ตอนที่ 888 ทดสอบพิษ

Elixir Supplier

888 ทดสอบพิษ

“ลงก็อายุขนาดนี้แล้ว”หวังเย้าพูด“ยังไงก็ทํางานหนักไม่ได้อยู่แล้วส่วนเรื่องอาการป่วยผมว่าลุงต้องรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดี พี่เจ๋อเชิงจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังให้ผมบอกให้เขาพักผ่อนให้มากและอย่าหักโหมงานเกินไปแบบนี้ดีกว่าไหมครับ?”

ชายชรายังคงเงียบเขาเข้าใจความหมายที่หวังเย้าพูดมาและยังรู้ว่าสุขภาพของตัวเองในตอนนี้ไม่ได้ดีนักแต่นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เขาต้องการเขาอยากช่วยผ่อนภาระของลูกชายและหาเงินเข้าบ้านสักเล็กน้อยก็ยังดีเขาไม่อยากเป็นภาระให้กับครอบครัวอยู่แบบนี้

“ลุงไม่จําเป็นต้องออกไปหางานทําข้างนอกหรอกครับ” หวังเย้าพูด“บริษัทยาในเมืองกําลังจะเริ่มการผลิตแล้วมันจะต้องใช้สมุนไพรเยอะมากภูเขารอบๆหมู่บ้านของเราเหมาะกับการปลูก สมุนไพรมากผมบอกเรื่องนี้กับพี่เจ๋อเชิงไปแล้วถ้าเขาปลูกสมุนไพรได้มาก เขาก็ไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องจะขายสมุนไพรไม่ได้เลย”

“จริงด้วย ฉันได้ยินเจ๋อเชิงพูดเรื่องนี้” ชายชราพูด “ถ้าเป็นแบบนี้ก็ดีเลยสิ!”

“ลุงยังมีเรื่องอะไรอีกไหมครับ?”

“เอ่อ ไม่มีแล้ว”ในเมื่อหวังเย้าพูดว่าอีกไม่นานครอบครัวของเขาจะมีรายได้พิเศษเข้ามาอารมณ์ของชายชราก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้บนใบหน้าของเขามีรอยยิ้มเข้ามาแทนที่ความกังวลและเศร้าโศกในตอนที่เดินเข้ามา

“ลุงดูแลตัวเองดีดีนะครับ”หวังเย้าเดินออกมาส่งชายชราที่ประตู

“ได้ได้

ชายชราเดินกลับบ้านไปอย่างช้าๆพร้อมกับคิดไปว่าจะคุยกับลูกชายเรื่องสั่งต้นกล้าสมุนไพรมาหลายๆชนิดเขาไม่มีความสามารถอื่นแต่เรื่องการปลูกผักทําสวนคือสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ เพราะเขาท่ามาตลอดเกือบทั้งชีวิตของเขา

เพราะวันเปิดทําการบริษัทเภสัช ทําให้การเดินทางไปปักกิ่งของหวังเย้าต้องเลื่อนออกไป

เขาส่งข้อความไปหาซเสี่ยวซวีเพราะก่อนหน้านี้ซูเสี่ยวซวีได้ย้ำเตือนกับเขาเป็นพิเศษว่าเขาต้องบอกวันที่บริษัทเปิดทําการกับเธอล่วงหน้า

ซูเสี่ยวซวีตอบกลับในเวลาไม่นาน ฉันจะเดินไปหาเองนะคะ)

หวังเย้าตอบ [เธอตั้งใจเรียนก่อนดีกว่า] ในตอนนี้ ซูเสียวซวีคงยังอยู่ในห้องเรียนทั้งสองจึงคุยกันแค่สั้นๆสรุปได้ว่าซูเสี่ยวซวีจะเดินทางมาร่วมงานเปิดบริษัทหนานชานเภสัช

ในหมู่บ้านกลางเขา ลมเย็นพัดผ่าน เวลาสามวันผ่านไปอย่างช้าๆ

ตอนเช้า หวังเย้าแขวนป้ายไว้หน้าคลินิกเพื่อแจ้งว่าวันนี้เขาไม่รับคนไข้เขามีเรื่องอื่นต้องทํา

