หลังจากที่คนของสำนักอวิ๋นเยียนเข้าไปแล้ว  คนของสำนักอื่น ๆ ก็ตามเข้าไปในประตูวังวนนั้นเช่นกัน  เหล่าบรรดาผู้แข็งแกร่งรวมตัวกัน แต่มู่เฉียนซีกลับถูกกักขังอยู่ในพื้นที่หยกเย็นนี้อย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย

— ตูม!  ตูม!  ตูม! —

นางลองหลายต่อหลายวิธีแต่ก็ยังไม่สามารถหาทางออกไปจากพื้นที่นี้ได้

มู่เฉียนซีผงะไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกได้ว่าตอนนี้ตนเองนั้นอารมณ์ร้อนและหุนหันพลันแล่นจนเกินไป เนื่องจากนางมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเอาหม้อเทพนิรันดร์นั้นมาให้ได้ ดังนั้นเมื่อตอนที่ประตูโบราณสถานเปิด จิตใจของนางไม่สงบแม้แต่น้อยเลย

ครั้นแล้วมู่เฉียนซีจึงหลับตาลง รวบรวมสติ ตั้งจิตอย่างแน่วแน่เพื่อให้จิตใจของตนเองสงบที่สุด

นางรวบรวมพลังจิต จากนั้นพลังจิตก็แผ่ซ่านออกไปราวกับพายุฝน นางรู้สึกได้ว่าพื้นที่แห่งนี้มีช่องโหว่อยู่ กระบี่มังกรเพลิงถูกชักออกจากฝักอีกครั้งและโจมตีไปที่ช่องโหว่นั้นอย่างรุนแรง

— ตูม! —

— เพล้ง!  เพล้ง! —

พื้นที่หยกเย็นนี้เริ่มแตกออกทีละนิด ๆ

— ตูม! —

จากนั้นไม่นานนักทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ นางก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ อย่างสมบูรณ์

มู่เฉียนซีกระโดดออกจากพื้นที่นั้น และเดินมาถึงที่ราบหินแดง ทันใดนั้นเอง นางก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแปลก ๆ บริเวณรอบ ๆ ในตอนที่นางถูกกักขังอยู่ในพื้นที่หยกเย็น

คนของสำนักอื่นบุกเข้ามาในโบราณสถานนี้แล้ว…

มู่เฉียนซีบ่นพึมพำ ‘หม้อเทพนิรันดร์บ้า คิดจะเล่นตลกอะไรอีก บ้าจริง ๆ!’

ร่างสีม่วงเดินเข้าไปใกล้กลุ่มคนเหล่านั้น แต่นึกไม่ถึงเลยว่าทันทีที่นางเข้าไปใกล้ คนสองกลุ่มนั้นก็ได้เผชิญหน้ากันแล้ว

“หอการค้าอันดับหนึ่งของพวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงเข้ามาแย่งสมบัติล้ำค่านี้กับสำนักอวิ๋นเยียนของพวกข้า ?!”

“หากพวกเจ้าเก่งจริงก็ไปสู้กับคนของหุบเขาหมอเทวดา แล้วค่อยมาสู้กับพวกข้า”

“ข้ามีทางเลือกให้พวกเจ้าสามทาง ทางเลือกแรก พวกเจ้ามาร่วมมือกับพวกข้าแล้วต่อสู้กับคนของหุบเขาหมอเทวดา ทางเลือกที่สอง ไสหัวไปซะ อย่ามามีส่วนร่วมในการแย่งชิงสมบัติล้ำค่าในครั้งนี้ ส่วนทางเลือกสุดท้าย พวกเจ้าต้องตายด้วยน้ำมือของพวกข้า!”

ถึงแม้ว่าการแย่งชิงในครั้งนี้จะมีคนของหุบเขาหมอเทวดามาเกี่ยวข้องด้วย แต่สำนักอวิ๋นเยียนก็ยังคงอวดดีไร้เหตุผลเฉกเช่นเคย

“พวกเจ้าอย่ากล่าววาจาโอหังเกินไปหน่อยเลย ถึงอย่างไรพวกข้าก็ไม่แพ้พวกเจ้าอย่างแน่นอน” คนของหอการค้าอันดับหนึ่งกัดฟัดกรอด

นี่เป็นเพียงผู้อาวุโสที่หกของสำนักอวิ๋นเยียนและพรรคพวกเท่านั้น คนเหล่านี้ไม่ได้มาเป็นกลุ่มเดียวกับเจ้าสำนักอวิ๋นเยียน ดังนั้นคนของหอการค้าอันดับหนึ่งจึงไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวแต่อย่างใด

“หอการค้าอันดับหนึ่งของพวกเจ้าช่างไม่รู้จักอะไรควรอะไรไม่ควรเอาเสียเลย  พวกเรา  ลงมือ!”

