ภาค 3 บทที่ 158 ล่าถอยข่าวร้าย

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

คนปิดบังใบหน้า หนึ่งคือไม่อยากถูกคนเห็นหน้า อีกหนึ่งก็คือไม่สะดวงถูกคนเห็น 

 

 

ไม่อยากเป็นตนเองตัดสินใจ ส่วนไม่สะดวกเป็นความจำยอม 

 

 

คุณหนูจวินมองเด็กสาวคนนี้ 

 

 

นางเพราะอันไหน? 

 

 

“คุณหนูจวินปลูกฝีได้แล้ว” ภรรยาของเซี่ยหย่งเอ่ย กอดหัวไหล่ของเด็กสาว 

 

 

เซี่ยหย่ง หยางจิ่งหลบเลี่ยงหมุนตัวไปแล้ว 

 

 

คุณหนูจวินมองสิ่งที่ปิดบังบนใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นทีหนึ่ง 

 

 

เห็นนางมองมา เด็กสาวถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ก้มศีรษะต่ำลงอีก 

 

 

“หัวไหล่ก็พอแล้วสินะ?” ภรรยาของเซี่ยหย่งรีบตบแผ่นหลังของนาง เอ่ยถามอีกครั้ง 

 

 

นางดูมาครึ่งวันแล้วว่าปลูกฝีเป็นอย่างไร แน่นอนย่อมรู้ว่าปลูกฝีทำอย่างไร เรื่องนี้ไม่ต้องถามอย่างสิ้นเชิง คุณหนูจวินรู้เจตนาของนาง 

 

 

ในเมื่อแค่ปลูกฝีที่หัวไหล่ก็ไม่ต้องเห็นใบหน้า 

 

 

นี่เป็นการปลอบเด็กสาว แล้วก็บอกคุณหนูจวินให้ไม่ต้องสนใจที่เด็กสาวคนนี้ปิดบังใบหน้า 

 

 

“ใช่ เปิดหัวไหล่นิดเดียวก็ได้แล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย 

 

 

ภรรยาของเซี่ยหย่งตบหัวไหล่เด็กสาวอย่างดีอกดีใจ 

 

 

“น้าไม่หลอกเจ้าหรอก” นางหัวเราะเอ่ยเสียงเบา “ไม่ใช่หมอพวกนั้นที่มาตรวจโรคอื่นของเจ้า” 

 

 

คุณหนูจวินกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง 

 

 

“แต่ ข้าต้องจับชีพจรของนางก่อน” นางเอ่ย 

 

 

คำพูดนี้ทำให้คนที่อยู่ที่นั่นอึ้งไปแล้ว เด็กสาวคนนั้นยิ่งผลักภรรยาของเซี่ยหย่งออก ไปยืนอยู่หลังร่างมารดา 

 

 

“คุณหนูจวิน ไม่ใช่ไม่ต้องจับชีพจรหรือ?” ภรรยาของเซี่ยหย่งเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ 

 

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งก็มองมาด้วย สีหน้าระแวงอยู่บ้าง 

 

 

“หนังสือประกาศเขียนไว้แล้ว เด็กๆ ที่ร่างกายไม่สบายปลูกฝีไม่ได้เพระหน่อฝีอย่างไรก็เป็นพิษ” คุณหนูจวินเอ่ย มองเด็กสาวที่ซุกอยู่ข้างหลังสตรี “ดังนั้นข้าต้องยืนยันว่านางปลูกฝีได้หรือไม่ได้” 

 

 

เช่นนี้หรือ พวกเซี่ยหย่งสีหน้าเข้าใจแล้วก็สีหน้าลำบากใอยู่บ้าง ยังไม่ทันเอ่ยวาจา เด็กสาวคนนั้นก็หมุนตัววิ่งเข้าไปในบ้าน 

 

 

“ข้าไม่ปลูกฝี” นางเอ่ย 

 

 

