นานถึงเมื่อไร?
นานจนรู้ชาติกำเนิดของนางหรือ?
“นานเท่าไร? ”
จิ่วหรงมองซูจิ่นซีด้วยท่าทางจริงจัง พลางยื่นมือลูบผมหน้าม้าซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยน “ชาติที่แล้ว ชาติของชาติที่แล้ว แปดชาติก่อนกระมัง? ผู้ใดจะรู้! ”
แปดชาติก่อน?
ในเวลานี้ ซูจิ่นซีคิดว่าจิ่วหรงกำลังพูดล้อเล่นจึงไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ผู้ใดจะคิดว่าคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจนั้นกลับเป็นความจริง หลายปีต่อจากนี้ เมื่อซูจิ่นซีฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องในวันนี้ แม้นางจะรู้สึกสำนึกผิด ทว่าทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว
จิ่วหรงราวกับมองความคิดของซูจิ่นซีออก “เด็กโง่ มีเรื่องอันใดจะถามอาจารย์อีกหรือไม่? ”
“ในเมื่อข้ากับท่านรู้จักกันมาก่อน เช่นนั้นท่านรู้เรื่องก่อนที่ข้าอายุเจ็ดปีหรือไม่? ยังมีสถานะมารดาของข้าอีก ท่านรู้หรือไม่ว่ามารดาของข้าเสียชีวิตอย่างไร? ”
“ฮูหยินกู้? ” จิ่วหรงขมวดคิ้ว
จิ่วหรงรู้จักมารดาของนางจริงๆ
กู้เหยียนซี เป็นนามแฝงของมารดานาง เมื่ออยู่ในสกุลซูแคว้นจงหนิง
ซูจิ่นซีดีใจเป็นอย่างมาก รีบพยักหน้า ในใจเชื่อจิ่วหรงโดยไม่สงสัยแม้แต่น้อย “ภาพในความทรงจำของข้าตอนอายุเจ็ดปี ในปีนั้น ข้าเห็นซูจ้งถือมีดสั้นสังหารมารดาของข้ากับมือ แต่ซูจ้งกลับพูดว่า เขาไม่ได้สังหารมารดาของข้า”
“เจ้าเชื่อคำพูดของซูจ้งหรือ? ” จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คนกำลังจะตายมักพูดความจริง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าทางของเขาในตอนนั้นที่ไม่เหมือนคนพูดโกหก”
จิ่วหรงกำลังครุ่นคิด ทว่าไม่ได้พูดอันใด
ซูจิ่นซีซักถามอีกครั้ง “จิ่วหรง ท่านเริ่มสอนวิชาแพทย์ให้ข้าตั้งแต่เมื่อใด? แล้วรู้จักข้าตั้งแต่เมื่อใด? เกี่ยวกับสถานะมารดาของข้าและความทรงจำที่สูญหายไปเหล่านั้นของข้า ท่านรู้เรื่องมากน้อยเพียงใด? ท่านบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมากสำหรับข้า ”
ซูจิ่นซีจริงจังดื้อรั้นราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
จิ่วหรงมองซูจิ่นซีที่เป็นแบบนี้ ก็อดจับผมหน้าม้าของนางไม่ได้
“ตอนที่ข้ารู้จักเจ้า เป็นปีที่เจ้าอายุได้เจ็ดปีพอดี สภาพจิตใจของเจ้าไม่ค่อยดีนัก ตั้งแต่ปีนั้นเองที่ข้าเป็นอาจารย์สอนวิชาแพทย์ให้เจ้า ส่วนชาติกำเนิดสกุลมารดาของเจ้า อาจารย์เพียงได้ยินคนอื่นพูดกัน ส่วนที่เหลืออาจารย์ไม่ค่อยเข้าใจนัก”
หลวงจีนทุศีลและฮองเฮาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ซูจิ่นซีจึงฝากความหวังยิ่งใหญ่นี้ไว้กับจิ่วหรง กลับคิดไม่ถึงว่า จิ่วหรงก็ไม่รู้สถานการณ์ในตอนนั้น ซูจิ่นซีจึงยอมแพ้ล้มเลิกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทว่านางระมัดระวังอย่างมาก มีบางประเด็นสำคัญที่ยังต้องถามอย่างละเอียด
