เล่ม 11 เล่มที่ 11 ตอนที่ 312 ความจริงมักโหดร้าย

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

“จุดนี้คงต้องถามท่าน อ๋องเก้า สำนักการแพทย์และสำนักโอสถของตระกูลหนานหลีล้วนกำเนิดมาจากสำนักแพทย์เทียนอีเหมิน เกรงว่าท่านคงเข้าใจดีกว่าข้า”

สำนักแพทย์เทียนอีเหมินแยกแยะผิดชอบชั่วดี แม้จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ข้องเกี่ยวกับตนเอง ทว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมากลับเข้ามายุ่งเรื่องต่างๆ ของแว่นแคว้น หากกล่าวว่าคนของสำนักแพทย์เทียนอีเหมินไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูง ผู้ใดจะเชื่อ?

รายละเอียดตื้นลึกหนาบางของสำนักแพทย์เทียนอีเหมินทำให้ผู้คนคาดเดาได้ยากเสียจริง ยิ่งมองไม่ออกถึงจุดประสงค์ นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะจับเหมยจวงไปอีก จิ่วหรงคิดจะทำอันใดกันแน่?

“เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง อ๋องเก้า ท่านว่า หากอาณาจักรเทียนเหอมีข่าวแพร่สะพัดออกไปว่า จงเหมยจวงเป็นทายาทรุ่นต่อไปของเผ่าเม้ย ภายในชั่วข้ามคืน นางจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นไร? ”

ในความมืด แววตาเย็นชาของเยี่ยโยวเหยาเผยให้เห็นประกายเจิดจ้าลึกซึ้ง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเวลานี้ในใจของเขาคิดการใด

“ไม่! ” ทันใดนั้น มู่หรงอวิ๋นเกอก็ลุกขึ้นยืน เขามองเยี่ยโยวเหยาแล้วพูดว่า “เหมยจวงไม่ใช่ทายาทรุ่นต่อไปของเผ่าเม้ย”

“ไม่ใช่จงเหมยจวง? เช่นนั้นเป็นผู้ใด? ” เยี่ยโยวเหยาคิ้วกระตุก

ดวงตาของมู่หรงอวิ๋นเกอเปล่งประกาย ทว่าไม่พูดอันใด

“กิเลนปรากฏ หงษ์ร้อง ปี่อั้นบาน โลกหลังความตาย สิบสามคำนี้ อ๋องเก้าคงเคยได้ยินมาก่อน ข้าไม่จำเป็นต้องพูดอันใดอีก หลายปีก่อนแคว้นหนานหลีมีข่าวลือสะพัดว่า หยกกิเลนตกอยู่ในมือของจงซีจือ ซึ่งเป็นคุณหนูสามของสำนักการแพทย์สกุลจง ทั้งยังมีคนพูดกันอย่างลับๆ ว่าจงซีจือ คุณหนูสามของสกุลจงเป็นคนเผ่าเม้ย หรือข่าวนี้จะเป็นเรื่องจริง? ”

มู่หรงอวิ๋นเกอเพิ่งจะเข้าใจ เขาตกหลุมพรางของเยี่ยโยวเหยาเสียแล้ว

เมื่อครู่เยี่ยโยวเหยาถามหยั่งเชิงมู่หรงอวิ๋นเกอจริง คำพูดทั้งหมดของมู่หรงอวิ๋นเกอ อย่างไรเสีย ข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวโคมลอย แม้เขาจะสงสัยว่าจงซีจือเป็นคนของเผ่าเม้ยมาก่อน ทว่าจำเป็นต้องมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจน

มู่หรงอวิ๋นเกอตกตะลึง ไม่ได้พูดอันใด

เยี่ยโยวเหยาก็ไม่ได้บีบบังคับเขา เพียงรอคอยอย่างเงียบงัน

ผ่านไปครู่ใหญ่ มู่หรงอวิ๋นเกอยังคงไม่พูดอันใด เยี่ยโยวเหยาจึงเอ่ยเสียงเบาว่า “บางทีอ๋องเก้าสามารถทำข้อตกลงกับข้าได้”

“ข้อตกลงอันใด? ”

“ข้าช่วยพระชายาของท่านออกมา ให้ท่านสองสามีภรรยาได้อยู่ด้วยกัน ข้ายังจะเตรียมสถานที่ปลอดภัยให้พวกท่านสักแห่ง แต่ท่านต้องบอกความจริงทุกอย่างที่ข้าต้องการทราบทั้งหมด”

มู่หรงอวิ๋นเกอมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความสงสัยเล็กน้อย

