ตอนที่ 566 ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ถูกรังแก

พันธกานต์ปราณอัคคี

แสงตะวันสีทองส่องผ่านใบไม้กิ่งไม้ที่แน่นหนา ดูราวกับเกล็ดสีทองที่โปรยลงมา แสงสว่างเป็นลายพร้อย มั่วชิงเฉินหรี่ตาครึ่งหนึ่ง มองไปยังยอดเขาลั่วเฉินที่แปลกตาอย่างใจลอย

สติครึ่งหนึ่งของนาง ยังจดจ่ออยู่กับการศึกษาค่ายกลกระบี่โบราณ

ลีลากระบี่เหล่านั้น นางฝืนจดจำได้เพียงเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาพ้นผ่านก็ยิ่งลืมเลือนไปเรื่อยๆ ต่อให้นางคิดหาวิธีอย่างถึงที่สุดก็ไม่อาจแก้ไขได้ สุดท้ายก็ปล่อยเลยตามเลย สิบปีต่อมา สิ่งที่ยังจำได้อยู่ในใจคงมีเพียงหนึ่งสองส่วนในสิบส่วนเท่านั้น

หนึ่งส่วนสองส่วนในสิบส่วนที่ว่านี้ ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่กับนางอย่างมาก ทำให้นางได้รู้จักกับโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรยุคโบราณ รวมไปถึงยอดผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่าระดับก่อกำเนิด

การรับรู้เช่นนี้ มีข้อดีต่อการเลื่อนระดับของนางในอนาคตอย่างเห็นได้ชัด

เทียบได้กับยอดผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนหนึ่งสร้างดินแดนจำลองขึ้นมาเพื่อให้ลูกศิษย์และลูกหลานของตนได้เรียนรู้ ผู้บำเพ็ญเพียรสามารถสัมผัสถึงการบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญเพียรในระดับถัดไป แม้อาจไม่สามารถเลื่อนขั้นแบบรวดเร็ว แต่ความคิดและทัศนคติก็เพิ่มพูนขึ้น

หากเป็นเมื่อก่อน ผู้บำเพ็ญเพียรที่สูงกว่าระดับก่อกำเนิดสำหรับมั่วชิงเฉินนั้นช่างไกลเกินกว่าจะคิด แต่ในตอนนี้ ถึงแม้ว่ายังคงอยู่ห่างไกล แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป มันคือความแตกต่างระหว่างความห่างไกลที่ไม่อาจรับรู้และความห่างไกลที่มองเห็นได้

ใจของมั่วชิงเฉินยังคงหวนคิดถึง ทันใดนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำของบุรุษลอยมา “ท่านอาจารย์”

มั่วชิงเฉินเหลียวกลับ ก็เห็นตู้รั่วในชุดสีครามทั้งตัวกำลังเดินย้อนแสงเข้ามาหานาง

ท่าทางดูอ่อนต่อโลกของเขาหายไปจนหมดสิ้น จังหวะเดินดูมั่นคง สีหน้าสุขุม ดูเป็นผู้ใหญ่แฝงด้วยความเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด

“ท่านอาจารย์ ท่านออกจากการกักตัวแล้ว” ตู้รั่วมองไปยังมั่วชิงเฉินที่สีหน้าดูสดใสยิ่งกว่าวันวาน แววตาฉายความยินดี จากนั้นก็หลบสายตาโดยพลัน แสดงคารวะหนึ่งทีอย่างนอบน้อม

มั่วชิงเฉินมองไปยังลูกศิษย์ที่ไม่ได้เจอกันมาหลายปีของตนแล้วยิ้มขึ้นหนึ่งที “ตู้รั่ว”

“ขอรับ” ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย ตู้รั่วก็สะดุ้งโหยงขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ

“ข้าจำได้ว่าเจ้าปีนี้ น่าจะอายุเจ็ดสิบได้แล้วใช่ไหม”

“ศิษย์ปีนี้อายุเจ็ดสิบเอ็ดปีขอรับ”

มั่วชิงเฉินยกมุมปากยิ้ม แล้วพูดลากเสียงว่า “ตู้รั่วเอ๋ย ข้าอาจารย์ของเจ้าตอนอายุหกสิบสามปีก็เป็นระดับก่อแก่นปราณแล้วนะ ไยเจ้ายังอยู่ในระดับสร้างรากฐานขั้นสมบูรณ์อยู่เล่า ดูแล้วอาจารย์คงฝึกฝนยังไม่พอสินะ”