“ข้าเพียงลืมความทรงในอดีตก่อนอายุเจ็ดปีเท่านั้น แม้ความทรงจำหลังจากอายุเจ็ดปี สำหรับข้าอาจดูรางเลือนไปบ้าง ทว่าข้าจดจำได้เกือบทั้งหมด แต่กลับลืมท่านเพียงผู้เดียวเท่านั้น จิ่วหรง ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด? ”
จิ่วหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะถามคำถามเช่นนี้
เมื่อเห็นจิ่วหรงตอบไม่ได้ ซูจิ่นซีจึงถามต่อว่า “จำได้ว่าตอนนั้น ซูเมิ่งเหยาที่ปลอมตัวเป็นซิ่งหลิวหลีได้วางยาพิษเจ็ดแมลงเจ็ดสีกับข้า ท่านในฐานะเจ้าสำนักแพทย์เทียนอีเหมิน ผู้คนต่างรู้ดีว่าท่านมีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยม ท่านสามารถถอนพิษเล็กน้อยเช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย หากเป็นจริงดั่งคำพูดของท่าน ท่านกับข้ารู้จักกันมานานเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่ถอนพิษให้ข้า กลับมองดูข้าได้ชื่อว่าเป็นคนโง่เขลาที่น่ารังเกียจ ทั้งยังถูกผู้อื่นรังแก? ”
นี่เป็นเรื่องที่ซูจิ่นซีสงสัยตั้งแต่ได้ฟังเรื่องของจิ่วหรงเป็นครั้งแรก และเป็นคำถามที่จนกระทั่งวันนี้นางไม่เคยขจัดความสงสัยในใจออกไปได้เลย
ใบหน้าจิ่วหรงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นความสับสน เขาทอดสายตามองออกไปไกล
ซูจิ่นซียังรอคอยคำตอบของจิ่วหรงอย่างเงียบงัน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า สุดท้ายจิ่วหรงก็ยังไม่ตอบอันใด
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชา “จิ่วหรง ในความทรงจำของข้าไม่มีท่านจริงๆ ทั้งข้ายังไม่เชื่อว่า ข้าจำทุกคน ทุกเรื่องได้ แต่กลับจำท่านไม่ได้เพียงผู้เดียว เหตุผลเช่นนี้ดูไร้สาระเกินไป เกรงว่าแม้ท่านเอง ก็คงไม่เชื่อ”
ซูจิ่นซีพูดพลางหยิบเข็มเหมันต์เทวะออกมา ยื่นไปด้านหน้าจิ่วหรง “ขอบคุณสำหรับความรักความเมตตาของท่าน แต่ข้า ซูจิ่นซีรับไว้ไม่ได้จริงๆ ”
จิ่วหรงไม่ได้ยื่นมือออกไปรับไว้ ซูจิ่นซีจึงยัดเข็มเหมันต์เทวะไว้ในมือของจิ่วหรง แล้วหันหลังเดินกลับเรือนพัก
ทันใดนั้น จิ้งจอกน้อยก็โผล่ออกมาจากแขนเสื้อจิ่วหรง มันหันไปมองด้านหลังซูจิ่นซีพลางร้องเรียก ‘จี๊ด จี๊ด จี๊ด’ ราวกับกำลังโกรธ
ซูจิ่นซีได้ยินเสียงจึงหยุดเดินและหันกลับไปมอง ทว่าไม่นานก็หันหลังกลับและเดินต่อไปอย่างไม่ใส่ใจอันใด
ขณะที่ซูจิ่นซีกำลังจะเดินไปถึงทางออก จู่ๆ จิ่วหรงก็เอ่ยขึ้นว่า “เด็กโง่ ของสิ่งนี้เดิมทีก็เป็นของเจ้า เจ้าคืนให้ข้าทำไม? อาจารย์เคยพูดว่าชีวิตนี้มีเจ้าเป็นศิษย์เพียงผู้เดียว ย่อมรับเพียงเจ้าเป็นศิษย์ ส่วนซูอวี้ หากเจ้าต้องการให้เขาเรียนวิชาการแพทย์ของสำนักแพทย์เทียนอีเหมิน อาจารย์จะสอนเขาเอง”
