ในขณะนั้นเอง มันก็มีผู้ชายคนหนึ่งถือช่อดอกกุหลาบสีแดง เดินอย่างกระฉับกระเฉงขึ้นไปบนเวที ในขณะที่ผู้ชมกำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ฝู่ กุยชั่ง ก็รับช่อดอกไม้มาและคุกเข่าลง สายตาที่นุ่มลึก ของเขาจับจ้องไปที่ ซุนยู้ ผู้ซึ่งนั่งอยู่ที่ด้านล่างเวที

“ยู้ยู้ เมื่อฉันได้สบตากับคุณครั้งแรก จิตวิญญาณของฉันก็ได้ถูกความงามของคุณพรากไป นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้สูญเสียจิตวิญญาณของฉันไปให้กับคุณจนหมดแล้ว ฉันปรารถนาที่จะพบเจอคุณในทุกๆวัน และฉันก็ได้ฝันว่าเราได้เดินไปด้วยกันในขณะที่พระอาทิตย์กำลังตกดิน ฉันจะรักคุณตลอดไปจนกว่าความตายจะพรากเราแยกจากกัน!”

คำสารภาพรักที่เต็มไปด้วยอารมณ์นี้ ถูกแผ่ขยายผ่านทางไมโครโฟนดังก้องไปทั่วทั้งห้องโถง

ฝูงชนโห่ร้องในทันที ปรากฏว่านี่มันกลายเป็นการสารภาพรัก!

หลายคนปรบมือด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นฉากนี้ หญิงสาวบางคนถึงกับกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียงโดยไม่มีการยับยั้ง พวกเธอหลายคนได้แต่หวังว่าตนจะเป็นผู้หญิงที่โชคดีคนนั้น บรรยากาศในห้องโถงเริ่มร้อนแรงขึ้นมาในทันที

ตีเหล็กมันก็ต้องตีตอนร้อน ฝู กุยชั่ง ยิ้มด้วยความพึงพอใจและพูดต่อว่า“ยู้ยู้ ฉันชอบคุณ คุณจะมาเป็นแฟนของ ฝู กุยชั่ง คนนี้ และให้ฉันเอาอกเอาใจและทะนุถนอมคุณได้ไหม? ฉันอยากจะทำให้คุณเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก!”

ซุนยู้ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ฝู กุยชั่ง จะสารภาพรักกับเธอเช่นนี้

เหล่าเพื่อนๆของ ฝู กุยชั่ง ต่างก็พากันส่งเสียงเชียร์เสียงดังลั่นในทันที

“เป็นเลย เป็นเลย เป็นเลย!”

เสียงเชียร์นี้ดังขึ้นเรื่อยๆเพราะคนอื่นๆที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างก็พากันส่งเสียงเชียร์ออกมา ท้ายที่สุดแล้วการสารภาพรักนี้มันก็เป็นงานที่ยิ่งใหญ่และโรแมนติกมาก มันไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะไม่ร่วมมือ ดังนั้นในเวลานี้ ซุนยู้ จึงได้รับแรงกดดันให้ตอบตกลง เสียงเชียร์ของเหล่าผู้ชมมันดังก้องในหูของเธอระลอกแล้วระลอกเล่า

“ไอเวรนี่! มันใช้เคล็ดลับที่ราคาถูกจริงๆ!”

จาง ซูซาน โกรธมาก ลึกลงไปในใจเขารู้ว่าเคล็ดลับนี้มันได้ผลดีเพียงใด และผู้หญิงหลายคนก็ได้ยอมจำนนต่อมัน ในเป็นความจริงการตอบปฏิเสธมันเป็นเรื่องยากมาก เมื่อเหล่าฝูงชนต่างก็พากันตะโกนคำว่า “เป็นเลย!” และเมื่อมีผู้ชายสักคนหนึ่งที่สารภาพรักกับผู้หญิงต่อหน้าสาธารณชน ไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเข้มแข็งมากแค่ไหน พวกเธอก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะแรงกดดันพวกนี้ได้ และพวกเธอก็ได้แต่ตอบตกลงปลงใจเป็นแฟนกับผู้ชายคนนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฝ่ายที่สารภาพรักประสบความสำเร็จและร่ำรวย