ตู้รั่วเหงื่อแตกพลั่ก แล้วพูดอย่างสัตย์ซื่อว่า “ศิษย์ทำให้ท่านอาจารย์เสียหน้าแล้ว ท่านอาจารย์โปรดลงโทษด้วย”

มั่วชิงเฉินโบกไปหนึ่งฝ่ามือ แล้วด่าด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเด็กโชคร้ายนี่ เจ้าไม่ต้องตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ได้”

ตู้รั่วมองไปยังมั่วชิงเฉินปราดหนึ่งยังจำใจ

มั่วชิงเฉินสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “ตู้รั่ว เมื่อครู่ข้าพูดเล่นกับเจ้า เจ้าต้องรู้นะ อายุร้อยปีได้ระดับก่อแก่นปราณนับว่าเป็นอัจฉริยะที่น่านับถือแล้วไม่ใช่หรือ”

“ศิษย์รู้ขอรับ” ตู้รั่วเอ่ยเสียงเนือยๆ

อายุร้อยปีก่อแก่นปราณนับว่าอัจฉริยะ แต่อาจารย์ของเขาอายุหกสิบสามปีก็ได้ระดับก่อแก่นปราณ อาจารย์ปู่เหอกวงเจินจวินอายุหกสิบแปดได้ระดับก่อแก่นปราณ สามีอาจารย์ลั่วหยางเจินจวินอายุหกสิบเก้าปีได้ระดับก่อแก่นปราณ มีคนที่มีชื่อเสียงงดงามอย่างทั้งสามคนนี้ เขาผู้ซึ่งอยู่ในระดับสร้างรากฐานสมบูรณ์เพิ่งจะอายุเจ็ดสิบเอ็ดปี ทำให้อาจารย์เสียหน้าแล้วจริงๆ

มั่วชิงเฉินเห็นสีหน้าของตู้รั่ว ก็พอจะเข้าใจความคิดของเขาได้ จึงแอบถอนใจ ดูท่าที่นางกังวลจะถูกต้องแล้ว

ตู้รั่วเป็นรากวิญญาณวายุ ในด้านคุณลักษณะนั้นถือว่าดีเยี่ยม มิหนำซ้ำยังเป็นลูกศิษย์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิด และมีฐานะไม่ธรรมดาในสำนัก

สำหรับลูกศิษย์คนอื่น คุณลักษณะและฐานะเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดไม่อิจฉา แต่ก็เว้นระยะในการเข้าหาโดยไม่ทันรู้ตัว จนทำให้เขายากจะคบหากับสหายรุ่นเดียวกันในสำนัก

นึกถึงตัวเองกับต้วนชิงเกอและมั่วหลีลั่วสองคน เป็นเพราะได้รู้ว่าสถานะต่ำต้อย ตลอดทางที่ร่วมกันถึงแม้ว่าทั้งสามคนต่างมีโอกาสของตัวเอง การบำเพ็ญเพียรทำให้ระยะห่างของพวกนางเพิ่มมากขึ้น แต่มิตรภาพนั้นกลับไม่ได้จืดจางลง

ตู้รั่วเป็นเพราะจุดเริ่มต้นสูงส่ง จึงสูญเสียโอกาสนี้ในสำนักไป

สำหรับตัวเขาแล้ว อาจารย์และอาจารย์ปู่นั้นโดนเด่นจนเป็นที่จับตามอง จนกลายเป็นภาระอันหนักหน่วงที่มองไม่เห็นสำหรับเขา เขาสะสมความเครียดอยู่ในใจไม่หยุด บรรดาลูกศิษย์คนอื่นนับหมื่นนับพันเองก็เพิ่มความเครียดให้กับเขาเช่นกัน

สำหรับบรรดาเหล่าลูกศิษย์แห่งเหยากวง อายุร้อยปีบรรลุระดับก่อแก่ปราณถือว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอัจฉริยะ แต่หากเป็นลูกศิษย์ชิงเฉินเจินจวิน มีอาจารย์ปู่เป็นเหอกวงเจินจวิน หากไม่บรรลุระดับก่อแก่นปราณเมื่ออายุร้อยปีคงผิดต่อทุกคน

มั่วชิงเฉินตบไหล่ตู้รั่วเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้นมา “ตู้รั่ว รากวิญญาณของเจ้าดีพอแล้ว ทรัพยากรในการฝึกบำเพ็ญเพียรนับว่าดีกว่าคนอื่นมาก สิ่งที่อาจารย์อยากเห็นนั้น ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไปได้เร็วเท่าไร แต่เป็นเจ้าไปได้ไกลเท่าไร มั่นคงเพียงใด คำพูดนี้อาจารย์ปู่ของเจ้าเคยบอกข้า ยามนี้ข้าส่งต่อมันให้กับเจ้า”