— ปัง! —

ทั้งสองฝ่ายเริ่มลงมือต่อสู้กัน ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายนั้นไม่ได้แตกต่างกันมากนัก

“อู๋ตี้ ลอบเข้าไปจัดการพวกมันสักหน่อยสิ” มู่เฉียนซีกระซิบพลางพยักเผยิดไปทางคนจากสำนักอวิ๋นเยียน

“ขอรับ”

เวลาต่อมา คนของสำนักอวิ๋นเยียนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างลึกลับ จนสุดท้ายผู้อาวุโสที่หกก็กัดฟันกรอด  เขากล่าว “พวกเจ้า ฝากไว้ก่อนเถอะ เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่”

เดิมทีพวกเขาตั้งใจจะต่อสู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง แต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายคนของสำนักอวิ๋นเยียนจะหนีหัวซุกหัวซุนไปเช่นนี้

ผู้นำกลุ่มของหอการค้าอันดับหนึ่งหัวเราะก่อนจะกล่าวกับเหล่าพรรคพวกของตนว่า “พลังของพวกเจ้าก้าวหน้าขึ้นมาก ทุกคนพยายามต่อไป”

ทันใดนั้นเอง เสียงเสียงหนึ่งซึ่งเป็นเสียงของสตรีก็ดังขึ้น “พวกเจ้าเป็นคนของหอการค้าอันดับหนึ่งรึ ?”

พวกเขาเห็นสตรีชุดม่วงปรากฏอยู่ตรงหน้า นายน้อยของพวกเขาเป็นบุรุษผู้งดงามอันดับสองของเซี่ยโจว ทว่าสตรีผู้นี้งดงามกว่านายน้อยของพวกเขาเสียอีก  เพิ่งจะเอาชนะคนของสำนักอวิ๋นเยียนไปได้ไม่นาน นางคงมิใช่ศัตรูของพวกเขากระมัง

“ใช่ พวกข้าเป็นคนของหอการค้าอันดับหนึ่ง แม่นางเป็นคนของสำนักครึ่งระดับสำนักไหนกันหรือ ?”

มู่เฉียนซี “ข้าไม่ใช่คนของสำนักใดทั้งนั้น ข้าเห็นโบราณสถานนี้ก็มาดูเพียงเท่านั้น”

“แม่นางผลีผลามเกินไปแล้ว มาโบราณสถานเก่าแก่คนเดียวเช่นนี้อันตรายยิ่งนัก ยิ่งตอนนี้คนของหลายสำนักต่างก็แห่กันมาที่นี่ด้วยแล้ว เจ้ายิ่งไม่ปลอดภัย”

“คนหลายสำนักแห่กันมาที่นี่งั้นรึ ?” มู่เฉียนซีกล่าวถาม คิ้วงามขมวดมุ่น

“ใช่ นอกจากสำนักอวิ๋นเยียนแล้ว สำนักนิกายครึ่งระดับหลายสำนักก็แห่กันมาที่นี่ด้วย”

ในเซี่ยโจว สำนักอวิ๋นเยียนปล้นทรัพยากรมากมายจนนับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ  สำนักนิกายครึ่งระดับหลายสำนักพยายามฝึกฝนเพื่อจะเอาชนะสำนักอวิ๋นเยียนให้ได้ แต่ความแข็งแกร่งของสำนักอวิ๋นเยียนนั้นแข็งแกร่งทิ้งห่างพวกเขาไปเรื่อย ๆ

การที่สำนักนิกายครึ่งระดับคิดจะแข็งแกร่งกว่าสำนักอวิ๋นเยียนนั้น ไม่มีทางเป็นไปได้ มันเป็นเพียงความเพ้อฝันลม ๆ แล้ง ๆ

ใต้ทะเลลึกปรากฏสมบัติล้ำค่านี้ขึ้น นับว่าเป็นโอกาสดีของหลาย ๆ สำนัก ดังนั้นหลายสำนักต่างก็แห่กันมาที่นี่เพื่อหวังจะได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าที่แข็งแกร่งนี้

เมื่อได้ยินคำตอบนี้ ใจของมู่เฉียนซีก่อเกิดความเจ็บใจอย่างหนัก หม้อเทพปาฮวางชิงมู่ในเวลานี้ก็อยู่ในห้วงนิทราแล้ว ไม่มีมันก็ไม่มีทางที่จะดึงดูดหม้อเทพนิรันดร์ได้ จากนี้ทุกอย่างก็คงต้องเสี่ยงโชคเอาเองแล้ว

มู่เฉียนซี “เข้าใจล่ะ เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว” กล่าวจบมู่เฉียนซีก็เดินจากไป

หวงฝูอวี้มองดูสตรีชุดม่วง  เขากล่าวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “แม่นางผู้นี้อายุยังน้อยแต่กลับมีพลังวิญญาณถึงขั้นราชา อีกอย่าง นางเข้ามาในสถานที่ลึกลับนี้เพียงลำพัง ข้าไม่อยากจะเชื่อสายตาจริง ๆ”

