แสงตะวันลายพร้อยพรมระหว่างป่า เสียงคุยเล่นหัวเราะรวมถึงเสียงร้องแหบสากของไก่ป่าสะท้อนก้องป่าภูเขาอันเงียบสงบ
“ไม่เลว ไม่เลว ขายได้หลายอีแปะอยู่” เซี่ยหย่งเอ่ย
“ขนนี่ก็สวย มีค่ายิ่งกว่าเนื้ออีก” ภรรยาของเซี่ยหย่งลูบไก่ป่าเอ่ยอย่างดีใจ
คุณหนูจวินยืนอยู่ที่เดิม มองเซี่ยหย่งหิ้วไก่ป่าที่ถูกเส้นด้ายพันหมื่นเส้นมัดไว้ตัวนั้นขึ้นมา ขนสักเส้นก็ไม่ร่วง
“พวกท่านวางเจ้านี้ไว้ เพื่อจับไก่ป่า?” นางเอ่ยถาม
ภรรยาของเซี่ยหย่งหันหน้ามา มองคุณหนูจวินที่ยังกอด**บยายืนอยู่ที่เดิมคล้ายจะอึ้งอยู่นิดหน่อย
“ใช่แล้ว” เซี่ยหย่งว่าพลางยื่นมือชี้ๆ ท่าทางภาคภูมิใจอยู่บ้าง“บนเขาลูกนี้วางไว้มากมายนักล่ะ สิ่งใดล้วนจับได้”
“ใช่แล้ว” ภรรยาของเซี่ยหย่งก็เอ่ยบ้าง คิดนิดหนึ่งก็เสริมอีกหนึ่งประโยค “ไก่ป่ามีค่าที่สุด”
ไก่ป่ามีค่ากี่อีแปะ คุณหนูจวินไม่รู้ แต่ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าทำไมสามคนนั้นฉวยตนเองออกมาจากในกระโจมง่ายดายปานนั้น
ที่แท้อาจารย์ไม่ใช่แค่สอนค่ายกลลับนี่ให้พวกเขา นอกจากนี้ค่ายกลลับนี่เดิมทีก็ใช้มาล่าสัตว์
ค่ายกลสังหารที่ร้ายกาจที่สุดบนฟ้าใต้พิภพตั้งแต่โบราณจวบจนถึงปัจจุบัน กำชับนางจริงจังว่าไม่ให้ใช้พร่ำเพรื่ออะไรกัน
ค่ายกลสังหารอะไรเล่า สังหารไก่เรอะ!
เหมือนกับเกมหมากโบราณที่ไม่มีคนแก้ได้นั่นน่ะแหละ เป็นแค่ของเอามาหลอกเด็กเล่นชัดๆ
ก็มีแค่นางมองเป็นของล้ำค่า
รังแกกันจริงๆ เขารังแกนางเก่งนักล่ะ
คุณหนูจวินยื่นมือปิดหน้าร้องไห้ขึ้นมา
สองสมาชิกสกุลเซี่ยตะลึงงัน
“นี่ นี่เกิดอะไรขึ้น?” เซี่ยหย่งเอ่ยถามไม่เข้าใจ “อยู่ดีๆ …”
ภรรยาของเซี่ยหย่งก้าวไวๆ เข้ามาแล้ว
“เป็นอะไรไป? คุณหนูจวินท่านเป็นอะไรหรือ?” นางวิตกเอ่ยถาม มองบนล่างซ้ายขวาอีกรอบ “ถูกแมลงกัดใช่หรือเปล่า?”
คุณหนูจวินร้องไห้พลางส่ายศีรษะ
“ข้าไม่เป็นไร พวกท่านไม่ต้องสนใจข้า ข้าแค่ปุบปับอยากร้องไห้สักหน่อย ข้าร้องไห้แปบเดียวก็ไม่เป็นไรแล้ว” นางร้องไห้บอก
แค่ปุบปับอยากร้องไห้สักหน่อย? นี่มันนิสัยงานอดิเรกอะไรกัน? สามีภรรยาสกุลเซี่ยสบตากัน ก็คงเพราะหวาดกลัวกระมัง? ถูกลักพาตัวมากะทันหันเช่นนี้
“คุณหนูจวิน” ภรรยาของเซี่ยหย่งถอนหายใจรู้สึกผิดอยู่นิดๆ “ท่านอย่ากลัว ขออภัยจริงๆ วันนี้พวกเราจะส่งท่านกลับไป”
กลับไป? นางไม่ไปหรอก นางลำบากนักกว่าจะตามหาสถานที่แห่งนี้พบ
“ข้าไม่ไป” คุณหนูจวินร้องไห้เอ่ย
ไม่ไป? สามีภรรายาสกุลเซี่ยสบตากันอีกครั้ง โกรธหรือ?