เสี่ยวรุ่ยอิง รู้สึกเบื่อหน่ายและรู้สึกรังเกียจวิธีการแบบนี้เป็นอย่างมาก เธอพูดคำว่า “หน้าด้าน!” ออกมาเสียงดัง

เฟิง อู๋ฮั่น ลุกขึ้นยืนในทันที: “ไอเวรเอ้ย! นี่มันกำลังปล้นพี่สะใภ้ของพี่เสี่ยวชัดๆ หึม?… ว่าแต่พี่เสี่ยวไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”

หลังจากที่หายจากอาการตกตะลึง สติสัมปชัญญะของพวกเขาก็เริ่มกลับมา ที่นั่งที่ เสี่ยวหลัว เคยนั่งอยู่ ตอนนี้มันว่างเปล่าไปแล้ว!

เมื่อ ซุนยู้ ตระหนักได้ว่าเสี่ยวหลัว เขานั้นได้จากไปแล้ว ใบหน้าของเธอก็ซีดลงเรื่อยๆ เมื่อเธอมองไปที่ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรักของ ฝู กุยชั่ง กับบุคลากรในโรงพยาบาลหลายร้อยคนที่กำลังส่งเสียงเชียร์เธออยู่ ตอนนี้เธอก็ไม่รู้ว่าเธอควรจะจัดการกับมันอย่างไร

ตอบตกลง ฝู กุยชั่ง? นี่มันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เธอไม่ได้ชอบ ฝู กุยชั่ง คนที่เธอชอบคือเสี่ยวหลัวต่างหาก!

แต่มันก็ดูโหดร้ายเกินไปหน่อยที่จะปฏิเสธเขาต่อหน้าฝูงชน และเธอก็ไม่อยากจะทำให้เขาเสียหน้า

ตอนนี้เธอควรที่จะทำอย่างไรดี?

ซุนยู้ เป็นกังวลมากจนเกือบจะร้องไห้ ด้วยสถานการณ์ที่บีบบังคับเช่นนี้ มันทำให้เธอตกอยู่ในสภาวะที่สับสนเป็นอย่างมาก

ในขณะที่เธอกำลังต่อสู้กับอารมณ์ที่กำลังขัดแย้งกันอยู่นั้น ทันใดนั้นเองท่วงทำนองของดนตรีที่อ้อยอิ่งก็เริ่มดังขึ้น

ทุกเสียงที่คอยเชียร์ ฝู กุยชั่ง ก็เริ่มเบาลงไปอย่างช้าๆ พวกเขามองกลับไปที่บนเวที และเห็นร่างของผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่หน้าเปียโน นิ้วที่ว่องไวของชายคนนั้นมันกำลังเคลื่อนไหวไปมาบนแป้นสีดำและสีขาว เสียงของดนตรีที่ดังขึ้นในฉากของงานเลี้ยงใหญ่นี้ มันกำลังหลั่งไหลออกมาจากปลายนิ้วของชายคนนั้นอย่างช้าๆ

บทเพลงเปียโนที่หลั่งไหลออกมาจากปลายนิ้วมือของชายคนนั้น มันเหมือนกับมาจากจากหุบเหวลึกที่ผ่านการเวลามาแสนเนิ่นนาน ราวกับภูเขาที่เงียบสงบที่ผ่านชีวิตและผ่านความผันผวนของกาลเวลา เสียงนี้มันตรงลึกเขาไปภายในจิตใจของทุกคน

“นี่คือการเล่นเปียโนระดับไหนกัน? ทำไมฉันถึงไม่เคยได้ยินมันมาก่อน”

“มันน่าทึ่งจริงๆ โอ้ฉันรู้สึกหยังกับว่าหูของฉันมันกำลังจะตั้งท้อง!”

