ฮูหยินปี้แย้มยิ้มดีใจราวดอกไม้บาน “สะดวก สะดวกสิ! สะดวกแน่นอน! แม่นางเยวี่ยหลี ข้าจะพาท่านไปพบอวี้เอ๋อร์เอง”
ฮูหยินปี้พูดพลางแย้มยิ้ม มองหลานเยวี่ยหลีแล้วเดินนำทางไป
หลานเยวี่ยหลีตื่นเต้นอย่างมาก ไม่รู้ว่าควรทำตัวเช่นไร เท้าทั้งสองไม่สามารถก้าวเดินได้ ราวกับมีตะปูตอกติดกับพื้น
ลวี่หลีผลักหลานเยวี่ยหลีไปทีหนึ่ง “แม่นางเยวี่ยหลี รีบไปเจ้าค่ะ! ”
ฮูหยินปี้ได้ยินเสียงจากด้านหลัง จึงหันศีรษะไปมอง หลานเยวี่ยหลีก้มศีรษะลงด้วยความเขินอาย และรีบเดินตามฮูหยินปี้ไปทันที
ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็เดินมาถึงเรือนของซูอวี้
บ่าวรับใช้ของซูอวี้กำลังเปลี่ยนยาให้เขาเสร็จพอดี และกำลังใส่เสื้อผ้าให้ เมื่อเห็นฮูหยินปี้พาหลานเยวี่ยหลีเข้ามา ซูอวี้จึงรีบแต่งตัว พลางบ่นเล็กน้อยว่า “ท่านแม่ ท่านพาคนเข้ามา เหตุใดจึงไม่ส่งเสียงบอกลูกล่วงหน้าสักคำเล่า? นี่… นี่มันไม่สุภาพเลยขอรับ”
ฮูหยินปี้ยิ้มกล่าวว่า “แม่นางเยวี่ยหลีผู้นี้มีเรื่องจะพูดกับเจ้า มารดายังมีเรื่องที่ต้องทำ ไม่อาจอยู่ต่อได้ พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันไปเถิด” ฮูหยินปี้พูดพลางขยิบตาให้บ่าวรับใช้ของซูอวี้ จากนั้นจึงเดินออกไปด้านนอกเรือน
บ่าวรับใช้ไม่เข้าใจความหมาย ยังคงยืนตะลึงอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ฮูหยินปี้ที่เดินไปแล้วสองก้าวจึงหันศีรษะกลับมาชักสีหน้าใส่ “ยืนเหม่อทำอันใด ยังไม่รีบมาอีก! ”
“เอ่อ เอ่อ ฮูหยิน จะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ” บ่าวรับใช้รีบเดินตามฮูหยินปี้ออกจากประตูไปทันที
ตอนนี้ภายในเรือนเหลือเพียงซูอวี้กับหลานเยวี่ยหลีสองคน แม้แก้มของหลานเยวี่ยหลีไม่แดงแล้ว ทว่าหัวใจของนางกลับเต้นแรงขึ้น
ซูอวี้จัดเสื้อผ้า ไม่ได้พูดอันใด
หลานเยวี่ยหลีหันหลังกลับ “คุณชายอวี้ เป็น… เป็นเยวี่ยหลีที่ไม่สุภาพ คุณชายอวี้โปรดอย่าตำหนิ”
ซูอวี้จัดแจงเสื้อผ้าเสร็จ จึงเอ่ยด้วยใบหน้าสงบนิ่ง “ไม่เป็นไร แม่นางหลานมีเรื่องอันใด เข้ามาพูดคุยกันเถิด! ”
หลานเยวี่ยหลีเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามซูอวี้
ซูอวี้รินน้ำชาถ้วยหนึ่งให้หลานเยวี่ยหลี
“แม่นางหลานกลับมาอีกครั้ง มีเรื่องอันใดหรือ? ”
หลานเยวี่ยหลีถือถ้วยชาร้อนในมือ ความตึงเครียดในใจค่อยๆ ผ่อนคลายลง “ครั้งก่อนต้องขอขอบคุณผู้นำอวี้ที่รักษาเยวี่ยหลีให้หายจากโรคเรื้อรังที่เป็นมาหลายปี เยวี่ยหลียังไม่ได้กล่าวคำขอบคุณต่อหน้าผู้นำอวี้เลย! มาครั้งนี้ เพื่อต้องการขอบคุณผู้นำอวี้โดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
ใบหน้าซูอวี้สงบนิ่ง พูดว่า “นี่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้เป็นหมอ ครั้งก่อนเป็นเพียงการแข่งขัน แม่นางพบกับข้าเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น อย่าได้ใส่ใจเลย”