เสียงของนางแหลมเล็ก คนก็วิ่งเร็วยิ่ง พริบตาก็พุ่งเข้าไปในบ้านปิดประตูแล้ว 

 

 

ภรรยาของเซี่ยหย่งกับสตรีนางนั้นรีบตามไป 

 

 

“นิวหนิ่ว” พวกนางร้องเรียกพลางตบประตู 

 

 

ประตูถูกคนด้านในขวางไว้ เสียงร้องไห้แผ่วเบาลอยออกมา 

 

 

“ข้าไม่สบาย ข้าไม่สบาย”  

 

 

ป่วยจริงๆ ด้วยสินะ? คุณหนูจวินก็ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่งบ้าง ตรงหน้ารายชื่อสมุนไพรปนเป ถ้อยคำกระซิบสับสนร้อนรนทั้งสิ้นหวังพวกนั้นบนจดหมายลอยขึ้นมาตรงหน้า  

 

 

ไม่พอ ไม่พอ ไม่พอ 

 

 

ต้นเซียนจื่ออิงพวกนั้นก็เพื่อให้นางใช้หรือ? 

 

 

“ข้าเป็นหมอ” นางอดกลั้นเอ่ยขึ้น มายืนข้างประตู “หากเจ้าไม่สบายข้าก็ตรวจให้เจ้า รักษาให้เจ้าได้นะ” 

 

 

นางไม่พูดคำนี้ยังดี พูดคำนี้ออกมาปุบเสียงร้องไห้ของเด็กสาวในห้องยิ่งดังขึ้น 

 

 

“ข้ารู้อยู่แล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านหลอกข้า” นางร้องไห้เสียงแหลม 

 

 

ภรรยาของเซี่ยหย่งสีหน้าร้อนรนร้องเรียกนิวหนิ่ว แล้วดึงคุณหนูจวิน 

 

 

“คุณหนูจวินท่านอย่าพูดเช่นนี้ ท่านไม่รู้ นิวหนิ่วของพวกเรามีบางเรื่องไม่สะดวก” นางเอ่ยเสียงเบา 

 

 

ผู้หญิงดึงนางไว้ส่ายศีรษะ แล้วมองคุณหนูจวินสีหน้าขออภัย 

 

 

“เด็กคนนี้ไม่สบาย” นางเอ่ย “ทำให้ท่านตกใจแล้ว” 

 

 

ไม่เพียงไม่กล่าวโทษกลับเป็นห่วงเป็นใยนาง คุณหนูจวินส่ายศีรษะแรงๆ 

 

 

“ข้ารักษาโรคได้จริงๆนะ วิชาแพทย์ของข้าสูงส่ง” นางเอ่ย อดกลั้นไม่อยู่ขอบตาเริ่มแดง 

 

 

วิชาแพทย์สูงส่งโรคอะไรก็ล้วนรักษาได้ 

 

 

ตอนนั้นนางเคยตั้งคำถามอาจารย์เช่นนี้ 

 

 

“ข้าก็คิดว่าเป็นเช่นนั้น” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “ทว่าสวรรค์ไม่ได้คิดเช่นนั้น” 

 

 

ตอนนั้นนางคิดว่าอาจารย์พูดถึงพระบิดาที่ชะตากำหนดให้รักษาไม่หาย ตอนนี้คิดดู สิ่งที่เขาปลงคือเรื่องอื่น 

 

 

นางสูดหายใจลึกทีหนึ่งพลิกมือดิ้นหลุดจากภรรยาของเซี่ยหย่ง คว้าตัวผู้หญิงคนนี้ไว้ 

 

 

“ให้ข้าดูหน่อยว่านางป่วยเป็นอะไร?” นางรีบร้อนเอ่ยขึ้น 

 

 

การกระทำนี้ของนางทำให้ภรรยาของเซี่ยหย่งตกใจสะดุ้งโหยง 

 

 

“ท่านทำอะไร!” นางร้อง ก้าวเข้ามาขวางผู้หญิงไว้ 

 

