ตอนที่ 448 มีความสามารถและคุณธรรม
ปี้จูส่ายหน้าแล้วกล่าวออกมาอย่างอึกอัก “ได้ยินว่าพวกเขาอาละวาดที่จวนโหว บ่าวจึงกังวลเจ้าค่ะ”
“มิเป็นไรหรอก ข้าแค่ไปเยี่ยมพวกเขาที่จวนเท่านั้น พวกเขาจักทำอันใดข้าได้ ? อีกอย่างถ้าเกิดอันใดขึ้นกับข้าเพราะแค่ไปเยี่ยมที่จวน เจ้าคิดว่าท่านอ๋องจักปล่อยพวกเขาไว้หรือ ? ” อันหลิงเกออธิบายเหตุผลให้นางสองคนได้คลายกังวล
“เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินอันหลิงเกอกล่าวเช่นนี้ ปี้จูก็มีรอยยิ้ม นางลืมไปได้เยี่ยงไรว่าคนตรงหน้าเป็นถึงพระชายาของท่านอ๋องมู่ มิว่าจวนไหนโกรธแค้นก็คงมิกล้าลงมือบุ่มบ่ามกับพวกนางอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าปี้จูสบายใจขึ้นแล้วจึงพากันเตรียมตัวออกเดินทาง “พาหมิงซินไปด้วย”
มินานพวกนางก็ออกเดินทางและสถานที่แรกก็คือจวนของแม่ทัพหลิงนั่นเอง
พอลงจากรถม้าแล้วนางก็เงยหน้ามองป้ายชื่อขนาดใหญ่ซึ่งแขวนอยู่ด้านบนประตูจวน จากนั้นก็ค่อย ๆ ก้าวเข้าไปด้านใน
เมื่อแม่ทัพหลิงเห็นอันหลิงเกอก็อดหัวเราะออกมามิได้ นางยังมิทันเอ่ยปาก เขาก็ตั้งใจพูดขัดขึ้นมาเสียก่อนราวกับรู้ว่านางมาเพราะเหตุใด
“แม่ทัพหลิงอย่าทำมิรู้ ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้วว่าข้ามาเพราะเหตุใด นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท และหากท่านมิยินยอม ท่านอ๋องคงต้องส่งชื่อท่านให้ทางราชสำนัก ! ”
คำพูดของอันหลิงเกอทำให้อีกฝ่ายแปลกใจมิน้อย หรือว่าบุตรสาวของตน…มิเป็นที่โปรดปรานเลยหรือ
“เยี่ยมไปเลยเจ้าค่ะ พระชายาสามารถเกลี้ยกล่อมคนพวกนี้สำเร็จจนได้ พระชายาช่างมีความสามารถและคุณธรรมจริง ๆ เจ้าค่ะ ! ” หลังออกมาจากจวนสุดท้าย ปี้จูก็เอ่ยอย่างร่าเริงพร้อมยิ้มหน้าบานราวกับดอกไม้
“ใช่แล้ว พระชายาทำให้คนพวกนั้นพูดอันใดมิออกไปเลย” หมิงซินก็เสริมขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม
ท่าทางของอันหลิงเกอในวันนี้ พวกนางมิเคยเห็นมาก่อน แน่นอนว่าเริ่มดูเหมือนนายหญิงตัวจริงแล้ว
พอกลับถึงจวน มู่จวินฮานก็รีบมาหานางทันที
เมื่อเห็นท่าทางรีบร้อนของเขา นางจึงหยิบผ้าสะอาดมาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าที่ดูกังวลให้เขา
“ข้ามิเหนื่อยหรอก เมื่อครู่ข้าเพิ่งจัดการงานราชการเสร็จแล้วก็ตรงมาที่นี่ทันที ข้ามีข่าวดีมาบอกเจ้าว่าพรุ่งนี้พวกเราออกไปข้างนอกเพื่อหาซื้ออิฐและหินที่ใช้ในอุทยานหลวงกันเถิด”
