บ่าวรับใช้ผู้นี้นามว่าจี้เหยียน อายุรุ่นราวคราวเดียวกับซูอวี้ ปกติพวกเขาทั้งสองมักหยอกล้อกันเป็นประจำ เรื่องเช่นนี้ยิ่งอดโต้เถียงไม่ได้
ซูอวี้รีบหยิบกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะเคาะไปที่ศีรษะของจี้เหยียน “พูดอันใด? เรื่องที่ทำให้สตรีอื่นเสียชื่อเสียง ไม่ควรเอามาพูดเล่นๆ ”
จี้เหยียนรู้สึกเจ็บ แม้เขาไม่จับเสื้อผ้าของซูอวี้แล้ว ทว่ายังคงคันปากพูดออกมาอีก
“ทำให้สตรีอื่นเสียชื่อเสียงอันใด! คุณชาย บ่าวเห็นชัดๆ ว่าแม่นางหลานชอบท่านเป็นอย่างมาก นางแสดงออกอย่างชัดเจนถึงเพียงนั้น ท่านอย่าทำให้แม่นางผิดหวัง”
“อย่าพูดจาเหลวไหล นางเป็นบุตรีของแม่ทัพหลาน อีกทั้ง… สกุลหลานเป็นเผ่าวิหค ตระกูลเล็กๆ อย่างจวนสกุลซูของเราจะคู่ควรกับพวกเขาได้อย่างไร? ” ซูอวี้แสดงสีหน้าเคร่งขรึม ห้ามไม่ให้จี้เหยียนพูดอันใดอีก
ใช่ว่าผู้ใดจะมีชีวิตมั่งมีได้อย่างพี่สาวของเขา ในเมื่อไม่มีก็ควรเอาจริงเอาจัง ตั้งใจเดินทีละก้าว ทีละก้าวให้สำเร็จ
ซูอวี้พูดเช่นนี้ จี้เหยียนรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงไม่พูดอันใดอีก ได้แต่เงียบปากและตั้งใจจัดการบาดแผลให้ซูอวี้
หลังจากทำแผลเสร็จแล้ว ซูอวี้ก็นำยาเม็ดอี้กู่ที่หลานเยวี่ยหลีมอบให้ยื่นให้จี้เหยียน บอกให้เขาอย่าลืมมอบให้ซูจิ่นซีพรุ่งนี้เช้า
อ๋า?
คุณชายไม่รับน้ำใจของแม่นางหลานก็พอทำเนา นึกไม่ถึงว่าแม้แต่ของที่แม่นางหลานเป็นคนมอบให้ ยังนำไปมอบให้ผู้อื่นอีก หากแม่นางหลานรู้เรื่องนี้เข้า นางต้องเสียใจอย่างมาก
“ยังมีอันใดอีก? ” ซูอวี้ขมวดคิ้วถามจี้เหยียน
“ไม่มี ไม่มีขอรับ! คุณชายพักผ่อนเร็วหน่อยเถิด! ” จี้เหยียนยิ้มประจบ ก่อนจะกอดกล่องใบนั้นเดินออกประตูไป
ซูอวี้ไม่ได้คิดอันใดมาก เนื่องจากได้รับบาดเจ็บจึงนอนพักผ่อนแต่วัน
ความเงียบ ความมืด ความเหน็บหนาว ไร้ซึ่งความอบอุ่น วิหารวิญญาณเป็นดั่งแดนนรก แม้เหล่าองครักษ์จะกล้าหาญเพียงใดก็ไม่กล้าส่งเสียงดัง ยิ่งผู้ที่ทำหน้าที่คอยคุ้มกันสถานที่ในเวลานี้ด้วยแล้ว เนื่องจากค่ำคืนนี้ เยี่ยโยวเหยากลับมายังวิหารวิญญาณ หลังจากที่เขาไม่ได้มาที่นี่นานมากแล้ว
ตำแหน่งที่ตั้งของวิหารวิญญาณอยู่ทางตอนเหนือสุดของทะเลเหนือแคว้นจงหนิง แม้เป็นพื้นที่แถบทะเล ทว่าบริเวณโดยรอบกลับมีแท่งหินแนวตั้งวางเรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบ ทั้งยังมีรูปร่างแปลกประหลาดชวนขนลุก
วิหารวิญญาณแบ่งเป็นห้าชั้น ตั้งตระหง่านเหนือทะเล บริเวณโดยรอบมีเสาหินแนวตั้งสิบแปดแท่ง ระหว่างแท่งหินยังใช้โซ่เหล็กที่แข็งแรงยึดไว้รวมกัน ตรงกลางมีบึงอัคคีที่มีเปลวไฟร้อนแรงลุกโชนทั้งวันทั้งคืน
ชั้นล่างสุดคือพื้นที่อยู่ต่ำกว่าน้ำทะเล และยังเป็นคุกมืดของวิหารวิญญาณอีกด้วย มีไว้เพื่อจองจำเหล่านักโทษ หรือข้ารับใช้ที่ทรยศ