เยี่ยโยวเหยาไม่ได้รีบร้อนอันใด อีกฝ่ายคงมีเรื่องบางอย่างให้คิด

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ มู่หรงอวิ๋นเกอจึงพูดว่า “ข้าต้องการพบเหมยจวงก่อน”

“ท่านคิดว่าสถานะของท่านตอนนี้ สามารถต่อรองกับข้าได้หรือ? ”

แน่นอนว่าไม่ มู่หรงอวิ๋นเกอยอมรับ เยี่ยโยวเหยาที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ รับมือได้ยากยิ่งกว่าซูจิ่นซีมากนัก

เวลาผ่านไป มู่หรงอวิ๋นเกอยังไม่ตอบ เยี่ยโยวเหยาเคาะนิ้วมือกับโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง “ข้ามีเวลาให้อ๋องเก้าได้คิดอย่างเพียงพอ ทว่าความอดทนของข้ามีขีดจำกัด และความต้องการรู้ในบางเรื่องก็มีขอบเขตเช่นกัน”

หากเขาไม่ประสงค์จะทราบแล้ว ไม่ว่ามู่หรงอวิ๋นเกอต้องการพูดมากเท่าใด ก็ไร้ประโยชน์

แววตาของมู่หรงอวิ๋นเกอปรากฏความมั่งคงอย่างตัดสินใจครั้งสำคัญ “ตกลง! โยวอ๋องนับเป็นบุคคลสูงส่ง สัจจะดั่งภูผา ข้าเชื่อท่าน ท่านต้องการทราบเรื่องใด? ”

“จงซีจือ คุณหนูสามของสำนักแพทย์สกุลจงเป็นคนเผ่าเม้ยใช่หรือไม่? ”

“ใช่! ”

“สาเหตุที่จงซีจือหายตัวไป เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ท่านและจงเหมยจวงลักลอบเข้ามาที่แคว้นจงหนิงพร้อมกันใช่หรือไม่? จากนั้นนางได้เข้าไปอยู่ในจวนสกุลซูแคว้นจงหนิง โดยเปลี่ยนชื่อเป็นกู้เหยียนซี? ”

มู่หรงอวิ๋นเกอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เยี่ยโยวเหยาตรวจสอบเรื่องราวทุกอย่างมาได้ชัดเจน ที่พูดซ้ำอีกครั้งต่อหน้าของเขา เพียงเพื่อต้องการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเท่านั้น

“ใช่! ” มู่หรงอวิ๋นเกอยังคงพยักหน้า

“ตอนนั้น เมืองเจียงหลิง ชายแดนระหว่างแคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลีเกิดโรคระบาด ในบรรดาหมอหลวงที่ราชสำนักส่งไปยังพื้นที่ภัยพิบัติเมืองเจียงหลิงมีกู้เหยียนซีอยู่ด้วย หลังจากเมืองเจียงหลิงเกิดเรื่องไม่นาน กู้เหยียนซีก็เสียชีวิตลงโดยปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ โรคระบาดที่เมืองเจียงหลิงในตอนนั้นมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่? กู้เหยียนซีเสียชีวิตได้อย่างไร? ”

เยี่ยโยวเหยาโยนคำถามเกี่ยวกับเรื่องของเมืองเจียงหลิงอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงซูจิ่นซีเท่านั้นที่ให้ความสนใจ เยี่ยโยวเหยาก็สนใจเช่นกัน

มู่หรงอวิ๋นเกอมีท่าทีประหลาดใจ เขาพยายามซุกซ่อนอารมณ์อันซับซ้อนไว้ภายใต้ความมืด

“โยวอ๋อง กำแพงมีหู เรื่องของเมืองเจียงหลิง ยิ่งคนรู้เรื่องน้อยยิ่งเป็นผลดีต่อพระชายาโยวอ๋อง ฉะนั้นข้าต้องแน่ใจว่าท่านอ๋องได้ยินเพียงผู้เดียวเท่านั้น”

เกี่ยวข้องกับซูจิ่นซี?

นิ้วมือเยี่ยโยวเหยาที่กำลังเคาะอยู่บนโต๊ะพลันหยุดลง ดวงตาลุกวาวจ้องมองมู่หรงอวิ๋นเกอพักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ตกลง! ”

มู่หรงอวิ๋นเกอเดินมาหา พลางใช้มือป้องปากแนบติดใบหูของเยี่ยโยวเหยา และพูดบางสิ่งบางอย่างให้เขาฟัง

ยิ่งมู่หรงอวิ๋นเกอพูด สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาก็ยิ่งซับซ้อนมากขึ้น ใบหน้าปรากฏความเคร่งขรึม ดวงตาทั้งสองที่ดูลึกลับเกินหยั่ง ยิ่งลึกล้ำดั่งบ่อน้ำนิ่งไร้การเคลื่อนไหว