“อย่าพูดมาก! ฉันอยากจะฟังอย่างเงียบๆ ”

กลุ่มฝูงชนที่เป็นคนรักดนตรี ต่างก็พากันกระซิบพูดคุยกันด้วยความชื่นชม

แม้แต่ชาวบ้านธรรมดาที่ไม่คุ้นเคยกับแนวเพลง ก็ยังหลงใหลในเสียงดนตรีนี้ เสียงดนตรีนี้มันดูเหมือนกับว่าจะมาจากภายในจิตวิญญาณ และทำให้เกิดอารมณ์ที่เงียบเหงาและสนุกสนานขึ้นภายในเวลาเดียวกัน

จาง ซูซาน และคนอื่นๆต่างก็พากันตกใจ ทุกคนนั่งนิ่งเงียบจ้องมองไปบนเวที พร้อมกับอ้าปาค้าง! ร่างของคนที่กำลังเล่นเปียโนไม่ใช่ใครอื่นใดนอกจากน้องชายที่แสนดีของเขาเสี่ยวหลัว!

“ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม เสี่ยวหลัวเล่นเปียโนได้จริงๆ?!” จาง ซูซาน พึมพำออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

แม้แต่ เสี่ยวรุ่ยอิง ก็ยังรู้สึกงุนงงเธอถามตัวเองว่า “พี่ชายของฉัน เขาหัดเล่นเปียโนตั้งแต่เมื่อไหร่?”

ถังเหริน เฟิง อู๋ฮั่น และเสี่ยวอู๋ ฟื้นสติกลับมาอย่างรวดเร็วและพูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “พี่ชาย ช่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ!”

เมื่อมองเห็น เสี่ยวหลัว ซุนยู้ จากความสับสนในตอนแรกก็เปลี่ยนมาเป็นความประหลาดใจจากนั้นจากความประหลาดใจก็เปลี่ยนมาเป็นความสุขและความคาดหวัง เธอมองไปที่เสี่ยวหลัว ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักอย่างสึกซึ้ง

ใบหน้าของ ฝู กุยชั่ง กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ สิ่งนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เขาระมัดระวังเป็นอย่างมากในการใช้การแสดงนี้เพื่อสารภาพรักต่อเธอ เขาตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากฝูงชนอย่างเต็มที่ ตามที่เขาวางแผนเอาไว้กับเพื่อนๆ ด้วยสิ่งนี้มันจะทำให้เธอตกอยู่ในสถานะที่ยากที่จะปฏิเสธข้อเสนอของเขา ในความเป็นจริงเขาเคยนึกภาพตัวเองกลิ้งไปมาบนเตียงกับ ซุนยู้ มาก่อน และในคืนนี้เขาอยู่ห่างออกไปจากภาพนั้นเพียงก้าวเดียว… แค่อีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น!

แต่ตอนนี้ ตัวของเขามันก็เป็นเหมือนกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด ที่เผชิญหน้ากับภูเขาที่สูงตระหง่านที่กระแสน้ำอย่างเขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายต่อไปได้ แผนการของเขาถูกขัดขวางและตอนนี้ทุกอย่างมันก็ดูเหมือนกับว่ามันกำลังจะหายไป

และสิ่งที่ทำให้ ฝู กุยชั่ง รู้สึกหงุดหงิดมากที่สุดก็คือ ตอนนี้ เสี่ยวหลัว ได้ไปนั่งที่เปียโนซึ่งเป็นของเขา เมื่อเขาตระหนักถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เขาก็เดินตรงไปที่กลางเวทีในทันที จากนั้นท่วงทำนองที่ไพเราะของโน้ตดนตรีที่สดใสและสนุกสนานก็ดังก้องไปทั่วทั้งเวทีอย่างแผ่วเบา ฝู กุยชั่ง หยุดฝีเท้าของเขาในทันที ในฐานะนักเปียโนที่ประสบความสำเร็จ เขาเข้าใจความละเอียดอ่อนและความแตกต่างในแต่ละโน๊ตที่เสี่ยวหลัวกำลังเล่นอยู่ได้เป็นอย่างดี

การจัดเรียงชิ้นส่วนโน้ต นี้มันเชี่ยวชาญมาก

ชายคนนี้เป็นนักเปียโนที่มีความสามารถ!

