เล่ม 11 เล่มที่ 11 ตอนที่ 308 หลงลืมอาจารย์เพียงผู้เดียวเท่านั้น

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

คนที่จวนสกุลซูคาดไม่ถึงว่าซูจิ่นซีจะมาดึกดื่นเช่นนี้ ทุกคนต่างตื่นตระหนก ทว่าฮูหยินปี้ยังคงสงบนิ่งและละเอียดรอบคอบอยู่เสมอ เมื่อเห็นสีหน้าซูจิ่นซีไม่สู้ดีนัก นางจึงไม่ได้สอบถามอันใด ทำเพียงรีบจัดแจงที่พักให้กับซูจิ่นซีเท่านั้น

ซูจิ่นซีนั่งอยู่เงียบๆ ผู้เดียวในเรือนฮั่นเซียง กระทั่งลวี่หลีก็ไม่กล้าเข้าไปรบกวน

ซูจิ่นซีไม่รู้ว่า เหตุใดเมื่อคืนตนจึงโกรธมากถึงเพียงนั้น นางรู้สึกคับข้องใจอยู่มาก และนึกเสียใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จู่ๆ ซูจิ่นซีก็ได้ยินเสียงของกลไก เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นหมูน้อยกลไกที่พบในหุบเขาราชันพิษก่อนหน้านี้บินมาทางตนเอง

ซูจิ่นซีแบมือออก หมูน้อยกลไกจึงบินลงมาในมือของนาง ซูจิ่นซีถือหมูน้อยกลไกพลางมองดูอยู่พักใหญ่ นางพบว่า หมูน้อยตัวนี้ไม่เหมือนกับตัวก่อนหน้า ตัวก่อนหน้าเป็นตัวผู้ มีปุ่มเปิดปิดอยู่ที่ส่วนใต้สะดือ ทว่าตัวนี้เป็นตัวเมีย ซูจิ่นซีหาอยู่ครู่หนึ่ง จึงพบว่าตำแหน่งเปิดปิดอยู่ที่ใบหูด้านขวา เป็นไฝสีแดงเม็ดหนึ่งที่ไม่สะดุดตานัก

เมื่อซูจิ่นซีกดลงไป หมูน้อยกลไกก็ส่งเสียงออกมา

“แม่นางพิษน้อย เจ้ากำลังทำอันใดอยู่หรือ? คิดถึงพี่จุนบ้างหรือไม่? พี่จุนคิดถึงเจ้ามาก! เยี่ยโยวเหยา คนสารเลวผู้นั้นรังแกเจ้าหรือ? หากเขารังแกเจ้า เจ้าต้องบอกพี่จุน! พี่จุนจะช่วยเจ้าสั่งสอนเขา”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดจาไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา แต่ซูจิ่นซีคิดว่าเป็นเพียงเรื่องล้อเล่นจึงไม่ได้สนใจอันใดมากนัก หลังจากฟังจบก็ไม่ได้คิดอันใด ทำเพียงวางหมูน้อยกลไกลง จากนั้นหมูน้อยกลไกก็ขยับปีก บินหายไปท่ามกลางความมืด

ดึกมากแล้ว ซูจิ่นซีจึงกลับเข้าไปนอนในห้อง

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อลวี่หลีกำลังปรนนิบัติซูจิ่นซีล้างหน้านั้น นางยังมีความรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง ด้วยกลัวว่าซูจิ่นซียังไม่หายโกรธ หากตนเองทำอันใดไม่ระวัง อาจทำให้ซูจิ่นซีโกรธขึ้นมาอีก

อย่างไรก็ตาม กลับนึกไม่ถึงว่า ซูจิ่นซีจะทำราวกับไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เมื่อล้างหน้าเสร็จ ซูจิ่นซีก็ไปที่เรือนของซูอวี้เพื่อตรวจดูอาการ จากนั้นก็สั่งให้ฮูหยินปี้เตรียมอาหารค่ำให้มากหน่อย นางจะเชิญจิ่วหรงและหลานเยวี่ยหลีมางานเลี้ยง

จิ่วหรงช่วยเหลือเรื่องการถอนพิษให้ซูอวี้ ซูจิ่นซีเชิญจิ่วหรงมารับประทานอาหารจึงเป็นเรื่องปกติ ทว่าเหตุใดต้องเชิญหลานเยวี่ยหลีมาด้วย?