หลังจากมู่หรงอวิ๋นเกอพูดจบ ก็เห็นเยี่ยโยวเหยาที่สงบนิ่งดั่งภูเขาไท่ซาน มีสีหน้าประหลาดใจ เขายกยิ้มมุมปากเย็นชา กล่าวว่า “โยวอ๋อง ความจริงบางอย่างมักโหดร้ายทารุณ ยากที่มนุษย์อย่างพวกเราจะเข้าใจ ในเมื่อท่านดึงดันต้องการรู้คำตอบ ของเบื้องหลังที่โหดร้าย ท่านก็ต้องแบกรับเอาไว้ให้ได้”

มือเยี่ยโยวเหยาที่วางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ กำเป็นหมัดแน่น คงเพราะใช้แรงมากเกินไป จึงทำให้เกิดเสียงกระดูกนิ้วมือดังลั่นอย่างน่ากลัว ราวกับเสียงเรียกของปีศาจจากแดนนรกก็มิปาน

“ข้าต้านไหว”

ผ่านไปครู่ใหญ่ เยี่ยโยวเหยาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

มู่หรงอวิ๋นเกอคาดไม่ถึงว่า ไม่เพียงไม่สามารถโจมตีเยี่ยโยวเหยาทางคำพูดได้ สีหน้าของเขากลับเข้มแข็ง จนทำให้มู่หรงอวิ๋นเกอตกตะลึง

“ตอนนั้นพวกเจ้าสามคนมายังแคว้นจงหนิงด้วยจุดประสงค์อันใด? ”

“เรื่องเมื่อหลายปีก่อน จงซีจือเสียชีวิตไปแล้ว ข้ากับเหมยจวงจึงได้ปล่อยวางเรื่องในอดีต เหตุผลพวกนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป ข้าสามารถรับประกันกับโยวอ๋องได้ ขอเพียงเหมยจวงกลับมาอย่างปลอดภัย จากนี้จะไม่มีอ๋องเก้ากับพระชายาอ๋องเก้าแห่งแคว้นหนานหลี และไม่มีมู่หรงอวิ๋นเกอกับจงเหมยจวงอีก”

“หากข้ายังต้องการรู้คำตอบเล่า? ” สีหน้าเยี่ยโยวเหยาเย็นชาและดึงดัน

มู่หรงอวิ๋นเกอรู้ว่าเขาไม่อาจใจแข็งดื้อดึงต่อหน้าเยี่ยโยวเหยาได้ ยิ่งไม่ใช่ผู้ที่สามารถต่อรองเงื่อนไขกับคนอย่างเยี่ยโยวเหยา จึงทำได้เพียงบอกเยี่ยโยวเหยาไปตามความจริง

ทว่าความจริงมีเพียงสี่คำนี้เท่านั้น “อั้นหรานเซียวหุน”

การไขปริศนาในตำนาน ต้องหาสุสานจิ่นอีโฮ่วของราชวงศ์โจวตะวันตกจึงจะค้นพบความลับของ ‘อั้นหรานเซียวหุน’ ความลับในครอบครองใต้หล้า

“ผู้ใดส่งพวกเจ้ามา? ”

มู่หรงอวิ๋นเกอไม่มีทางเลือกอื่น ทำได้เพียงเดินไปข้างหน้า ใช้นิ้วจุ่มลงไปในถ้วยน้ำชาบนโต๊ะด้านข้างเยี่ยโยวเหยา และใช้น้ำชาเขียนชื่อของคนผู้หนึ่งลงบนโต๊ะ

เยี่ยโยวเหยามองชื่อนั้นแล้ว ดวงตาพลันหรี่ลง จากนั้นก็ไม่พูดอันใดอีก

“โยวอ๋องต้องการทราบอันใดอีก? ”

ใบหน้าของเยี่ยโยวเหยาราบเรียบ ไม่อาจหยั่งรู้ได้ เขาลุกขึ้นยืนและเดินออกไปนอกห้องขังทันที

“อย่ากระทำเรื่องผิดพลาด จะได้ไม่ทนทุกข์ทรมาน”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ” จู่ๆ มู่หรงอวิ๋นเกอก็หัวเราะเสียงดังลั่น

เยี่ยโยวเหยาหยุดเดิน ทว่าไม่หันศีรษะกลับไป

หลังจากมู่หรงอวิ๋นเกอหัวเราะเสร็จ ก็เอ่ยขึ้นว่า “หากข้าเดาไม่ผิด อั้นหรานเซียวหุน ถูกโยวอ๋องครอบครองไว้ในมือแล้ว”