“ที่ผมขอให้ทุกคนมาในวันนี้ก็เพราะ ผมมีเรื่องจะปรึกษากับทุกคน” หวังเย้าพูด “เชียนเชิงถ้ามีเรื่องอะไรอยากให้ผมทําก็บอกมาได้เลยครับ” จงหลิวชวนพูด

“ดีครับ ผมอยากทดสอบประสิทธิภาพของตัวยาที่พวกคุณดื่มเข้าไปในหลายวันมานี้”หวังเย้าพูดการที่พวกเขามาในวันนี้ก็เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งในการทดลองของเขา

“แล้วจะทดสอบกันยังไงเหรอครับ?”เจี่ยจือจายถาม

“มันง่ายมากครับ”หวังเย้าพูด

หวังเย้าหยิบขวดแก้วเล็กๆออกมาใบหนึ่ง ด้านในนั้นมีแมลงสีด่าดูน่าขยะแขยงอยู่ไม่กี่ตัวพวกมันคือแมลงที่เก็บมาจากน้ําพุร้อนที่หมู่บ้านหลี่
“นี่มันแมลงอะไรเหรอ?”

“พวกมันเป็นแมลงที่เก็บมาจากหมู่บ้านหลใช่ไหมครับ?” เจี้ยจื้อจายจําพวกมันได้ตั้งแต่แรกเห็น

“ใช่ครับ แมลงพวกนี้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความร้อนสูง”หวังเย้าพูด “ร่างกายของพวกมันเกิดการวิวัฒนาการทําให้พวกมันมีพิษร้ายซึ่งก็คือพิษร้อนคนที่ถูกพิษจะเกิดปฏิกิริยากับพิษขึ้นอย่างรวดเร็ว

“งั้นผมเริ่มก่อน” เจี่ยจื้อจายพูดเขารู้ดีว่าเมื่อหวังเย้าอยู่ที่นี่ พิษก็ไม่มีทางทําอะไรพวกเขาได้

“ดีครับ” หวังเย้าพูด

เขานําแมลงพิษออกมาหนึ่งตัวและวางมันลงบนมือของเจี่ยจื้อจาย แมลงพิษโจมตีเจี้ยจื้อจายในทันทีอยู่ๆเขาก็รู้สึกร้อนขึ้นมาคล้ายกับเวลาที่ถูกผึ้งต่อยแล้วแมลงก็ถูกส่งกลับเข้าไปในขวดแก้วที่หวังเย้าถืออยู่

“เอาล่ะครับนั่งลงก่อน”หวังเย้าพูดไม่นานบริเวณที่แมลงต่อยก็เริ่มบวมแดง

“รู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?” หวังเย้าถาม

“หลังมือของผมร้อนไปหมด เหมือนแช่อยู่ในน้ําร้อน” เจี้ยจื้อจายพูด“ความรู้สึกเหมือนโดนเผาค่อยๆกระจายไปตามแขนและร่างกายของผม”

หวังเย้ายื่นมือออกไปจับชีพจรของอีกฝ่าย

“ไม่มีปัญหาอะไรครับ”หวังเย้าพูด

จงหลิวชวนและหูเหมยนั่งมองอยู่ข้างๆ หูเหมยดูกังวลเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วงมันไม่เป็นไร”หวังเย้าปลอบเธอ

“ค่ะ” หูเหมยตอบ

หลังจากผ่านไปได้ 30 นาที เจี้ยจื้อจายก็พูดขึ้นมาว่า “ผมรู้สึกร้อนแล้วก็หิวน้ําครับ”

“โอ้ งั้นดื่มชาสักหน่อยแล้วกัน”หวังเย้าพูดด้วยรอยยิ้มเขาชงชาเขียวอย่างดีมาให้พวกเขามันมีกลิ่นหอมมาก“อยากจะนอนลงสักหน่อยไหมครับ?”หวังเย้าถาม“ไม่ครับผมทนไหว”เลี้ยจื้อจายตอบ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเขาเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ

“ผมรู้สึกแน่นอก” เขาพูด

หวังเข้าจดทุกอย่างที่เขาพูดลงไป

หลังจากผ่านไปได้หนึ่งชั่วโมงครึ่ง เข็มนาฬิกาชี้ไปที่ 10.30 น. “ความรู้สึกไม่สบายเริ่มลดลงแล้วครับ”เจี่ยจื้อจายพูด