ฮูหยินปี้สงสัยอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ถามอันใดมาก

ทว่าสีหน้าของซูอวี้กลับเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เมื่อถึงมื้ออาหารค่ำ หลานเยวี่ยหลีและจิ่วหรงก็มาถึงอย่างพร้อมหน้า

“จิ่วหรง ข้าขอคารวะท่านหนึ่งจอก หากไม่ใช่เพราะท่านช่วยเหลืออวี้เอ๋อร์เรื่องพิษเผ่าเหมียว ข้าคงยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร” ซูจิ่นซียกจอกสุราขึ้นคำนับจิ่วหรง

แม้ตอนที่อยู่กันตามลำพังสองคน จิ่วหรงมักจะพูดถ้อยคำบางอย่างที่ทำให้ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร ทว่าในสถานการณ์สำคัญ จิ่วหรงยังเป็นคนที่รู้จักความเหมาะสมและกาลเทศะ

“เรื่องของศิษย์ย่อมเป็นเรื่องของอาจารย์ เหตุใดจึงพูดเกรงใจอาจารย์เช่นนั้น” จิ่วหรงพูดพลางยกจอกสุราขึ้นอย่างสง่างาม ร่วมดื่มสุรากับซูจิ่นซีหนึ่งจอก

ซูจิ่นซีวางจอกสุราลง และเติมสุราให้จิ่วหรง “จิ่วหรง แม้จะยากเกินไปสักหน่อย แต่วันนี้ข้ายังมีเรื่องหนึ่งที่ต้องขอร้องให้ท่านช่วยเหลือ”

จิ่วหรงมองซูจิ่นซีด้วยความรักและอ่อนโยน เขายกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางยกคิ้วแสดงท่าทีถามซูจิ่นซีว่ามีเรื่องอันใด

ซูจิ่นซีมองไปที่ซูอวี้แล้วพูดว่า “ข้าต้องการให้ท่านรับอวี้เอ๋อร์เป็นศิษย์”

จิ่วหรงไม่ได้รีบตอบรับในทันที ซูจิ่นซีอธิบายว่า “ซูอวี้มีพรสวรรค์ เฉลียวฉลาด ทั้งยังมีคุณสมบัติที่ดี หากท่านไม่เชื่อ สามารถทดสอบเขาได้”

เรื่องนี้ ซูจิ่นซีคิดมานานมากแล้ว แม้สกุลซูจะมีรากฐานมานับร้อยปี อย่างไรก็ตาม เมื่อสืบทอดมาถึงรุ่นพวกนางก็ตกต่ำลงพอสมควร ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น เพียงซูจ้งที่ได้รับตำแหน่งหัวหน้าสำนักหมอหลวงของราชสำนัก ทว่าเมื่อกล่าวถึงความชำนาญด้านการแพทย์แล้ว อวิ๋นจิ่นเพียงผู้เดียวก็สามารถบดขยี้เขาได้

นอกจากนั้น เมื่อสกุลซูตกทอดมาถึงซูอวี้ แม้ซูอวี้จะเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์และเฉลียวฉลาด ทว่าอย่างไรเสีย เขาก็อายุยังน้อย แม้จะช่ำชองเกี่ยวกับความรู้ที่เป็นพื้นฐาน ทว่าการเรียนรู้ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด หากต้องการทำให้สกุลซูรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้ง เขายังต้องพยายามเรียนรู้อย่างไม่ย่อท้อ

เดิมที ซูจิ่นซีเตรียมการพูดเรื่องนี้กับจิ่วหรง ทั้งยังคิดหาวิธีการรับมือหากถูกจิ่วหรงปฏิเสธ กลับคิดไม่ถึงว่า คำตอบของจิ่วหรงไม่เพียงทำให้ซูจิ่นซีตะลึงงัน ยังทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกประหลาดใจอีกด้วย

“เด็กน้อย อาจารย์เคยบอกแล้ว อาจารย์รับศิษย์เหมือนแต่งภรรยา จงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลง” จิ่วหรงขมวดคิ้ว

ฮูหยินปี้ ซูอวี้ หลานเยวี่ยหลี ต่างมองไปที่ซูจิ่นซีทันที

ซูจิ่นซีรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

“อีกอย่าง… ” จิ่วหรงหันไปมองซูอวี้แล้วพูดว่า “ศิษย์ของข้า มิใช่ใครอยากจะเป็น ก็เป็นได้”

ซูจิ่นซีรู้ว่าเรื่องนี้กะทันหันเกินไป ทั้งยังละเอียดอ่อนมาก ไม่เหมาะที่จะพูดคุยในสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่พูดอันใดอีก

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็ยกจอกสุราขึ้น พลางแย้มยิ้มพูดว่า “ทุกคนล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกันดี วันนี้ไม่ต้องมากพิธี”