 

เซี่ยหย่งกับหยางจิ่งก็ล้อมเข้ามาทันทีเช่นกัน 

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” พวกเขาเอ่ยถามพร้อมเพรียง 

 

 

คุณหนูจวินจะพูดอะไรก็ถูกภรรยาของเซี่ยหย่งขัด 

 

 

“นางดิ้นหลุดจากมือของข้า” นางร้องบอก 

 

 

นางดิ้นหลุดจากมือของนางมีอะไรใหญ่โตกันเล่า? เพราะนิวหนิ่วเป็นลูกสาวของผู้หญิงคนนี้ นางถึงรีบร้อนอยากพูดกล่อมผู้หญิงคนนี้ไง 

 

 

แต่หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งกลับกระโจนมาข้างหน้าพร้อมกัน ทั้งไม่สนชายหญิงแตกต่างอันใด หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาคว้านางไว้ประหนึ่งหิ้วไก่ตัวน้อยหิ้วมาถึงด้านข้าง 

 

 

ภรรยาของเซี่ยหย่งก็ปกป้องผู้หญิงไว้หลังร่างอย่างระมัดระวัง มองคุณหนูจวินสีหน้าระแวง 

 

 

“เจ้าคิดจะทำอะไร?” หยางจิ่งตวาด แล้วมองเซี่ยหย่งอีกรอบ “นี่เจ้าหาหมออะไรมา? อายุน้อยไม่ว่า ยังมีฝีมือดิ้นหลุดจากซานเหนียงอีก” 

 

 

ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้เอง ไม่ผิดเรี่ยวแรงของภรรยาเซี่ยหย่งมากนัก มือที่จับนางไว้ก็มีชั้นเชิงยิ่ง เป็นคนที่ฝึกฝนมาแล้วคนหนึ่ง แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่อาจารยสอนล่ะสิ อย่างไรพวกนางก็นับว่าเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ นางย่อมดิ้นหลุดได้ง่ายดายยิ่งนัก 

 

 

คุณหนูจวินอดไม่ได้กลอกตาทีหนึ่ง 

 

 

ค่ายกลลับที่ร้ายกาจปานนั้นไม่เห็นเป็นเรื่องสลักสำคัญเอาไว้ใช้แค่จับไก่ป่า เพราะตนเองดิ้นหลุดจากมือภรรยาของเซี่ยหย่งกลับคิดว่าตนเป็นคนอันตรายคนหนึ่ง 

 

 

ไม่รู้จริงๆ ว่าพวกเขาฉลาดหรือโง่ 

 

 

ถึงแม้ว่าหากนางอยากทำร้ายพวกเขา ก็เป็นบุคคลอันตรายคนหนึ่งจริงๆ  

 

 

“ข้าไม่รู้ว่านางเป็นใคร นางปลูกฝีได้ พาให้คนสรรเสริญ พวกเราก็เลยลักพาตัวนางมา” เซี่ยหย่งเอ่ย 

 

 

ลักพาตัวมา 

 

 

ผู้หญิงกับหยางจิ่งล้วนสีหน้าชะงักไปวูบหนึ่ง เห็นชัดว่าพวกเขาไม่รู้เรื่องนี้ 

 

 

“พวกเจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” ผู้หญิงขมวดคิ้วเอ่ย ดันภรรยาของเซี่ยหย่งออกมองไปทางคุณหนูจวิน “ในเมื่อเชิญคนมาปลูกฝี ยังไม่เกรงใจหน่อย ถึงกับไร้มารยาทเช่นนี้” 

 

 

เซี่ยหย่งหน้ากลายเป็นสีแดง สีหน้ากระสับกระส่าย 

 

 

“แบบนี้เร็วกว่าหน่อย” เขาเอ่ย 

 

 

ใช่แล้ว ด้วยฐานะของพวกเรา จะเชิญจริงๆ ล่ะก็ จะผลัดมาถึงได้ยังไง 

 

 

“เจ้าทำเช่นนี้ก็ช่างเถิด แต่ง่ายดายปานนี้ก็พาพี่สะใภ้กับนิวหนิ่วมาที่นี่ หากเกิดเรื่องขึ้นมา เจ้าแบกรับไหวหรือ?” หยางจิ่งตะโกน “เจ้าจะอธิบายกับพี่ใหญ่อย่างไร?” 