“มันหายไปแล้วเหรอครับ?” หวังเย้าถาม

“ถูกแล้วครับ” เจี้ยจื้อจายตอบ

หลังจากนั้นสักพัก เขารู้สึกว่าความร้อนเริ่มจางหายไป อาการหน้ามืดและอึดอัดก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงความรู้สึกไม่สบายทั้งหลายก็หายเป็นปลิดทิ้ง

“เชียนเชิง ผมไม่รู้สึกแปลกๆอะไรแล้วครับ” เจี่ยจื้อจายพูด

หวังเย้าพยักหน้าและคํานวณเวลา

“ได้เวลากินข้าวแล้ว” เขาพูด “ไปกันครับ ผมเลี้ยงข้าวเที่ยงทุกคนเอง”

“ไม่ต้องหรอก เรียนเชิง”

“ไปเถอะครับ” หวังเย้าพูด “ฝีมือการทําอาหารของผมไม่ดีเท่าหูเหมยผมเลยได้แค่พาไปเลี้ยงที่ร้านอาหารเท่านั้น”

หวังเข้าขับรถพาทั้งสามไปที่ร้านอาหารร้านประจํา และสั่งอาหารมาสองสามอย่างกับเหล้าอย่างดีหนึ่งขวด

ในตอนที่พวกเขากําลังทานอาหารกันอยู่นั้นก็มีรถคันหนึ่งขับตรงไปที่คลินิกอย่างเร่งรีบเมื่อจอดรถแล้วชายคนหนึ่งก็ลงจากรถและเปิดประตูอีกฝั่งหนึ่งผู้หญิงลงมาจากรถพร้อมกับอุ้มเด็กคนหนึ่งเอาไว้ทั้งสองมีท่าทางวิตกกังวลอย่างมากพวกเขาเดินไปที่หน้าคลินิก แต่ประตูกลับถูกล็อกเอาไว้

“อะไรกัน? ไม่มีใครอยู่เหรอ?”

“แล้วเราจะทํายังไงกันดีล่ะ?”

“เราคงต้องรออยู่ที่นี่ไปก่อน” เขาพูด

“เธอกลับขึ้นไปนั่งรอบนรถดีกว่า ข้างนอกมันหนาว”

ผู้หญิงเดินกลับขึ้นไปบนรถกับเด็กในอ้อมแขนเด็กในอ้อมแขนของเธอดูซีดเซียวและหลับสนิท

“หรือวันนี้เขาจะไม่อยู่ทั้งวัน?”

“ฉันดูในเวยป๋อของเขาแล้ว เขาไม่อยู่แค่ตอนเช้าเท่านั้น”

ทั้งสองรอคอยอยู่ภายในรถด้วยความกังวล และมองออกไปหนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราว

พวกเขารออยู่จนเกือบบ่ายสองโมง หวังเย้าก็กลับเข้ามา

ทันทีที่พวกเขาเห็นเขา ทั้งสองก็รีบลงจากรถ

“หมอหวัง”

“ครับ เข้ามาคุยข้างในกันดีกว่า”หวังเย้าเหลือบมองพวกเขาและจากนั้นก็มองไปที่เด็กในอ้อมแขนของฝ่ายหญิง

“หมอหวัง ช่วยรักษาลูกของเราด้วย”

ใบหน้าของเขาซีดเซียว ลมหายใจแผ่วเบา
เกิดอะไรขึ้น?

“เขาอยู่ในอาการโคม่า?”หวังเย้านิ่งไปเขาเอื้อมมือออกไปจับดูชีพจรของเด็ก

เป็นอาการที่แปลกมาก!

“เขาอายุเท่าไหร่ครับ?”

“สองขวบครึ่งค่ะ”เธอตอบ“เขาเริ่มมีอาการป่วยตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?” หวังเย้าถาม

“ได้ประมาณหกเดือนแล้วค่ะ” เธอพูด“เราไปมาหลายที่แล้วหมอตรวจดูทุกอย่างแล้วแต่ก็ไม่พบอะไรเลย”

ลูกของพวกเขาเริ่มหลับนานขึ้นเรื่อยๆแล้วอยู่ๆเขาก็อยู่ในอาการโคม่าโดยที่ไม่มีใครทันได้ตั้งตัว