“ท่านอาจารย์…” ตู้รั่วมองไปยังสายตาอ่อนโยนของมั่วชิงเฉิน กำลังคิดจะพูดบางอย่างแต่ก็หยุดลง

มั่วชิงเฉินยิ้ม “อาจารย์รู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร แต่วันนี้ข้าจะบอกเจ้า เรื่องเหล่านั้นไม่ได้สำคัญกับข้าแม้สักนิด ตลอดเส้นทางที่ข้าได้ประสบมา ก็โดดเด่นมากพอแล้ว ไม่ต้องการลูกศิษย์มาช่วยเพิ่มหน้าตา เจ้าเพียงรับผิดชอบตัวเองก็พอ”

พูดเสร็จก็มองไปที่ตู้รั่วด้วยสายตาอันสื่อความหมายลึกซึ้งปราดหนึ่ง “เจ้าควรรู้ว่า ที่ข้ารับเจ้าเป็นลูกศิษย์ ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าคือรากวิญญาณวายุ แต่เป็นเพราะ เจ้าคือตู้รั่ว”

ตู้รั่วสั่นไปทั้งกาย มองมั่วชิงเฉินอย่างลึกซึ้ง สักพักหนึ่ง ก็ก้มหน้าแล้วพูดว่า “ตู้รั่วเข้าใจแล้วขอรับ”

“เข้าใจแล้วก็ดี” มั่วชิงเฉินยิ้ม แล้วย่างเท้าเดินออกไปข้างนอก

หลายปีมานี้นางร่อนเร่ไปทั่วสารทิศ ตัวนางเองไม่มีเวลาหยุดเพื่อครุ่นคิด ดูแลลูกศิษย์เพียงน้อยนิด ตู้รั่วเป็นเพราะว่าความกดดันจิตใจจึงฟุ้งซ่าน อยากจะพัฒนาอย่างรวดเร็วแต่ไม่สำเร็จ หนำซ้ำยังทำให้เสียโอกาสดีๆ ไปอีก ทั้งหมดนั้นคือความผิดของนางเอง

ยังดีที่เด็กคนนี้เฉลียวฉลาดหนักแน่น ชี้แนะเพียงแค่เล็กน้อยก็รู้ว่าควรทำอย่างไร

“ในหลายปีนี้ ลั่วหยางเจินจวินไม่ได้กลับมาบ้างเลยหรือ” มั่วชิงเฉินเดิมไปพลางถามไปพลาง

ตู้รั่วเม้มริมฝีปาก จากนั้นจึงได้รีบเข้าไปข้างกายมั่วชิงเฉินแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านเจินจวินมิได้กลับมาเลย แต่ก็เขียนจดหมายมาหลายฉบับขอรับ”

พูดพลางขยับมือออก บันทึกหยกพับหนึ่งก็ปรากฏขึ้น “ศิษย์ไม่รู้ว่าอาจารย์จะออกจากการกักตัวตอนไหน กลัวจะทำบันทึกหยกล้ำค่าเหล่านี้หาย จึงได้เก็บมันไว้”

มั่วชิงเฉินรับบันทึกหยกมา แล้วใช้จิตสัมผัสอ่านทีละพับ

‘ศิษย์น้อง จากกันเพียงหนึ่งครั้งเวลาก็ผ่านไปหลายปี ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน…บังเอิญได้หยกวิเศษมาหนึ่งอัน บนหยกมีเงาปรากฏ เมื่อใส่พลังวิญญาณเข้าไปเพื่อกระตุ้น ก็มีเสียงดนตรีอันไพเราะดังออกมา น่าสนุกอย่างมาก จึงเก็บมันเอาไว้ เพื่อมอบให้เจ้าได้เชยชม…’

‘…หลงทางเข้าไปยังดินแดนรกร้าง มีหนูสีน้ำเงินตัวหนึ่ง เข้าใจภาษามนุษย์ นิสัยแปลกประหลาด โดนเล่นงานอยู่หลายครั้ง ในที่สุดมันก็ยอมเชื่อฟัง…’

บันทึกหยกแต่ละพับ บ้างก็พูดถึงสิ่งที่เขาได้ประสบ บางก็พูดถึงสิ่งของพื้นเมือง บ้างก็พูดถึงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ และก็มีบางพับที่เป็นเพียงการบอกความคิดถึงของเขา