 

 

ได้ยินคำว่าพี่ใหญ่สองคำ ใบหน้าของเซี่ยหย่งยิ่งแดง สีหน้าของผู้หญิงก็หม่นลง 

 

 

“เรื่องของพวกเราไม่จำเป็นต้องอธิบายกับเขา” นางเอ่ย ผลักภรรยาของเซี่ยหย่งออก เดินมาถึงตรงหน้าคุณหนูจวิน “คุณหนูจวิน เรื่องนี้เป็นพวกเราผิดเอง ข้าขออภัยท่านแทนพี่น้องเหล่านี้ของข้า ท่านผู้เป็นใหญ่ใจกว้าง อภัยให้พวกเขาสักครั้งเถิด” 

 

 

พูดพลางคำนับ 

 

 

พวกเซี่ยหย่งสามคนรีบร้องเรียกสะใภ้ใหญ่ คุณหนูจวินหลีกออกทั้งยังคำนับคืนแล้ว 

 

 

“ข้ารับไว้ไม่ได้” นางเอ่ย “พวกท่านฟังข้าพูด แม้พูดไปแล้วซับซ้อนอยู่บ้าง แต่ข้าก็กำลังตามหาพวกท่านอยู่” 

 

 

ตามหาพวกเรา? ทั้งสี่คนตกตะลึง หมายความว่าอย่างงไร? 

 

 

นาทีนี้เวลานี้ไม่มีเวลาสนมากมายปานนั้นแล้ว คุณหนูจวินตัดสินใจเปิดปากเข้าประเด็น 

 

 

“มีคนผู้หนึ่งชื่อจางชิงซาน…” นางเอ่ย 

 

 

วาจาเพิ่งออกจากปากก็ได้ยินเสียงตีกลองดังขึ้นจากตีนเขา ตามติดมาด้วยควันสายหนึ่งลอยขึ้นมาในสายตา 

 

 

พวกเซี่ยหย่งหยางจิ่งสีหน้าเปลี่ยนไปทันที 

 

 

“มีศัตรูภายนอกรุกราน” หยางจิ่งตะโกน มองควันที่ลอยขึ้นมาสายนั้น ไกลออกไปยังมองเห็นควันสายที่สอง สายที่สามลอยขึ้นมาต่อกัน “จำนวนคนเกือบพัน!” 

 

 

เขามองไปทางเซี่ยหย่งอีกครั้ง 

 

 

“เจ้าทำดีมาก!” เขาตวาดเสียงเบา 

 

 

สีหน้าเซี่ยหย่งทะมึนดั่งก้นหม้อ 

 

 

“คุณหนูจวิน ท่านพูดไม่ผิด คนของท่านมาเร็วจริงๆ” เขายิ้มขื่นนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น 

 

 

“ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปพูดกับพวกเขา…” คุณหนูจวินเอ่ย 

 

 

เสียงพูดยังไม่ทันจบเซี่ยหย่งก็ก้าวเข้ามา ไม่รู้เอาเชือกออกมาจากไหนสองสามทีก็มัดนางไว้แล้ว ภรรยาของเซี่ยหย่งก็ยื่นมือปิดปากของคุณหนูจวินไว้พร้อมกัน 

 

 

คำพูดที่เหลือของคุณหนูจวินกลายเป็นเสียงอึกอัก 

 

 

ภรรยาของเซี่ยหย่งเอามือออก ทั้งปากของคุณหนูจวินก็ชาจนเอ่ยวาจาออกมาไม่ได้แล้ว 

 

 

สิ่งนี้คืออะไร? อาจารย์ทำไมไม่เคยสอนนางมาก่อน? 

