ตอนที่ 567 พบโดยบังเอิญ

พันธกานต์ปราณอัคคี

มั่วชิงเฉินเหลือบมองหญิงสาวตาโต

เสื้อผ้านางขาดวิ่น ตามเนื้อตัวและใบหน้ามีรอยโลหิต แต่นางกลับไม่สนใจใดๆ กอดกระดาษว่าวที่ตกอยู่บนพื้นแน่น ไม่พูดไม่จา ถลึงตามองมั่วชิงเฉิน

มั่วชิงเฉินมองดูการแต่งตัวของนาง เสื้อเขียวกุ้นขอบขาว เห็นชัดว่ามีสถานะลูกศิษย์นอกสำนัก ขณะจะเก็บสายตาคืนกลับ ก็ต้องอึ้งเล็กน้อย จึงแบ่งจิตสัมผัสออกสำรวจเงียบๆ

ตามความลึกซึ้งของจิตสัมผัส แม้มั่วชิงเฉินมีสีหน้าสงบนิ่ง แต่ในใจกลับแปลกใจยิ่ง หญิงสาวนางนี้มีรากวิญญาณสวรรค์ธาตุดิน!

จะว่าไปก็ไม่แปลก โลกแห่งการบำเพ็ญเพียรมีวิชาลับหรือสมบัติวิเศษบางอย่างสามารถปกปิดลักษณะพิเศษกับรากวิญญาณของตนเองได้ เช่นต้วนชิงเกอในตอนนั้น ที่ปกปิดร่างหยินบริสุทธิ์ แล้วเข้ามาเป็นศิษย์รับใช้ในพรรคเหยากวง

สมบัติวิเศษที่หญิงสาวนางนี้ใช้ปกปิดรากวิญญาณล้ำค่ากว่าที่ต้วนชิงเกอใช้ในตอนนั้น เพียงแต่หญิงสาวต้องมาพบกับระดับก่อกำเนิดอย่างตน ที่บำเพ็ญเคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาโดยเฉพาะ ตามปกติก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าตนจงใจสำรวจผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมลมปราณ ก็ไม่มีทางปิดตนอยู่

ดูๆ ไปหญิงสาวก็เป็นผู้ที่มีเรื่องราวผู้หนึ่ง

พอมั่วชิงเฉินนึกถึงเรื่องเหล่านี้ กลับมีบางอย่างไม่เข้าใจ

ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มีรากวิญญาณสวรรค์กับผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มีร่างหยินบริสุทธิ์ไม่เหมือนกัน ถ้าบอกว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มีร่างหยินบริสุทธิ์เลือกที่จะปกปิดคุณลักษณะของตนเอง เพื่อหลีกเลี่ยงผู้หื่นกระหาย นี่กลับเป็นทางเลือกอันชาญฉลาด แต่ผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่มีรากวิญญาณสวรรค์ มีระดับบำเพ็ญเพียรต่ำ อีกทั้งมาจากสำนักเลื่องชื่อ แต่กลับปกปิดคุณลักษณะ นี่ก็ไม่สมเหตุสมผลแล้ว

“เจ้าชื่ออะไร” มั่วชิงเฉินถามหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างแปลกใจ

หญิงสาวกลับยังคงไม่พูดจา จ้องมองมั่วชิงเฉินอย่างระแวดระวัง

มั่วชิงเฉินลอบส่ายหน้าแล้วโบกมือ บนพื้นมีขี้ผึ้งมังกรหยกรักษาบาดแผลภายนอกอยู่หนึ่งขวด จากนั้นก็ไม่พูดอะไรมาก หันกายจากไป

อย่างที่ก่อนหน้านี้ตนเคยพูดกับตู้รั่วว่า ที่รับเขาเป็นศิษย์ มิใช่เพราะเขามีรากวิญญาณลม แต่เป็นเพราะเขาคือตู้รั่ว

แม้พบโดยบังเอิญว่าหญิงสาวมีรากวิญญาณสวรรค์ แต่ตนกลับไม่ได้คิดอื่นใด ที่ถามชื่อแซ่ ก็เพียงเพราะออกจากการกักตนมา ก็เห็นนางถูกคนกลั่นแกล้ง นับว่าเป็นพรหมลิขิตเหมือนกัน หากนางยินยอม ก็คงทำได้แค่ให้พักอยู่บนเขาลั่วเฉินเท่านั้น