มั่วชิงเฉินดูแต่ละฉบับ จิตใจสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหวแต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวานล้ำและคิดถึง

ตู้รั่วที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นอาจารย์ยิ้มแล้วส่ายหน้าเป็นพักๆ สุดท้ายหน้าก็ค่อยๆ แดงขึ้นระเรื่อ จึงแอบสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งที แล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์ยังมีเรื่องต้องรายงานอีกหนึ่งอย่าง”

“เรื่องอะไรหรือ” มั่วชิงเฉินเอาบันทึกหยกเก็บลงในแขนเสื้อ แล้วช้อนตาขึ้นมองไปยังตู้รั่ว

“ท่านประมุขผู้เฒ่าไท่ซ่างแจ้งมาว่า รอให้ท่านออกจากการกักตัวก่อนแล้วให้ไปหาเขาขอรับ”

มั่วชิงเฉินพยักหน้า “อืม ข้ารู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้แหละ เหลียงเฉินเหมยจิ่งเล่า ให้พวกนางไปรอข้าที่ห้องโถงก่อน”

พูดเสร็จก็จิกปลายเท้าลง แล้วทะยานขึ้นบินไปยังยอดเขาโฮ่วเต๋อ

ถึงแม้ว่าจะเป็นพรรคของนางเอง แต่เมื่อเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้วก็ยังต้องระมัดระวังผลที่จะเกิดขึ้น จึงปรากฏตัวต่อหน้าลูกศิษย์ทั่วไปแต่น้อย

เพราะว่าความแตกต่างของลูกศิษย์สำนักทั่วไปและผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดนั้นมีมาก หากผู้บำเพ็ญเพียรเอาแต่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนก็จะส่งผลสะเทือนไปถึงสภาพจิตใจของบรรดาลูกศิษย์สำนัก ไม่เป็นผลดีต่อการบำเพ็ญเพียรของพวกเขา

มั่วชิงเฉินปฏิบัติตามข้อตกลงที่ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรนี้ เมื่อไปจากยอดเขาลั่วเฉินก็เก็บพลังปราณของตนเอาไว้บินไปยังยอดเขาโฮ่วเต๋ออย่างไม่รีบร้อน

เมื่อมองไปด้านล่าง พรรคเหยากวงก็ดูครึกครื้นขึ้นเรื่อยๆ ไปทางไหนก็พบลูกติดในชุดสีครามเดินกันไปมาขวักไขว่ และในท่ามกลางคนเหล่านี้ กลับไม่พบหน้าตาที่รู้จักคุ้นเคยเลย

มั่วชิงเฉินบินผ่านยอดเขาที่อยู่ด้านข้างกำลังจะกลับตัว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งแว่วเข้ามา เมื่อได้ยินเนื้อหานั้นชัดเจนแล้วก็ขมวดคิ้ว หันหน้ากลับไปยังที่ซึ่งเสียงแว่วมา

“รีบเอาว่าวกระดาษที่ศิษย์พี่สวีมอบให้เจ้าออกมา!” หญิงสาวผู้หนึ่งหวีผมรวบเป็นมวยสองมวยดูไปแล้วอายุน่าจะไม่เกินสิบเจ็ดสิบแปดปีกำลังค่อยๆ เดินเข้าไปประชิดหญิงสาวอีกนางหนึ่ง

หญิงสาวผู้นั้นเองก็ดูอายุราวๆ สิบเจ็ดสิบแปดปี ดวงตาคู่นั้นค่อนข้างใหญ่ ทั้งดำและเป็นประกาย ได้ยินดังนั้นหมวดคิ้วแน่น ก้าวถอยหลังโดยไม่พูดอะไร นางถอยไปสะดุดก้อนหินก้อนหนึ่งจนสะดุดล้ม จากนั้นก็รีบยืดหลังลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

“เจ้าจะส่งมาไหม อย่าทำตัวหน้าด้านนัก!” เสียงหญิงสาวมวยผมคู่สูงขึ้น

ด้านหลังของหญิงสาวผู้นี้ยังมีหญิงสาวอีกสองคน ดูแล้วอายุยังไม่มากเท่าไหร่ คนหนึ่งหน้าทรงลูกฟักพูดขึ้นว่า “ศิษย์พี่ อย่าเสียเวลาคุยกับนางเลย ฮึ นางนี่คิดว่ามีศิษย์พี่สวีคอยหนุนหลังแล้วจะทำยโสได้ ตอนนี้ศิษย์สวีกักตัวเข้าระดับสร้างรากฐาน นางจะมีลูกไม้อะไรได้อีก”