“นายท่านรอง นายท่านบอกแล้วว่าไม่ให้เราเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หอการค้าอันดับหนึ่งของพวกเราไม่ควรไปล่วงเกินสำนักนิกายระดับสอง ทางที่ดีนายท่านรองกลับไปอย่างปลอดภัยจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นนายท่านจะเอาเรื่องนายท่านรองได้นะขอรับ”

หวงฝูอวี้ “หากพวกเจ้าไม่พูด พี่ใหญ่ก็ไม่มีทางรู้ ที่ข้ามาครั้งนี้ ไม่ได้มาเพื่อจะแย่งชิงสมบัติล้ำค่านั่นสักหน่อย เพียงผ่านมาดูเพื่อความสนุกเท่านั้น”

ทันใดนั้นในพื้นที่ที่ราบหินแดงนี้ก็เกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้นมา ปลายกระโปรงของมู่เฉียนซีถูกไฟเผาจนขาดไปเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว

ที่ราบหินแดงกลายเป็นทุ่งเปลวไฟไปภายในชั่วพริบตา ดังนั้นตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่เหมาะที่จะอยู่ที่ทุ่งเปลวไฟแห่งนี้เลย

มู่เฉียนซีรีบวิ่งออกไปจากทุ่งเปลวไฟนี้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งหลบหลีกเปลวไฟนี้ไป

— ฟึ่บ!  ฟึ่บ!  ฟึ่บ! —

ในขณะที่นางเดินไปไกลสักระยะหนึ่ง นางก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย ในที่สุดนางก็หลบหนีทุ่งเปลวไฟนั้นมาได้  นางเดินมาจนถึงทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง

ในขณะเดียวกันนั้นเอง สตรีผู้หนึ่งวิ่งพรวดออกมาจากทุ่งเปลวไฟเช่นกัน ชุดของสตรีนางนั้นโดนไฟเผาจนขาดรุ่งริ่งไปหลายส่วน และด้านหลังของนางก็มีผู้ติดตามตามมาเป็นจำนวนมาก

สตรีผู้นั้นกล่าวขึ้นด้วยความโกรธเกรี้ยว “บัดซบยิ่งนัก หากไม่เกิดเรื่องพวกเจ้าจะไม่ช่วยข้าใช่หรือไม่ ?!”

“คุณหนูรองขอรับ เจ้าสำนักบอกเอาไว้แล้วว่าทันทีที่เข้ามาในนี้ ให้คุณหนูรองฝึกประสบการณ์เอง หากไม่สุ่มเสี่ยงต่อความตายก็ห้ามมิให้พวกเราลงมือเด็ดขาด หากไม่รีบฝึกฝนประสบการณ์ ไม่รู้เมื่อไหร่คุณหนูรองจะตามคุณหนูใหญ่ทันนะขอรับ”

เจ้าสำนักอวิ๋นเยียนแยกเดินทางไปแล้ว ทิ้งคุณหนูรองที่มัวแต่อืดอาดยืดยาดอยู่ข้างหลัง

เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ขององครักษ์ ใบหน้าของอวิ๋นฮุ่ยก็แดงก่ำด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด

*‘พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!  อะไร ๆ ก็พี่ใหญ่ ในสายตาท่านพ่อก็มีแต่พี่ใหญ่คนเดียวเท่านั้นไม่เคยสนใจอะไรข้าเลย!’*อวิ๋นฮุ่ยตัดพ้อในใจ นางรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก แต่เมื่อนางมองไปที่สตรีชุดม่วงที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า นางก็แสยะยิ้มด้วยท่าทางดูถูกเหยียดหยามราวกับเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เพียงแต่สตรีชุดม่วงผู้นี้… เหตุใดใบหน้าถึงได้คุ้นนัก เหมือนว่าจะเคยเจอที่ไหนมาก่อน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การได้มาเจอกับอวิ๋นฮุ่ยช่างเป็นเรื่องที่มู่เฉียนซีคิดไม่ถึง มู่เฉียนซีขมวดคิ้ว “คุณหนูรองอวิ๋นฮุ่ย เราพบกันอีกแล้ว”

เมื่อจ้องมองไปที่ใบหน้าอันงดงามหมดจดนั้นแล้ว อวิ๋นฮุ่ยก็จำได้ขึ้นมาทันทีว่าสตรีชุดม่วงตรงหน้านางนี้เป็นใคร

“เจ้านี่เอง เป็นเจ้าจริง ๆ  เจ้ายังกล้าโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีกรึ ?” สตรีชุดม่วงผู้นี้ทำให้นางนึกถึงเรื่องราวที่น่าอับอายขายหน้าในวันนั้น

สีหน้าของอวิ๋นฮุ่ยโหดเหี้ยมขึ้นมาทันที นางเอ่ยสั่งคนของนางด้วยเสียงอันดัง

“ฆ่านาง!”