“พวกเจ้ามาได้ยังไง?” มีเสียงบุรุษแหบห้าวดังมาจากด้านหน้า เห็นชัดว่าเขาได้ยินเสียงร้องไห้แล้ว “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
คุณหนูจวินมองไปโดยไม่ทันรู้ตัว ใบหน้าเลือนรางดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในสายตา
นางอดไม่ได้รีบใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา เบิกตาโตมองใบหน้าอีกดวงหนึ่งจากในภาพกระบวนทัพทหารเดินมาถึงตรงหน้า
“นี่ก็เชิญท่านหมอที่ปลูกฝีได้คนหนึ่งมาอย่างไรเล่า บอกกับพี่สะใภ้แล้วว่าจะมาปลูกฝีให้นิวหนิ่ว” ภรรยาของเซี่ยหย่งเอ่ย นางพูดคำนี้ก็มองไปทางคุณหนูจวิน สีหน้ากระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
แนะนำเด็กน้อยชอบร้องไห้คนนี้เป็นท่านหมอได้อย่างไรเล่า?
กลับเห็นคุณหนูจวินหยุดร้องไห้แล้ว ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ท่านชื่ออะไร?” นางมองผู้ชายที่เดินมา สูดจมูกฟืดๆ สีหน้าจริงจังเอ่ยถาม
บุรุษคนนี้อายุน้อยกว่าเซี่ยหย่งหลายปี แต่เทียบกับในภาพกระบนทัพทหารก็ผ่านวันเวลามาบ้างแล้ว
ที่อาจารย์วาดคงเป็นพวกเขาตอนยังหนุ่มสินะ
บุรุษฉับพลันถูกถามสีหน้าอึ้งไปนิดหนึ่ง มองเด็กสาวที่น้ำตายังคลอเบ้าอยู่คนนี้
“ข้าชื่อหยางจิ่ง” เขาเอ่ย ไม่ได้ลังเลอะไร
“ข้าชื่อจวินจิ่วหลิง พบกันครั้งแรก” คุณหนูจวินคำนับ ก้มศีรษะเอ่ย
เสียงของนางขึ้นจมูก แต่ท่าทางกลับขึงขังจริงจัง ดูไปแล้วแปลกประหลาดยิ่ง
ทั้งสามคนตะลึงไปครู่หนึ่ง
หยางจิ่งวางมือไม้ไม่ถูกอยู่บ้าง ตอบอาอาสองทีไม่รู้จะพูดอะไรดี
“คุณหนูจวินช่างเกรงใจจริงๆ” ภรรยาของเซี่ยหย่งเอ่ย
เกรงใจหรือ? เซี่ยหย่งกลับรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง เด็กสาวคนนี้อ่อนโยนยิ่ง ดูไปแล้วเปี่ยมมารยาท แต่คิดให้ละเอียดตั้งแต่เข้าหมู่บ้านมา นี่เป็นการคำนับครั้งที่สองของนาง ครั้งแรกคือให้ตนเอง นอกจากนี้ล้วนเป็นหลังถามชื่อแซ่แล้ว
นอกจากนี้สีหน้าของนางก็เหมือนรู้จักพวกเขา เหมือนได้ยินชื่อเสียงยิ่งใหญ่มานานพบหน้ากันครั้งแรกแบบนั้น
คำนับให้ตนยังเข้าใจได้ อย่างไรตอนนั้นหลายคนก็เรียกเขาว่าหัวหน้าหมู่บ้าน แต่หยางจิ่ง…
“ข้ามาปลูกฝี บอกกันว่าที่นี่ยังมีอีกคน” คุณหนูจวินเอ่ยกับหยางจิ่งอีกครั้ง
“ปลูกฝีหรือ? มีคนทำการปลูกฝีออกมาได้จริงๆ แฮะ” หยางจิ่งเอ่ย สีหน้าปลงอยู่บ้าง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็รีบไป” ภรรยาของเซี่ยหย่งเอ่ย “พี่สะใภ้คงมาถึงแล้ว”
ได้ยินคำว่าพี่สะใภ้สองคำ เซี่ยหย่งก็เก็บความคิดไว้ ยื่นมือทำท่าเชิญ