“ใช่สิ ถึงจะอ้อนศิษย์ที่ให้ทำว่าวกระดาษให้นาง เจ้าฉลาดก็รีบเอาว่าวกระดาษออกมา ไม่เช่นนั้นจะได้เห็นดีกัน!” หญิงสาวอีกนางหนึ่งพูดเสริม

หญิงสาวตาโตไม่พูดอะไรเลย จ้องถมึงทึงไปยังคนทั้งสาม สีหน้านั้น ดูราวกับอสูรตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บแต่ก็ไม่ยอมแพ้

มั่วชิงเฉินตอนแรกคิดจะออกหน้าช่วย แต่รู้สึกสนใจในตัวหญิงสาวผู้นี้ จึงตั้งใจดูต่อว่านางจะรับมือเช่นใด

น่าเสียดายที่หญิงสาวผู้นี้ถึงแม้นิสัยจะดื้อดึง แต่ความสามารถไม่เท่าไรนัก ระดับการบำเพ็ญอยู่ที่หลอมลมปราณขั้นสิบเอ็ด เมื่อรับมือกับระดับหลอมลมปราณช่วงปลายสามคนในไม่ช้าก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพียงชั่วครู่ก็ถูกผลักลงกับพื้น ถูกหญิงสาวที่เป็นหัวหน้าเอาถุงเก็บวัตถุไปได้ จากนั้นก็ตัดจิตสัมผัสคลายผนึกประทับออกแล้วรื้อค้นอยู่รอบหนึ่ง ข้าวของตกลงมากองกระจัดกระจายรุงรัง

มั่วชิงเฉินมองด้วยสายตาเย็นชา หญิงสาวผู้นี้ครอบครัวยากจนข้นแค้น มีเพียงว่าวกระดาษรูปผีเสื้อที่ส่องประกายแสงวิญญาณอยู่รำไร สะดุดตายิ่งนัก

หญิงสาวผมมวยคู่โน้มเอวลงหยิบว่าวกระดาษ

ในเวลาเดียวกันนั้นเองหญิงสาวตาโตที่ดูเหมือนจะโดนเล่นงานจนสยบก็พุ่งเข้ามาฉับพลัน กอดรัดหญิงสาวมวยผมคู่นั้นแล้วกัดไปหนึ่งที

“โอ้ย!” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้น หญิงสาวมวยผมคู่ออกเเรงสะบัดเท้า แต่ก็สะบัดไม่หลุด จึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “พวกเจ้าตายแล้วหรืออย่างไร ยังไม่รีบมาช่วยอีก!”

พูดเสร็จก็สะบัดมือ ตบหญิงสาวผู้นั้นอย่างแรง “นางชั่ว เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรกับเจ้าจริงหรือ”

หญิงสาวอีกสองคนออกแรงเตะหญิงสาวตาโต หญิงสาวตาโตปล่อยให้พวกนางรุมดึงทึ้ง แต่ก็ไม่คลายปาก ที่มุมปากมีเลือดสดไหลออกมา

หญิงสาวมวยผมคู่เดือดดาลขึ้นมา ยกมือขึ้นแทงกริชเล่มหนึ่งไปทางหญิงสาวตาโต

“พอได้แล้ว!” เสียงตะคอกอย่างเยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้น ทั้งที่เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่ที่เด็กสาวเหล่านั้นได้ยินฟังราวกับเสียงฟ้าผ่าอันน่าสะพรึงกลัว

มั่วชิงเฉินปรากฏตัว แล้วเดินไปยังคนทั้งสี่

หญิงสาวมวยผมคู่ที่เป็นหัวโจกไม่เพียงแต่ดุดันเหี้ยมโหด สติปัญญาเองก็ไม่ได้ด้อย เมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังเดินมาใบหน้ามีแสงสว่างรำไรฉายอยู่ ถึงแม้จะเห็นหน้าไม่ชัดเจนแต่ก็เห็นถึงความสง่ายิ่งใหญ่ จึงรู้ได้ทันทีว่าผู้ที่มามีระดับการบำเพ็ญเพียรไม่ธรรมดา จึงรีบทำความเคารพ “ผู้อาวุโส ศิษย์…”

มั่วชิงเฉินสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงทั้งสามคนก็ถูกซัดจนกระเด็นออกไป พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไสหัวไป”