิ่งชิงเฉินไม่ทันจะได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และไม่มีเวลาไปคิด นางทำเพียงกอดหวังจิ่นหลิงเอาไว้แน่นและปกป้องเขา……

“ชิงเฉิน” หวังจิ่นหลิงรู้สึกหนักและม้าก็ตกใจ ทั้งสองคนกลิ้งลงมาบนพื้น……

“เฟิ่งชิงเฉิน ผู้หญิงโง่เง่า!” ในที่มืดมิด หลานจิ่วชิงที่สวมหน้ากากสีเงินเอาไว้ก้าวออกไปก้าวหนึ่งและมองดูเฟิ่งชิงเฉินกับหวังจิ่นหลิงกลิ้งเข้าไปในฝูงชน