เมื่อใจนางมีเกราะป้องกันผู้คนหนาขนาดนี้ และยังปฏิเสธที่จะพูดคุยกับผู้คนอีก ก็แสดงว่านางไม่มีเหตุจูงใจที่จะไขว่คว้าความสำเร็จ

ผู้ที่มั่วชิงเฉินชื่นชม คือผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียร และไขว่คว้าหาโอกาสด้วยตนเอง คนผู้หนึ่งต่อให้ผ่านเรื่องยากลำบากมาเท่าไร ผู้อื่นก็ไม่มีหน้าที่ต้องไปโอ๋

แสงวิญญาณกะพริบน้อยๆ ร่างของมั่วชิงเฉินค่อยๆ จางหาย

หญิงสาวตาโตจ้องเขม็งไปยังทิศทางที่มั่วชิงเฉินหายตัวไป เนิ่นนานค่อยก้มหน้าลง พลางพูดเสียงต่ำ “ข้าชื่อเซียวฉวิน…”

มั่วชิงเฉินกระโดดลงหน้าถ้ำพำนักของหลิวซางเจินจวิน มีศิษย์สองคนเข้ามาต้อนรับ

“คารวะชิงเฉิงเจินจวิน”

“รบกวนรายงานท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างด้วยว่า ข้าขอเข้าพบ”

“ขอรับ” หนึ่งในศิษย์ที่เฝ้าประตูก้าวเข้าไปด้านใน แล้วกลับออกมาอย่างรวดเร็ว

“เชิญชิงเฉิงเจินจวิน”

มั่วชิงเฉินหันไปพยักหน้าให้ศิษย์เฝ้าประตูทั้งสองคน แล้วเดินตัวเบาเข้าด้านใน

ร่างเพิ่งหายไป ศิษย์ทั้งสองก็พลันตาวาว ที่แท้เมื่อครู่ทั้งสองแสร้งทำเป็นเคร่งขรึม

ศิษย์หน้าละอ่อนโน้มตัวเข้าหาศิษย์อีกคน “ศิษย์พี่ นั่น…นั่นคือชิงเฉิงเจินจวินหรือ!”

“อะแฮ่ม ศิษย์น้อง เก็บอาการหน่อย” ศิษย์หน้ายาวเตือน

ศิษย์หน้าละอ่อนรีบยืนให้ดี แต่สีหน้ายังเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ศิษย์พี่ ข้าตื่นเต้นจนใจเต้นไม่หยุดน่ะ นั่นคือเจินจวินก้อนอิฐผู้เลื่องชื่อเชียวนา วันนี้ในที่สุดก็เห็นตัวเป็นๆ แล้ว”

“อะแฮ่ม ศิษย์น้อง อย่าพูดซี้ซั้ว” ศิษย์หน้ายาวพูดพลางขยิบตา

“ข้าพูดซี้ซั้วที่ไหนกัน ก็ฉายานี้ท่านเป็นคนบอกข้าเองมิใช่หรือ” ศิษย์หน้าละอ่อนตอบอย่างไม่พอใจ

ศิษย์หน้ายาวหน้าละห้อย

แล้วเสียงเยือกเย็นเสียงหนึ่งก็ดังมา “เจินจวินก้อนอิฐหรือ”

“ใช่แล้วศิษย์น้อง เจ้าก็เคยได้ยินเหมือนกันหรือ” ศิษย์หน้าละอ่อนยิ้มก่อนหันมอง แต่กลับนิ่งค้าง

ศิษย์หน้ายาวยกมือขึ้นปิดหน้า ทนมองต่อไม่ได้

“ชิง…ชิงเฉิงเจินจวิน ท่าน…ท่านทำไมถึงออกมาเร็วจัง” พอศิษย์หน้าละอ่อนเห็นว่าเป็นมั่วชิงเฉินกำลังยิ้มน้อยๆ ก็รู้สึกแขนขาอ่อนแรง

มั่วชิงเฉิงขยับมือ ปรากฏก้อนอิฐเปล่งแสงสีทองหนึ่งก้อนในมือ ก่อนโยนเบาๆ ขึ้นลงแบบชั่งน้ำหนักอย่างไม่เชิงตั้งใจนัก “นั่นน่ะสิ ไม่อย่างนั้นจะรู้อีกหนึ่งฉายาของตัวเองหรือ”

ศิษย์ทั้งสองประสานมือขึ้นพร้อมกัน เม็ดเหงื่อผุดขึ้น “ศิษย์ผิดไปแล้ว”

สักพักพอเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ทั้งสองก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น กลับไม่พบร่างมั่วชิงเฉินแล้ว

ตอนนี้มั่วชิงเฉินกลับไปยังเขาลั่วเฉินแล้ว และกำลังเดินไปห้องโถง

ที่แท้หลิวซางเจินจวินเห็นว่านางกับนักพรตจื่อซีมีบางส่วนที่เกี่ยวโยงกัน

เนื่องจากนักพรตจื่อซีตั้งครรภ์แฝง ลูกสาวฝาแฝดที่เกิดออกมาจึงดูดซึมพลังปราณดั้งเดิมไปมาก แม้มั่นใจเต็มเปี่ยมที่จะพิชิตระดับก่อกำเนิดอีกครั้ง แต่กลับถูกหลิวซางเจินจวินห้ามไว้

มั่วชิงเฉินนึกถึงคำพูดของหลิวซางเจินจวินที่ว่า “ชิงเฉิน จื่อซีเป็นคนดื้อรั้น ไม่ยอมแพ้ จิตใจแม้ดีงาม แต่กลับแก้ไขความจริงที่รากฐานเสียหายไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางอายุเจ็ดร้อยกว่าปีแล้ว เหลืออายุขัยอีกไม่มาก ถ้าพิชิตระดับก่อกำเนิดอีกครั้งไม่สำเร็จ เกรงว่าต้องหยุดแต่เพียงเท่านี้ ที่ข้าเรียกเจ้ามาพบ ก็อยากไหว้วานให้เจ้าหลอมโอสถเก้าแปรผันยึดปราณดั้งเดิมให้สักเตา ถ้ามีโอสถนี้ ก็สามารถบำรุงปราณดั้งเดิมที่เสียหายของนางให้ฟื้นคืนกลับ เช่นนี้ความน่าจะเป็นในการสำเร็จระดับก่อกำเนิดก็เพิ่มมากขึ้น”

มั่วชิงเฉินเพิ่งรู้ว่า ตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน อาจารย์ออกเดินทางท่องโลก ถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับ ในพรรคเหยากวง นอกจากอาจารย์แล้ว ผู้มีทักษะการหลอมโอสถยอดเยี่ยมย่อมเป็นนาง

เช่นนี้ นางย่อมตกปากรับคำการไหว้วานของหลิวซางเจินจวิน

จะว่าไปก็เป็นเรื่องบังเอิญเหมือนกัน การหลอมโอสถเก้าแปรผันยึดปราณดั้งเดิมต้องมีหญ้าวิญญาณสดๆ ชนิดหนึ่ง และแหล่งกำเนิดหญ้าวิญญาณชนิดนี้ พอดีอยู่ใกล้เทือกเขาหมิงสยา

ซึ่งนางคิดจะไปที่นั่นอยู่แล้ว เนื่องจากมีจุดประสงค์สามประการ

ประการแรก เสาะหาหมู่บ้านสกุลมั่ว แล้วดูว่าลูกหลานสกุลมั่วคนใดมีหรือไม่มีรากวิญญาณบ้าง จะได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจถ่ายทอดวิชาให้

ประการที่สอง กลับหมู่บ้านเล็กๆ ที่ตนอยู่มาแต่กำเนิดบนโลกใบนี้ ตามหาอัฐิของเวินหนิง และหาโอกาสเหมาะๆ ไปจงหลางสักตั้ง ทำสิ่งที่ฝูฟงเจินจวินฝากฝังให้สำเร็จ อีกทั้งดูด้วยว่าสกุลหลิ่วมีผู้รับการถ่ายทอดวิชาหรือไม่ วิชาที่ฝูฟงเจินจวินให้ไว้ในตอนนั้น นางยังไม่เคยฝึกมาก่อน ได้แต่เก็บไว้ในกำไลเก็บวัตถุจนขี้ฝุ่นขึ้น

ส่วนประการที่สาม แฝงตัวเข้าไปในดินแดนไท่ไป๋ ตามหาฮวาเชียนซู่เพื่อแก้แค้น

นางปล่อยให้มารตนนี้มีชีวิตอยู่นานเกินไปแล้ว

พอเข้ามาในห้องโถง เหลียงเฉินกับเหมยจิ่งก็รออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นนาง ทั้งคู่ก็เข้ามาต้อนรับอย่างยินดีปรีดา