อันหลิงเกอเงยหน้ามองเขาพร้อมรอยยิ้ม “เฮ้อ เราสองสามีภรรยาอยู่มิติดจวนกันเลย เหล่าสตรีนางอื่นคงคิดถึงท่านอ๋องแล้วเจ้าค่ะ”
“มิใช่เรื่องที่ข้าต้องสนใจอยู่แล้ว” มู่จวินฮานกุมมือของนางไว้พร้อมแววตามั่นคง
“ขอเพียงเจ้าชอบ ต่อไปถ้าต้าโจวมั่นคงแล้ว ข้าจักพาเจ้าหายตัวไปพักผ่อนตามป่าเขาหรือท่องเที่ยวทั่วหล้าดีหรือไม่ ! ”
เมื่อได้ยินมู่จวินฮานเอ่ยว่ายอมทิ้งราชสำนักเพื่อนาง แค่นึกถึงตรงนี้ภายในใจก็รู้สึกอบอุ่นจนขอบตาร้อนผ่าว สุดท้ายก็มีหยดน้ำตารินไหลลงที่ข้างแก้มของนาง มู่จวินฮานเห็นดังนั้นก็รีบเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
ที่ผ่านมาอันหลิงเกอมิเคยนึกถึงเรื่องการใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดามาก่อน สิ่งที่นางนึกถึงตลอดก็คือเรื่องการตายของมารดาและตนเองเมื่อชาติก่อน ทว่าตอนนี้นางมีความคิดตรงกับมู่จวินฮานเสียแล้ว
วันรุ่งขึ้น ทั้งสองก็ออกเดินทางไปยังเมืองใหม่ที่เต็มไปด้วยการผสมผสานของมนุษย์ วัฒนธรรมและความเป็นอยู่จึงทำให้เมืองดูมีชีวิตชีวามาก
แม้บอกว่ามาซื้อของ แต่สำหรับอันหลิงเกอก็มิได้ต่างจากการมาท่องเที่ยวเลย การมาในวันนี้ทำให้นางรู้สึกดีใจยิ่ง
พวกเขาพากันเดินเที่ยวไปรอบ ๆ พร้อมดูของตามรายทาง
“อ๊ะ” อยู่ ๆ อันหลิงเกอก็โดนเด็กผู้ชายหน้าตามอมแมมคนหนึ่งชนเข้าอย่างแรง แต่เด็กคนนั้นมิได้กล่าวสิ่งใดออกมาและวิ่งหนีไปทันที
หมิงซินที่เห็นเหตุการณ์ก็อดตำหนิออกมามิได้ “ชนคนขนาดนี้ยังมิรู้จักขอโทษสักคำ” เมื่อเห็นอันหลิงเกอกุมหน้าท้องเอาไว้และใบหน้าซีดเซียวจึงถามด้วยความกังวล “พระชายาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ตอนนั้นเองมู่จวินฮานจึงรีบเข้ามาประคองนางแล้วพาไปนั่งบริเวณก้อนหินที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนยื่นมือไปช่วยบีบนวดให้นาง
“มิเป็นไร พวกเราไปกันต่อเถิด ข้ารู้สึกหิวแล้วเราไปหาของอร่อยทานดีกว่าเจ้าค่ะ” นางยื่นมือไปขอเงินมู่จวินฮานเพราะเงินทั้งหมดที่พกมาล้วนอยู่กับเขา
“อืม” มู่จวินฮานยิ้มเอ็นดู เพียงแค่นางมิเป็นไรก็พอแล้ว ทว่าอึดใจต่อมาสีหน้าของเขาก็ตื่นตระหนก
“ทำไมหรือ ? ” เห็นท่าทางของเขาก็รู้ได้ทันทีว่าต้องเกิดอันใดขึ้นแน่ เมื่อเห็นเขาคลำตรงบริเวณที่แขวนถุงเงินเอาไว้ นางก็รู้ได้ทันทีว่าถุงเงินคงโดนเด็กผู้ชายคนนั้นขโมยไปแล้ว
“หายไปแล้ว”
“หา ! ”
มู่จวินฮานกล่าวจบ สาวใช้ทั้งสองก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน แต่อันหลิงเกอแค่มองเขานิ่ง ๆ เพราะมิคิดว่าจักมีคนกล้ากระตุกหนวดเสือ !