ฮูหยินปี้และคนอื่นๆ ยกจอกสุราขึ้น ซูจิ่นซีไม่พูดเรื่องขอจิ่วหรงรับซูอวี้เป็นศิษย์อีก

อาหารมื้อนี้ผ่านไป นับว่าเป็นการรับประทานอาหารอย่างมีความสุข

หลังรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ซูจิ่นซีให้คนไปนำกล่องที่หลานเยวี่ยหลีมอบให้นางก่อนหน้านี้ มาคืนให้หลานเยวี่ยหลี และให้นางมอบให้ซูอวี้ด้วยตนเอง

ส่วนซูจิ่นซีก็เชิญจิ่วหรงให้มาพูดคุยเป็นการส่วนตัว มีบางเรื่องที่นางต้องการถามจิ่วหรงนานแล้ว

ภายในเรือนฮั่นเซียง ลวี่หลีทำการจุดกำยานและชงชา จากนั้นซูจิ่นซีจึงรินน้ำชาให้จิ่วหรงด้วยตนเอง

“วันนี้ เหตุใดศิษย์ถึงเชิญอาจารย์มาดื่มน้ำชาอย่างสุนทรีเช่นนี้? ” จิ่วหรงยังคงแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน

“จิ่วหรง ข้าขอพูดตามตรง หลังจากที่ข้าหายจากโรคโง่งม แม้ข้าจะจดจำเรื่องราวได้หลายอย่าง แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังจำไม่ได้ก็คือท่าน ท่านพอจะบอกข้าได้หรือไม่ ท่านกับข้ารู้จักกันได้อย่างไร? เรื่องของข้า ท่านรู้อันใดบ้าง? ”

ดวงตาจิ่วหรงฉายแววเจ็บปวดอย่างที่ผู้คนยากจะคาดเดา กระทั่งซูจิ่นซีที่ว่องไวก็ไม่สามารถรับรู้ได้

เขาจ้องดวงตาทั้งคู่ของซูจิ่นซีอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็หยิบขลุ่ยในมือขึ้นมาบรรเลง

เสียงขลุ่ยดูสงบราบเรียบ ทั้งอ่อนโยนไพเราะ บางครั้งก็ชวนระลึกถึงคนรักที่เคยผ่านเหตุการณ์ยากลำบากมาด้วยกัน บางครั้งก็ทำให้นึกถึงการแยกจากกันข้ามขอบฟ้า บางครั้งก็คิดถึงความเศร้าโศกไร้สิ้นสุดในยามค่ำคืน ทว่าไม่สามารถรับรู้ได้ถึงบรรยากาศแห่งความสุขแม้แต่น้อย

ทำนองเพลงเช่นนี้ เหมาะกับบุคคลอย่างจิ่วหรง ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกว้าเหว่เดียวดาย

หลังจากเพลงจบลง จิ่วหรงจึงหันไปถามซูจิ่นซี “เจ้ายังจำเพลงนี้ได้หรือไม่? ”

ทำนองเพลงที่เศร้าโศกเช่นนี้ ซูจิ่นซีเพิ่งได้ฟังเป็นครั้งแรก นางจำไม่ได้เลยว่าตนเองเคยฟังเพลงนี้มาก่อน ทั้งยังไม่รู้สึกคุ้นเคยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นท่าทางสับสนของซูจิ่นซี แววตาจิ่วหรงก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น ทว่าเขาพยายามปกปิดเอาไว้ จากนั้นจิ่วหรงจึงลุกขึ้นยืนหันหลัง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สาวน้อยเติบใหญ่แล้ว จดจำได้ทุกอย่าง กลับหลงลืมอาจารย์เพียงผู้เดียวเท่านั้น”

“จิ่วหรง… ” ซูจิ่นซีรู้สึกเสียใจ

จู่ๆ จิ่วหรงก็หันกลับมามองดวงตาทั้งคู่ของซูจิ่นซีอย่างจริงจัง “เด็กโง่ เจ้าจดจำอาจารย์ไม่ได้ไม่เป็นไร เพียงอาจารย์จำเจ้าได้ก็พอแล้ว”

“ท่านกับข้ารู้จักกันตอนไหนหรือ? ”

ซูจิ่นซีถามอย่างระมัดระวัง

จิ่วหรงทอดสายตาไปในที่แสนไกล พลางเงยหน้ามองดวงจันทร์ที่สว่างไสวโดดเดี่ยวบนท้องฟ้า แล้วพูดว่า “นานมากแล้ว นานจนอาจารย์จำไม่ได้ว่าตั้งแต่ปีใด เดือนใด”

นานมาก?