ซูจิ่นซีหันศีรษะกลับไป เห็นความอบอุ่นอ่อนโยนในดวงตาของจิ่วหรง
“จิ่วหรง… ”
ในใจซูจิ่นซียังมีข้อสงสัยอีกมาก ทว่าไม่รอให้นางเอ่ยปาก จิ่วหรงพลันพลิกฝ่ามือ ซูจิ่นซีไม่ทันได้เห็นอย่างชัดเจน ทันใดนั้น เข็มเหมันต์เทวะก็กลับมาอยู่ในมือของซูจิ่นซีแล้ว
จิ่วหรงรีบเหาะหายไปในทันที
ซูจิ่นซีมีท่าทีตกตะลึงเล็กน้อย ทุกครั้งที่จิ่วหรงปรากฏตัวหรือจากไป เขามักทำให้นางรู้สึกเหมือนสิ่งที่เห็นเป็นเพียงภาพมายา ไม่ใช่ความจริง
ซูจิ่นซีมองดูเข็มเหมันต์เทวะในมือพักใหญ่ นางไม่เข้าใจว่า เหตุใดจิ่วหรงจึงพูดว่าเดิมทีสิ่งนี้เป็นของนาง ทว่าซูจิ่นซีก็ไม่อยากคิดมากให้ตนเองต้องกลัดกลุ้มอีก จึงทำเพียงเดินกลับไปยังเรือนพัก
หลังจากจิ่วหรงออกมาจากเรือนฮั่นเซียงแล้ว ก็ไม่ได้จากไปในทันที ทว่าเขายืนอยู่บนหลังคา เฝ้ามองซูจิ่นซีอยู่ห่างๆ เห็นซูจิ่นซีเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างเงียบงัน กระทั่งแสงไฟในห้องสว่างขึ้นและดับลงแล้ว เขาจึงจากไป
จิ้งจอกน้อยหมอบอยู่บนไหล่จิ่วหรงเงียบๆ มันใช้หางขนาดใหญ่ราวกับพัดต่างฝ่ามือ ลูบไล้ใบหน้าสง่างามของจิ่วหรงอย่างอ่อนโยน
จิ่วหรงหันหลังดึงจิ้งจอกน้อยมาโอบไว้ที่หน้าอก เขาลูบไล้มันอย่างแผ่วเบา ดวงตาดูอ่อนโยนราวกับมองซูจิ่นซี
ครู่หนึ่ง เขาพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยว่า “เจ้าว่า สิ่งใดถูก? สิ่งใดผิด? สิ่งใดคือวิถีแห่งสวรรค์? สิ่งใดคือวิถีแห่งมนุษย์? ”
เสียงนั้นไพเราะยิ่งนัก ทว่าในค่ำคืนที่มืดมิดเงียบเหงาและโดดเดี่ยวนั้น กลับเผยให้เห็นถึงความว้าเหว่และความเย็นชาอันไร้ที่สิ้นสุด
ผ่านไปครู่ใหญ่ หน้าผาที่ห่างไกลออกไปจากเมืองหลวง มีเสียงขลุ่ยอันไพเราะดังขึ้น แสงจันทร์พร่างพราวซ่อนอยู่ในมวลหมู่เมฆบนฟากฟ้า ดวงดาราระยิบระยับ โน้มศีรษะยอมจำนน
หลังมื้ออาหารค่ำ ฮูหยินปี้ให้คนพาซูอวี้กลับไปที่เรือนของเขา จากนั้นจึงไปส่งหลานเยวี่ยหลีกลับจวนด้วยตนเอง
แม้ฮูหยินปี้ไม่รู้เจตนาที่ซูจิ่นซีเชิญหลานเยวี่ยหลีมาในคืนนี้ ทว่านางคือคนที่ซูจิ่นซีเชิญมา ฮูหยินปี้จึงไม่กล้าละเลย
เมื่อเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นลวี่หลีก็เดินตามออกมา นางนำกล่องที่หลานเยวี่ยหลีมอบให้ก่อนหน้านี้คืนให้หลานเยวี่ยหลี
หลานเยวี่ยหลีประหลาดใจอยู่บ้าง
“แม่นางเยวี่ยหลี คุณหนูของบ่าวพูดว่าของสิ่งนี้ ท่านมอบให้คุณชายน้อยอวี้ด้วยตนเองดีกว่าเจ้าค่ะ”
ให้นางมอบให้ซูอวี้ด้วยตนเอง?
หลานเยวี่ยหลีปรายตามองฮูหยินปี้ โหนกแก้มทั้งสองแดงก่ำขึ้นมาทันที ไม่กล้าเงยหน้ามองฮูหยินปี้โดยตรง
หลานเยวี่ยหลีแสดงท่าทีเช่นนี้ เหตุใดฮูหยินปี้จะมองไม่ออกเล่าว่าเป็นเรื่องอันใด?
“ฮูหยินปี้ แม่นางเยวี่ยหลีต้องการพบคุณชายน้อยอวี้ ไม่ทราบว่าจะสะดวกหรือไม่เจ้าคะ? ” ลวี่หลีจงใจถามฮูหยินปี้