ฝู กุยชั่ง ตกตะลึง เขาไม่อยากจะเชื่อเลย และที่ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่สามารถที่จะยอมรับมันได้!

สิ่งที่ไม่มีใครรู้ก็คือ เสี่ยวหลัว นั้นมีพรสวรรค์ในด้านดนตรีโดยธรรมชาติ นอกจากการร้องเพลงแล้ว เสี่ยวหลัว ยังมีความเชี่ยวชาญในเครื่องดนตรีทุกประเภท แน่นอนว่าแม้แต่เปียโนก็ไม่มีข้อยกเว้น

ขณะที่เสี่ยวหลัวนั่งอยู่ที่เปียโน เขาก็ดำเนินการบรรเลงเพลงอย่างสง่างาม เสียงที่หลั่งไหลออกมาจากปลายนิ้วของเขานั้น มันเหมือนกับผีเสื้อที่กำลังกางปีกเพื่อบินล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าที่แสนกว้างใหญ่

เมื่อได้ฟังเพลงนี้ พวกเขาก็ราวกับถูกส่งไปยังอีกมิติหนึ่ง ในขณะที่ท่วงทำนองนำพาพวกเขาผ่านการเดินทาง เสียงดนตรีและห่วงอารมณ์มันก็เริ่มลึกซึ้งยิ่งขึ้น เสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของดนตรีที่นำทางนี้ มันทำให้บางคนนึกถึงความทรงจำเก่าๆ ที่เกี่ยวกับบ้านเกิดของพวกเขา และการเดินขบวนที่ยาวนานผ่านที่ราบในฤดูหนาว ในขณะที่ดนตรีดำเนินไป จังหวะของการบรรเลงมันก็รวดเร็วขึ้นและเชื่องช้า แต่มันก็ทำให้เสียงดนตรีนี้มีชีวิตชีวามากขึ้น ภาพของความร่าเริงและความสนุกสนานที่สุกงอมของทุ่งนาสีเหลืองทองมันราวกับเต็มไปด้วยความหวังที่เพิ่งถูกค้นพบ

มันช่างเป็นภาพที่สวยงาม

ภาพทิวทัศน์ที่สวยงามนี้ มันเป็นดั่งไวน์รสเลิศ ที่ทำให้ผู้คนหลงใหลมัวเมาไปกับมัน มันไม่มีคำใดที่จะสามารถอธิบายถึงความมหัศจรรย์และความลึกลับของดนตรีที่บรรเลงในคืนนี้ได้เลย

ในขณะที่ดนตรีใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด มันก็ได้ใช้จังหวะที่กระปรี้กระเปร่ามากยิ่งขึ้น ซึ่งดูเหมือนกับว่ามันจะส่งผลให้ผู้ฟังพุ่งทะยานผ่านภูผา จากนั้นมันมันก็ช้าลงอีกครั้งและมันก็ทำให้ผู้ฟังตกลงมาเพื่อสะท้อนผ่านโลกและไหลไปตามแม่น้ำที่ไหลผ่าน จากนั้นเมื่อมันกลับมาปลุกอารมณ์อีกครั้ง อารมณ์แห่งความสุขและความสำเร็จในที่สุดมันก็ได้เติบโตขึ้นเป็นรูปดาวกระจาย และทำให้เกิดภาพของดอกไม้ไฟที่สาดส่องสว่างไสวไปทั่วทั้งท้องนภาในยามค่ำคืน

เสียงปรบมือชื่นชมของฝูงชนดังขึ้นเมื่อ การบรรเลงดนตรีได้จบลง