หลานเยวี่ยหลียิ่งตึงเครียดมากขึ้น ไม่รู้ว่าควรพูดอันใด นางวางกล่องใบหนึ่งไว้ด้านหน้าซูอวี้ด้วยมือที่สั่นเทาเล็กน้อย “นี่เป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากสกุลหลาน ผู้นำอวี้โปรดรับไว้”
ซูอวี้เปิดกล่องด้วยท่าทีสงบนิ่ง เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่ด้านในก็รีบปิดฝาพลางขมวดคิ้วมุ่น และส่งกลับคืนไปด้านหน้าหลานเยวี่ยหลี
“ข้าเคยพูดแล้ว ครั้งก่อนเป็นเพียงการแข่งขัน นอกจากนั้น เพราะการรักษาโรคเรื้อรังของแม่นางให้หายดี ซูอวี้จึงได้มีฐานะในสกุลซูเช่นวันนี้ เจ้ากับข้าไม่สามารถพูดได้ว่าใครติดค้างใคร ใครมีบุญคุณกับใคร ของสิ่งนี้ล้ำค่าเกินไป แม่นางนำกลับไปเถิด! ต่อไปสิ่งของเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องนำมาอีก”
หลานเยวี่ยหลีร้อนใจรีบลุกขึ้นยืน รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง“ครั้งนั้นผู้นำอวี้รักษาโรคให้เยวี่ยหลีจนหายดี สำหรับเยวี่ยหลีแล้ว เป็นบุญคุณเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง เหตุใดจึงไม่อาจพูดได้ว่าเป็นบุญคุณเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น… ยิ่งไปกว่านั้น ในใจของเยวี่ยหลี สิ่งของเหล่านี้เป็นเพียงของนอกกาย แม้จะเอาชีวิตของเยวี่ยหลีมอบให้ผู้นำอวี้ เยวี่ยหลีก็ยอมทำด้วยความเต็มใจ”
“แม่นางเยวี่ยหลี! ” จู่ๆ ซูอวี้ก็ยืนขึ้นพูดว่า “คำพูดเช่นนี้ ต่อไปไม่ควรกล่าวถึงอีก จรรยาบรรณของหมอ ไม่ว่าผู้ใดจะหายดีจากการรักษา ก็ล้วนเป็นหน้าที่ของหมอ”
หลานเยวี่ยหลีขมวดคิ้วแน่นพลางเม้มริมฝีปาก ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “คำพูดนี้ แต่นี้ไปเยวี่ยหลีจะไม่พูดอีก ทว่าสิ่งนี้เป็นยาชั้นดีที่สกุลหลานของข้าใช้ในการรักษาโรค ทั้งเป็นน้ำใจตอบแทนจากสกุลหลานเพื่อแสดงความขอบคุณต่อผู้นำอวี้ หวังว่าผู้นำอวี้จะรับไว้”
ในกล่องนี้เป็นเพียงยาเม็ดอี้กู่ที่มีเฉพาะในเผ่าวิหค เม็ดยานี้ล้ำค่าจริงๆ คนของเผ่าวิหคมีร่องปีกมาตั้งแต่กำเนิด เมื่อถึงวัยที่กำหนด ร่องปีกที่เจริญเติบโตเต็มที่จะมีปีกงอกออกมา ยาเม็ดอี้กู่เป็นยาเม็ดที่ปรุงขึ้นจากไขกระดูก หลังสลัดขนออกจากรูปีกเมื่อคนเผ่าวิหคมีปีกงอกออกมา แต่ใช่ว่าไขกระดูกจากรูปีกของคนเผ่าวิหคทุกคนที่สามารถนำมาปรุงยายาเม็ดอี้กู่ได้ เช่นนี้จึงทำให้ยาเม็ดอี้กู่ล้ำค่ามากยิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดว่าหลานเยวี่ยหลีนำมาให้ซูอวี้ แต่กลับพูดอย่างดื้อรั้นว่าเป็นน้ำใจของสกุลหลาน
สิ่งของล้ำค่าเช่นนี้ จะพูดอย่างไรซูอวี้ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับ
หลานเยวี่ยหลีพยายามใช้คำพูดโน้มน้าว “ตั้งแต่ผู้นำอวี้รักษาโรคให้เยวี่ยหลีจนหายดี เยวี่ยหลีก็คิดว่าผู้นำอวี้เป็นผู้มีพระคุณ ทั้งยังคิดว่าผู้นำอวี้เป็นสหายคนหนึ่ง หากผู้นำอวี้ไม่รับไว้ ถือว่าไม่ได้มองเยวี่ยหลีเป็นสหายแล้ว”
ซูอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปที่กล่องอีกครั้ง
ในใจคิดว่า พี่จิ่นซีชอบเก็บสะสมยาล้ำค่าเสมอ บางทีพี่จิ่นซีเห็นสิ่งนี้อาจจะชอบ เขาจึงพูดกับหลานเยวี่ยหลีว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะรับสิ่งนี้เอาไว้ แต่จากนี้ไปอย่าได้ส่งมาอีก”
ใบหน้าของหลานเยวี่ยหลีเต็มไปด้วยความดีใจ
“เพียงท่านไม่ได้รับบาดเจ็บ ข้าก็ไม่มีโอกาสนำมาให้อยู่แล้ว”
ใบหน้าซูอวี้สงบนิ่ง ไม่พูดอันใด
“ผู้นำอวี้ เยวี่ยหลียังมีคำร้องขออยู่เรื่องหนึ่ง ขอให้ผู้นำอวี้รับปากด้วย”
“เรื่องอันใด เจ้าพูดมาเถิด”
“ก่อนหน้านี้ เยวี่ยหลีได้ไปเยือนหอโอสถสกุลซูสองครั้ง และเห็นคุณชายจิ่วแห่งสำนักแพทย์เทียนอีเหมินนั่งวินิจฉัยอาการป่วย ได้ยินมาว่าคุณชายจิ่วมีวิชาแพทย์ที่เก่งกาจยิ่งนัก ทั้งพบตัวได้ยาก หากคิดจะเรียนรู้วิชาแพทย์จากคุณชายจิ่วสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ผู้นำอวี้ เห็นแก่ข้าในฐานะสหาย ช่วยจัดหาตำแหน่งในหอโอสถสกุลซูให้ข้าได้หรือไม่? ข้าต้องการใช้โอกาสนี้เรียนวิชาแพทย์กับคุณชายจิ่ว”
ซูอวี้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “ได้ก็ได้อยู่ เพียงแต่งานในหอโอสถค่อนข้างซับซ้อน ทั้งหนักและเหน็ดเหนื่อย เกรงว่าแม่นางหลานจะทำไม่ได้”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หลานเยวี่ยหลีพูด “ข้าไม่ได้เกิดมาแล้วเป็นคุณหนูของสกุลหลานเลย ข้าทนความลำบากได้เจ้าค่ะ”
“ตกลง เช่นนั้นวันพรุ่งนี้เจ้าไปที่หอโอสถเย่าอันเถิด! ทุกวันคุณชายจิ่วจะนั่งวินิจฉัยอาการป่วยอยู่ที่นั่น”
หลานเยวี่ยหลีเม้มริมฝีปากอย่างลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ถามว่า “แล้วท่านผู้นำอวี้เล่า? ท่านอยู่ที่หอโอสถเย่าอันด้วยหรือไม่? ”
“อืม อยู่” ซูอวี้พยักหน้า
หลานเยวี่ยหลีตื่นเต้นดีใจ ทว่านางเก็บความรู้สึกนั้นไว้ภายในใจ ทำเพียงแย้มยิ้มมุมปากอย่างสดใส
“ตอนนี้ก็สายมากแล้ว เยวี่ยหลีขอตัวกลับจวนก่อนนะเจ้าคะ พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปรายงานตัวที่หอโอสถเย่าอัน”
“อืม” ซูอวี้พยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หลานเยวี่ยหลีรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง นางยืนขึ้นคำนับลาซูอวี้ ก่อนจะหันหลังเดินออกนอกเรือน ระหว่างทางนางมีความสุขร่าเริง จนเกือบเดินชนบ่าวรับใช้ที่กำลังเดินเข้าประตูมา
บ่าวรับใช้มองด้านหลังของหลานเยวี่ยหลีที่เดินจากไป พลางเดินเข้าประตูมาด้วยรอยยิ้ม และพูดกับซูอวี้ว่า “คุณชาย บ่าวเห็นว่าแม่นางหลานก็ไม่เลวนะขอรับ! ”
“ไม่เลวอันใด? อย่าพูดจาไร้สาระ! เข้ามาดูสิ เหมือนจะผูกผ้าพันแผลไม่ดีนัก”
บ่าวรับใช้เดินมาข้างหน้าซูอวี้ ก่อนจะถอดเสื้อผ้าตรวจดูบาดแผลไปพลาง พูดไปพลาง “คุณชาย ท่านอย่าบอกว่าท่านมองไม่ออก ตอนที่แม่นางหลานเพิ่งเดินออกจากเรือน นางดูดีใจเป็นอย่างมาก ข้าเห็นท่าทางเช่นนี้ ราวกับนางลืมวิญญาณไว้ที่ท่าน ไม่ได้นำกลับไปด้วยอย่างไรอย่างนั้น คุณชาย ท่านว่า ท่านนำวิญญาณของแม่นางหลานแอบเก็บไว้ ไม่ให้นางเอากลับไปใช่หรือไม่? ท่านซ่อนไว้ที่ใด? ซ่อนไว้ที่ใด ให้ข้าหาดู! ”
บ่าวรับใช้พูดพลางยกเสื้อผ้าซูอวี้ขึ้น