“เหลียงเฉิน เจ้าเล่าเรื่องใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียรหลายปีมานี้ให้ข้าฟังหน่อย เหมยจิ่ง เจ้ารายงานความเป็นไปในสำนักให้ข้าฟังด้วย” มั่วชิงเฉินพูดยิ้มๆ

นางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดแล้ว ไม่ควรที่จะไม่ฟังเรื่องราวนอกหน้าต่างแบบเมื่อก่อนอีก

เหลียงเฉินกับเหมยจิ่งจึงเล่าเรื่องราวของโลกภายนอกในหลายปีมานี้ให้นางฟัง

มั่วชิงเฉินถึงได้รู้ข่าวคราวของคนอื่นๆ อยู่บ้าง

นักพรตรั่วซี มั่วเฟยเยียน และมั่วหร่านอี เข้าไปในแดนสวรรค์มี่หลัวตูด้วยกัน ตอนนี้ยังไม่ออกจากแดนวิญญาณ

หู่โถวฟื้นฟูร่างจริงกลับคืนมาได้ จึงฉวยโอกาสตอนที่พี่สาวทั้งสองเข้าไปในดินแดนลี้ลับ แอบหนีกลับสิบทวีปบูรพา ก่อนกลับยังฝากคำพูดให้เหลียงเฉิน บอกต่อมั่วชิงเฉิน

ขณะต้วนชิงเกอออกเดินทางท่องโลก บังเอิญช่วยชีวิตผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดท่านหนึ่งไว้ ซึ่งท่านนี้ก็แอบมีใจให้นาง และกำลังจีบนางอยู่

ถังมู่เฉินยังคงตั้งหน้าตั้งตาจีบสาวอย่างไม่ลดละ โดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลของผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเหมือนเดิม

ศิษย์พรรคเหยากวงเปิดบ่อนอีกแล้ว คราวนี้พนันว่า นักพรตซู่เหยียนจริงๆ แล้วเป็นผู้หญิงดุที่กลัวผู้ชายจีบ หรือว่าเป็นนกดีที่รู้จักเลือกกิ่งไม้พำนักนอนกันแน่

มั่วหลีลั่วเอาชนะยอดฝีมือระดับผู้นำจากนิกายเทียนเจิ้นได้ในรอบร้อยปี จากการประลองค่ายกลในดินแดนเทียนหยวน พอได้รับชุดค่ายกลแผ่ฟ้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปครอง ก็เก็บตัววิจัยอยู่หลายปียังไม่ออกมา

ในข่าวของผู้คนมากมาย ข่าวที่ทำให้มั่วชิงเฉินใจจดใจจ่อมากที่สุด คือเรื่องของมั่วหนิงโหรว

หลายปีก่อน คุณชายหกแห่งทะเลขนาบใจมาถึงพรรคเหยากวง คิดรับมั่วหนิงโหรวไปอยู่ด้วย แต่กลับถูกนางปฏิเสธ จึงผิดหวังกลับไป

มั่วชิงเฉินลอบถอนใจ ลุกขึ้นยืนแล้วว่า “หลายปีมานี้ลำบากพวกเจ้ามาก ทุกอย่างของเขาลั่วเฉินพัฒนามาในทางที่ถูกต้องแล้ว ที่เหลือต่อจากนี้มอบให้ศิษย์ปฏิบัติงานเป็นคนจัดการก็พอ พวกเจ้าควรออกเดินทางท่องโลกได้แล้ว”

เหลียงเฉินกับเหมยจิ่งหันมาสบตากัน ก่อนตอบพร้อมกันว่า “รับทราบ”

“เช่นนั้นพวกเจ้าก็ออกไปก่อนเถิด ข้าจะไปหาพี่สิบสี่สักหน่อย”

มั่วชิงเฉินก้าวออกจากห้องโถง มายังที่พักของมั่วหนิงโหรว เห็นนางกำลังให้อาหารวิญญาณเป็ดไก่ที่เลี้ยงแบบปล่อยตามธรรมชาติ

เป็ดไก่ฝูงหนึ่งล้อมรอบตัวนางพลางส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ขับเน้นให้แผ่นหลังของนางดูเหงายิ่งขึ้น

“พี่สิบสี่”

มั่วหนิงโหรวหันมา ใบหน้ายังคงอ่อนโยน ขณะเดินดีใจเข้ามารับ “ชิงเฉิน เจ้าออกจากการกักตนแล้ว”