 

 

ไม่ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาขบคิดเรื่องนี้ ตอนนี้ที่นี่กำลังจะถูกล้อมโจมตีแล้ว! มีแต่นางถึงขัดขวางทุกอย่างนี้ได้ 

 

 

นางดิ้นรนจะก้าวไปข้างหน้า 

 

 

“พานางลงไป” หยางจิ่งยื่นมือชี้นาง 

 

 

ภรรยาของเซี่ยหย่งสักประโยคก็ไม่พูด แบกคุณหนูจวินขึ้นก็เดิน 

 

 

ผู้หญิงคนนี้เรี่ยวแรงเยอะจริงๆ 

 

 

สายตาของคุณหนูจวินกลับหัว มองเซี่ยหย่งกับผู้หญิงคนนั้นพูดอะไรกันบางอย่าง วิ่งเร็วรี่ลงเขา 

 

 

พร้อมกับเสียงกลอง หมู่บ้านภูเขาเล็กๆ อันเงียบสงบก็วุ่นวายขึ้นมา เด็กๆ ที่เลี้ยงวัวอยู่โยนแส้ทิ้งลงพื้น ชักเคียวในตะกร้าด้านข้างออกมา ส่วนพวกผู้หญิงที่หุงข้าวอยู่เทน้ำกระบวยหนึ่งดับเตาไฟ ไม้เขี่ยฟืนกำอยู่ในมือตวัดเป็นบุปผาดวงหนึ่ง 

 

 

ผู้เฒ่าเด็กน้อยบุรุษสตรีวิ่งมาจากทั่วทุกสารทิศ มองดูเหมือนสะเปะสะปะ แต่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นระเบียบใต้ต้นไม้ใหญ่ปากทางเข้าหมู่บ้าน 

 

 

บุรุษหลายคนส่งเสียงพร้อมเพรียงยกก้อนหินใต้ต้นไม้ขึ้น เผยปากถ้ำแห่งหนึ่ง เด็กน้อยสี่คนกระโดดลงไปกับเส้นเชือก หอกยาวดาบใหญ่เล่มแล้วเล่มเล่าถูกส่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วยิ่ง 

 

 

และในเวลาเดียวกันนี้ บุรุษสตรีผู้เฒ่าเด็กน้อยที่รวมตัวกันอยู่ก็แยกย้ายก้าวเข้าไปคว้าหอกยาวดาบใหญ่ขึ้นมา จากนั้นแบ่งเป็นแถวๆ ตามธงที่โบกสะบัดอยู่ในมือบุรุษสองคนที่ยืนอยู่บนก้อนหิน วิ่งไปยังทิศทางที่แตกต่างกัน 

 

 

มีแค่ไม่กี่สิบคนชัดๆ แต่เมื่อวิ่งเคลื่อนไปกลับประหนึ่งทหารนับพันอาชานับหมื่น 

 

 

………………………………………. 

 

 

“ใช้ได้นี่ แม้แต่ควันส่งสัญญาณก็ใช้ด้วย ดูแล้วร้ายกาจมากอยู่นะ” 

 

 

แม่ทัพใหญ่เผิงหรี่ตายกมือป้องมองควันสีเทาบนท้องฟ้า พูดจบก็หันหน้ามองทีหนึ่ง 

 

 

“เจ้าหนูทั้งหลาย ไปลองฝีมือโจรภูเขาที่ร้ายกาจนี่ดู” 

 

 

หลังร่างเขาคือทหารสวมชุดเกราะเป็นระเบียบแถวแล้วแถวเล่า พวกเขาสีหน้าขึงขัง ได้ยินคำพูดของแม่ทัพใหญ่เผิงก็ตวาดขานรับเสียงพร้อมเพรียง 

 

 

“รับคำสั่ง!”