ทว่าบริวารส่วนใหญ่ของซูจิ่นซีล้วนจงรักภักดี ผู้ที่ทรยศนั้นมีเพียงส่วนน้อย
หลังจากที่เยี่ยโยวเหยามาถึงวิหารวิญญาณ ก็ฝึกฝนพลังลมปราณชิงหลงอยู่บนชั้นห้า เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วยาม ปานดำบนฝ่ามือของเขาลดลงไปไม่น้อย จึงลุกขึ้นมองไปทางคุกมืด
เยี่ยโยวเหยามีตำแหน่งสูงส่ง ทั้งมีสถานะโดดเด่น ปกติเขามักสอบสวนนักโทษด้วยตนเอง โดยผู้ที่ทำหน้าที่ประจำอยู่ในคุกมืดจะนำตัวนักโทษเหล่านั้นขึ้นมา เยี่ยโยวเหยาไม่เคยไปเยือนคุกมืดด้วยตนเองมาก่อน
ตลอดทาง เหล่าองครักษ์ที่เห็นเยี่ยโยวเหยาต่างหวาดกลัวและประหลาดใจ จึงพากันก้มหน้าลง
ค่ำคืนนี้ ผู้ที่ทำให้เยี่ยโยวเหยาต้องมาเยือนคุกมืดด้วยตนเองไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือหลวงจีนทุศีลที่เขาแย่งมาจากหลี่ซื่อก่อนหน้านี้ หรือก็คือมู่หรงอวิ๋นเกอ เสด็จอาเก้าแห่งแคว้นหนานหลี
คุกมืดของวิหารวิญญาณในแคว้นจงหนิง น่ากลัวยิ่งกว่าคุกหลวงเสียอีก
นอกจากเครื่องลงทัณฑ์ต่างๆ อาทิ ขวาน เลื่อย สว่าน แส้ ไม้เท้า ตะขอ โซ่ แผ่นร้อน ดาบสั้นโค้ง กระดานไม้ไผ่ ล้วนแขวนอยู่บนผนังระหว่างทางเดินไปห้องขัง ทั้งยังแขวนศีรษะมนุษย์ที่ยังมีเลือดหยด กับหนังมนุษย์ที่ถูกถลกออกมาจากร่างกายอีกด้วย
โชคดีที่วิหารวิญญาณไม่ได้แบ่งเป็นสิบแปดชั้น มิฉะนั้น สถานที่แห่งนี้คงเป็นนรกสิบแปดขุม แม้ไม่ใช่นรกสิบแปดขุม ทว่าที่แห่งนี้ยังเป็นฝันร้ายของเหล่าคนเป็นที่เข้ามาเยือน
เพียงเข้ามาในคุกมืด ล้วนไม่มีผู้ใดสามารถออกไปได้ในสภาพครบสามสิบสอง ก่อนหน้านี้หมอเทวดาหวาที่ถูกส่งเข้ามายังโดนถลกหนังไปหนึ่งชั้น ต้องได้รับการลงทัณฑ์ไม่น้อยจึงออกไปได้
อย่างไรก็ตาม มีเพียงมู่หรงอวิ๋นเกอที่เป็นข้อยกเว้น
ตั้งแต่วันที่มู่หรงอวิ๋นเกอถูกคุมขัง เยี่ยโยวเหยาได้ออกคำสั่งให้ดูแลอาหารการกินของเขาให้ดี ต้องหาห้องขังที่ดีที่สุด สะอาดที่สุด มิอาจล่วงเกินเสด็จอาเก้าแห่งแคว้นหนานหลีได้
ในห้องขังที่มืดสนิท มู่หรงอวิ๋นเกอกำลังนั่งสวดมนต์อย่างสงบบนเตียงหินที่ปูด้วยฟางสะอาด
ประตูห้องขังถูกเปิดออกจนเกิดเสียงดัง ทว่ามู่หรงอวิ๋นเกอไม่แม้แต่จะเปิดเปลือกตา
จนกระทั่งเยี่ยโยวเหยาเดินเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ที่องครักษ์จัดเตรียมไว้โดยเฉพาะ และเอ่ยเรียกเสียงเย็นชาว่า “อ๋องเก้า”
มู่หรงอวิ๋นเกอจึงลืมตาขึ้น ค่อยๆ หันหลังกลับมามองเยี่ยโยวเหยา
“โยวอ๋อง”
มู่หรงอวิ๋นเกอประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าจึงแปรเปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง และหันหลังกลับไปสวดมนต์ต่อ
“ท่านไม่อยากรู้หรือ? ข้ารู้สถานะของท่านได้อย่างไร? เหตุใดจึงจับตัวท่านมา? ”
มู่หรงอวิ๋นเกอพนมมือ “ควรมาก็ต้องมา คิดจะหลบก็หลบไม่พ้น โยวอ๋องมีวิธีการยอดเยี่ยม ทั้งยังมีวรยุทธ์โดดเด่น ท่านตรวจพบสถานะหลวงจีนอย่างข้า น่าประหลาดใจอันใด? ”