คุณหนูจวินกับภรรยาของเซี่ยหย่งอยู่ด้านหน้า เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งรั้งอยู่ด้านหลัง ไก่ป่าตัวนั้นก็โยนทิ้งไว้บนพื้น อย่างไรก็หนีไม่รอดแล้ว
เดินบนทางภูเขาไม่นานก็มาถึงที่ราบแห่งหนึ่ง ที่นี่ถูกคนปรับแต่งไว้เป็นพิเศษ สร้างบ้านหลายห้องหลังหนึ่งไว้ ล้อมรั้ว เหมือนกับหมู่บ้านที่ตีนเขา เพียงแต่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางภูเขาและดูเดียวดาย
เวลานี้สตรีผู้หนึ่งกำลังหันหลังให้พวกเขาตากผ้าอยู่หน้าบ้าน
มองเห็นแผ่นหลังนี้ คุณหนูจวินอดไม่ได้หยุดฝีเท้า กอด**บยาหน้าร่างแน่น
“พี่สะใภ้” ภรรยาของเซี่ยหย่งดีอกดีใจก้าวเข้าไปข้างหน้าแล้ว
สตรีผู้นั้นหมุนตัวมา ยิ้มให้นาง
“มาแล้ว” นางเอ่ย
อายุของนางราวสี่สิบปี เหมือนเช่นคนอื่นๆ บนหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยของความยากลำบาก แต่ยังคงมองความงดงามยามเยาว์วัยออกได้
เพียงแต่ไม่ใช่เด็กสาวที่อยู่ในภาพวาด
“พี่สะใภ้ นี่ก็คือคุณหนูจวิน” ภรรยาของเซี่ยหย่งเอ่ย
สายตาของสตรีผู้นั้นมองมาทางคุณหนูจวิน ก้มศีรษะคำนับให้นาง
“ลำบากคุณหนูจวินแล้ว มาสถานที่ห่างไกลเช่นนี้ของพวกเราโดยเฉพาะ” นางเอ่ย
ดูท่าสตรีผู้นี้ไม่รู้ว่านางมาได้อย่างไร คุณหนูจวินมองนางแล้วยิ้มให้
ภรรยาของเซี่ยหย่งสีหน้าไม่สบายใจอยู่บ้าง กำลังจะพูดอะไรคุณหนูจวินก็เอ่ยปากก่อนแล้ว
“ข้ายินดีนักที่มาที่นี่” นางเอ่ย
นางได้ยินเข้าก็ยิ้มแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรายิ่งยินดี” นางเอ่ย พลางเช็ดมือบนเสื้อผ้า “มารีบนั่ง ข้าไปเรียกนิวหนิ่วมา”
คุณหนูจวินรู้สึกเคร่งเครียดอยู่บ้าง กอด**บยานั่งลง มองสตรีผู้นั้นเดินเข้าไปในบ้าน
อยู่ในบ้านตลอดเลยหรือ?
ได้ยินเสียงพูดคุยในลานแล้วกระมัง? บางทีอาจมองลอดหน้าต่างมาแล้วกระมัง?
ระหว่างที่ขบคิดวุ่นวาย สตรีคนนั้นก็จูงเด็กสาวคนหนึ่งเดินออกมาแล้ว
คุณหนูจวินลุกขึ้นยืน
รูปร่างของเด็กสาวคนนั้นไม่สูง รูปร่างผอมบาง ยืนอยู่หลังร่างสตรีถูกบังจนหมดสิ้น
“ไม่ต้องกลัว ไม่ใช่หมอที่มาตรวจโรค เป็นหมอที่มาปลูกฝี…” ผู้หญิงอมยิ้มเอี้ยวศีรษะเอ่ยกับนาง
เหมือนเด็กสาวคนนี้จะกลัวการพบหมอ?
คุณหนูจวินมองสองคนที่เดินเข้ามาใกล้ทีละก้าวๆ มองผู้หญิงหลีกร่างออก ดันเด็กสาวหลังร่างมายืนอยู่ตรงหน้า
รูปร่างของนางไม่สูงจริงๆ ทั้งยังผอมยิ่งนัก ยิ่งแลดูเล็กขึ้นอีก ไม่เหมือนอายุสิบห้าสิบหกปี เหมือนอายุสิบสามสิบสี่ปีเสียมากกว่า
แม้นางยืนอยู่ตรงหน้า คุณหนูจวินก็ยังคงไม่รู้ว่านางเป็นเด็กผู้หญิงในภาพวาดของอาจารย์หรือไม่
เพราะนางก้มหน้าจนมิด ไม่เพียงก้มศีรษะ ใบหน้าของนางยังถูกผ้าผืนหนึ่งปิดบังไว้ด้วย