เมื่อเห็นท่าทางของอันหลิงเกอแล้ว สาวใช้ทั้งสองก็เงียบเสียงลง อย่างไรคนตรงหน้าก็เป็นถึงท่านอ๋อง พวกนางย่อมตำหนิมากมิได้อยู่แล้ว
“ต้องเป็นเด็กคนนั้นมาดึงความสนใจก่อนฉวยโอกาสขโมยถุงเงินไป ตอนนี้มิมีเงินแล้วพวกเราคงต้องขายภาพวาดเพื่อหาเงิน” มู่จวินฮานกล่าวจบก็หยิบภาพวาดที่เก็บสะสมไว้ออกมาจากรถม้า
เดินทางครั้งนี้พวกเขาแต่งกายธรรมดาและมิได้พาองครักษ์มาด้วย
เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้จึงลำบากมิน้อย
“ต้องทำเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ ? ” เมื่อเห็นท่าทางของเขา นางก็ทนมิไหวเพราะภาพเหล่านี้ล้วนเป็นภาพที่เขาทุ่มเทวาดขึ้นมากับมือ
มู่จวินฮานปกติแล้วชอบวาดภาพ ดังนั้นภาพที่เขาวาดแม้แต่ปัดฝุ่นก็ยังทำด้วยตนเอง แต่ตอนนี้ต้องนำมันมาขายในราคาถูกเสียได้
“มิเป็นไรหรอก ค่อยวาดใหม่ก็ได้” มู่จวินฮานหัวเราะเบา ๆ ก่อนพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเพื่อให้นางวางใจ จากนั้นก็นำภาพวาดทั้งหมดวางบนก้อนหินขนาดใหญ่
มู่จวินฮานสามารถแลกเปลี่ยนภาพวาดให้กลายเป็นเงินได้
อันหลิงเกอที่มองเขาอยู่ก็รู้สึกเหมือนตนได้ใช้ชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาจนอดยิ้มออกมามิได้
หลังกลับเข้าเมืองหลวงได้มินาน อุทยานหลวงก็เริ่มทำการซ่อมแซมต่อและทุกอย่างมู่จวินฮานควบคุมด้วยตนเองทั้งสิ้น
ในสายตาของชาวบ้าน ผู้ที่ทำความดีความชอบให้พวกเขาก็คืออ๋องมู่
เพราะถือเป็นครั้งแรกที่มีการซ่อมแซมสถานที่ของราชวงศ์โดยมิขูดรีดเอาจากประชาชนคนยากไร้
แผ่นดินต้าโจวในเวลานี้สงบสุขนัก ดังนั้นสถานการณ์จัดเก็บภาษีของราษฎรจึงค่อนข้างเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ด้านคลังหลวงก็มีเงินมากขึ้น
ทว่าเพราะก่อนหน้านี้มีการสู้รบกับแคว้นชิงเยว่รวมทั้งมีโรคระบาดและพิษหนอนกู่จึงทำให้เงินในคลังถูกนำมาใช้จ่ายจนลดลงมาก ครั้งนี้จึงต้องให้เหล่าขุนนางช่วยกันบริจาค
“ทูลฟู่หวง ครั้งนี้อ๋องมู่ล่วงเกินเหล่าขุนนางชั้นสูง ลูกคิดว่าเขาต้องวางแผนบางอย่างเป็นแน่ ตอนนี้ทุกคนต่างก็คิดว่าฟู่หวงละเลยพวกเขาและลูกคิดว่ามิเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ ! ”
องค์ชายเจ็ดจ้าวหลานหยู่ใช้โอกาสนี้ใส่ร้ายมู่จวินฮานเพราะหลังจากเรื่องครั้งก่อนพระองค์ก็สูญเสียความเชื่อมั่นจนหมด
“เรื่องนี้ข้าเป็นคนสั่งการอ๋องมู่เอง”
จ้าวหลานหยู่คาดมิถึงว่าเรื่องทั้งหมดจักเป็นเช่นนี้
“หยู่เอ๋อ เจ้าออกไปก่อน เจ้าอย่าทำพลาดเพราะความอวดรู้ของตน ! ”
เมื่อได้ยินคำนี้ของฮ่องเต้ จ้าวหลานหยู่ก็ขบกรามแน่นเพราะตอนนี้มู่จวินฮานทำให้สถานการณ์ของตนย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ
บัดซบ !
ฟู่หวงอยู่ฝ่ายเดียวกับอ๋องมู่ตั้งแต่เมื่อไร ! หากเป็นเช่นนี้ในภายภาคหน้าสถานการณ์ของตนก็ต้องลำบากยิ่งขึ้น