เยี่ยโยวเหยาแววตาเย็นชา “ท่านเป็นถึงอ๋องเก้าแห่งแคว้นหนานหลี นอกจากนั้นพวกท่านทั้งสองยังถือเป็นบุคคลสำคัญของสกุลจงแคว้นหนานหลี ทว่ากลับหลบซ่อนเร้นกายในแคว้นจงหนิงของข้าตั้งหลายปีเช่นนี้ โดยที่ข้าและเชื้อพระวงศ์แห่งแคว้นจงหนิง รวมถึงขุนนางน้อยใหญ่ไม่อาจล่วงรู้ นี่เป็นความชาญฉลาดของท่านอ๋องเก้า หรือเป็นข้อผิดพลาดของข้าและแคว้นจงหนิงกัน? ”
มู่หรงอวิ๋นเกอหยุดหมุนลูกประคำในมือ ทว่าไม่เอ่ยปากพูดอันใด
“ให้ข้าเดา อ๋องเก้าไม่ลังเลที่จะละทิ้งฐานะเชื้อพระวงศ์อันสูงศักดิ์ของแคว้นหนานหลี เพื่อปลอมตัวมาเป็นหลวงจีนในแคว้นจงหนิงของข้า ทว่าท่านมีแผนการอันใด? เพื่อชาติบ้านเมือง? หญิงงาม? หรือแผ่นดิน? ”
มู่หรงอวิ๋นเกอลืมตาขึ้นอีกครั้ง หันไปมองเยี่ยโยวเหยาที่ยืนมั่นคงราวภูเขาไท่ซานในความมืด “โยวอ๋องและพระชายาโยวอ๋องต่างเป็นสามีภรรยากัน ควรพูดจากันอย่างเปิดเผย ทว่าพระชายาโยวอ๋องยังไม่ทราบเรื่องอันใดจากปากของข้า โยวอ๋องไม่จำเป็นต้องถาม ข้าขอเตือนให้ท่านอย่าได้กังวลใจมากเกินไป”
ซูจิ่นซียังไม่ได้ถามอันใดจากมู่หรงอวิ๋นเกอ?
ในใจเยี่ยโยวเหยารู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย
ในวันนั้น เขาไม่ทราบว่าซูจิ่นซีรู้เรื่องอันใดจากมู่หรงอวิ๋นเกอกับจงเหมยจวง ดังนั้นจึงไม่กล้าเสนอหรือพูดคุยกับซูจิ่นซีอย่างคาดเดาไปเอง หลังจากผ่านการไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขายิ่งไม่ทราบว่าหลายวันมานี้ ในใจของซูจิ่นซีกำลังคิดอันใด
จนกระทั่งตอนนี้ ภายในใจของเยี่ยโยวเหยาจึงเริ่มรู้สึกปลอดภัยอย่างแท้จริง
“ท่านอาจไม่พูด ทว่าท่านไม่สามารถปิดบังเรื่องที่ข้าต้องการรู้ได้ เพียงแต่ ไม่รู้ว่าชีวิตของพระชายาอ๋องเก้า จะโชคดีเหมือนอ๋องเก้าหรือไม่” ค่ำคืนมืดมิด ทำให้มองแววตาของเยี่ยโยวเหยาได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าเสียงของเขากลับเย็นชาอย่างมาก
“เหมยจวง? เยี่ยโยวเหยา เจ้าทำอันใดกับเหมยจวง? นางอยู่ที่ใด? ” มู่หรงอวิ๋นเกอถามด้วยน้ำสียงร้อนรน
เยี่ยโยวเหยาเอ่ยอีกครั้งว่า “ข้าไม่ได้ทำอันใดกับจงเหมยจวง นางไม่ได้อยู่ในมือข้า ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่มีทางทำอันใดกับสตรีผู้หนึ่ง”
ใบหน้าของมู่หรงอวิ๋นเกอปรากฏความโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
ทว่าคำพูดของเยี่ยโยวเหยากลับทำให้เขามีท่าทางตึงเครียดอีกครั้ง
“แม้นางไม่ได้อยู่ในเงื้อมมือของข้า ทว่านางตกอยู่ในเงื้อมมือของสำนักแพทย์เทียนอีเหมิน เกรงว่าหากนางเกิดเรื่องอันใดขึ้นคงยากเกินคาดเดา ยิ่งกว่าการตกอยู่ในมือของข้าเสียอีก”
“สำนักแพทย์เทียนอีเหมิน? จิ่วหรง? สำนักแพทย์เทียนอีเหมินเริ่มเข้ามาแทรกแซงเรื่องของแผ่นดินแล้วหรือ? ” ท่าทางของมู่หรงอวิ๋นเกอเผยความตึงเครียดเล็กน้อย