มั่วชิงเฉินดึงมือมั่วหนิงโหรวให้เดินเข้าไปด้านใน ทั้งสองคุยสัพเพเหระกัน หลังจากค่อยๆ ถูกคอกันแล้ว มั่วชิงเฉินก็เหลือบมองมั่วหนิงโหรว แล้วว่า “พี่สิบสี่ ข้าได้ยินพวกเหลียงเฉินว่า คุณชายหกเคยมาที่นี่หรือ”

มือของมั่วหนิงโหรวนิ่งค้าง เนิ่นนานค่อยว่า “อืม เขาเป็นคนรักษาคำพูด พอก่อแก่นปราณได้ก็มา”

“เช่นนี้ พี่สิบสี่ท่าน เหตุใดถึงไม่ไปกับเขาเล่า”

มั่วหนิงโหรวหลุบตาลง ขนตาสั่น “น้องสิบหก เจ้าไม่รู้สึกหรือว่า เป็นเช่นนี้ดีกับข้าและเขามากกว่า”

มั่วชิงเฉินเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ส่งเสียง

มั่วหนิงโหรวพูดต่อ “ชีวิตข้า เป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนขั้นระดับบำเพ็ญเพียรอีก ต่อให้อยู่เป็นเพื่อนเขาโดยไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง จะอยู่ได้อีกสักกี่ปีเล่า แล้วทำไมต้องทิ้งเขาให้อยู่อย่างเงียบเหงาไปชั่วชีวิตด้วย”

ผ่านไปเนิ่นนาน มั่วชิงเฉินค่อยพูดเสียงเบา “พี่สิบสี่ ถ้าเป็นข้า ข้าจะคิดว่า การที่เรามีกันและกัน แม้เพียงชั่วขณะ ก็ไม่เงียบเหงา ท่านอยู่ในระดับสร้างรากฐาน ต่อให้ไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ ก็ยังมีเวลาอีกร้อยปี ในร้อยปีนี้ สำหรับคนธรรมดาถือว่ายาวนานชั่วชีวิตแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มน้อยๆ “แน่นอน ท่านไม่ใช่ข้า ความคิดไม่เหมือนกัน เพียงแต่ในฐานะน้องสาว ข้าหวังว่าท่านจะคิดทบทวนอีกสักครั้ง ข้ากำลังจะลงเขาไปทำธุระ หากพี่สิบสี่คิดพิจารณาอย่างรอบคอบและตัดสินใจได้แล้ว ก็บอกเหลียงเฉิน นางจัดการให้ได้”

“ข้า…จะคิดทบทวนดู” มั่วหนิงโหรวตอบเสียงเบายิ่ง

มั่วชิงเฉินรู้ว่าตนไม่สามารถยุ่งเกี่ยวมากจนเกินไป สองพี่น้องจึงคุยสัพเพเหระกันยาวและอยู่ด้วยกันอีกไม่กี่วัน พอจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างเสร็จ มั่วชิงเฉินก็พาตู้รั่วออกจากพรรคเหยากวง

การที่นางพาตู้รั่วมาด้วย เพราะอยากให้เขาเดินทางมากหน่อย ตลอดทางจะได้ชี้แนะการบำเพ็ญเพียรไปด้วย รอจนจัดการสองเรื่องแรกและหลอมโอสถเก้าแปรผันยึดปราณดั้งเดิมเสร็จ จะได้ให้ตู้รั่วนำโอสถกลับไป ส่วนตนก็เดินทางไปแก้แค้นที่ดินแดนไท่ไป๋

มั่วชิงเฉินเก็บลมปราณคืนกลับ ก่อนควบคุมระดับบำเพ็ญเพียรให้อยู่เขตแดนเดียวกับตู้รั่ว แล้วสองศิษย์อาจารย์ก็ตรงไปยังทิศตะวันตก จนมาถึงบริเวณเทือกเขาหมิงสยาอย่างรวดเร็ว

“เทือกเขาหมิงสยา เป็นเทือกเขาที่ตั้งสำนักลั่วสยา มีดอกอิงฮวา (ซากุระ) ป่าสวยงามเลื่องชื่อลือชา…” มั่วชิงเฉินพาตู้รั่วค่อยๆ เหาะลงมา

กลับได้ยินเสียงพูดคุยดังมา

“ศิษย์พี่ ท่านไม่รู้เรื่องคุณหนูใหญ่หรือ”