มือของเยี่ยโยวเหยาบีบกรามซูจิ่นซีแรงขึ้น จนกระดูกขากรรไกรของซูจิ่นซีแทบหัก
ไม่รู้เพราะความเจ็บหรือความเศร้าโศกภายในใจ ในที่สุด ดวงตาที่เปล่งประกายเจิดจ้าอยู่เสมอของซูจิ่นซีพลันแตกสลาย น้ำตารินไหลอาบแก้ม
“เยี่ยโยวเหยา” ซูจิ่นซีเม้มริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งพลัง
แววตาเยี่ยโยวเหยาสั่นไหวเล็กน้อย เขาปล่อยมือจากซูจิ่นซี ก่อนจะลุกขึ้นยืนเอาสองมือไพล่หลัง สิ่งที่หลงเหลือไว้ให้นางมีเพียงแผ่นหลังที่แสนจะเย็นชา
“ซูจิ่นซี ข้าต้องการให้เจ้าเข้มแข็ง อย่าได้อ่อนแอ” ซูจิ่นซีครุ่นคิดอยู่ในใจอย่างเงียบงัน พลางลุกขึ้นยืนมองด้านหลังของเยี่ยโยวเหยา จากนั้นจึงจัดระเบียบเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงและเดินออกจากศาลาร่มเย็นไปด้านนอกเรือนชิงโยวทันที
เมื่อเดินไปถึงประตูทางออกเรือนชิงโยว ซูจิ่นซีก็พบกับผู้ที่ทำหน้าที่เฝ้าประตู
“เตรียมรถม้าให้ข้า”
คนเฝ้าประตูยังไม่ทันได้ตอบโต้อันใด ซูจิ่นซีก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือนชิงโยวอีกครั้ง เพื่อไปยังเรือนอวิ๋นไค
เรื่องที่เกิดขึ้นในศาลาร่มเย็น ลวี่หลีล้วนเห็นทุกอย่าง ทว่านางไม่กล้าเข้าไปใกล้ ทำได้เพียงอยู่ที่เรือนอวิ๋นไคอย่างเงียบงัน แม้นางจะไม่ได้ยินเสียงบทสนทนา แต่ก็มองออกว่า คุณหนูของนางทะเลาะกับท่านอ๋อง ทั้งยังทะเลาะกันอย่างรุนแรงอีกด้วย
“คุณหนู! ”
ลวี่หลีมองซูจิ่นซีเดินเข้ามาด้วยความฉุนเฉียว จึงไม่กล้าพูดเสียงดังกับซูจิ่นซี
“ลวี่หลี เก็บข้าวของ พวกเราจะกลับจวนสกุลซู”
“เก็บ… เก็บของหรือเจ้าคะ? ”
ลวี่หลีตกตะลึง ไม่รู้ว่าควรเก็บของอันใด เมื่อก่อนแม้ซูจิ่นซีจะกลับจวนสกุลซูเช่นกัน ทว่าลวี่หลีก็มักเก็บเพียงของเล็กๆ น้อยๆ ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง
ซูจิ่นซีเห็นลวี่หลีตกตะลึงไม่ขยับ ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา “ยังอ้ำอึ้งทำอันใดอยู่อีก? ไปเก็บของสิ! ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ลวี่หลีเห็นซูจิ่นซีโกรธมากถึงเพียงนี้ นางจึงตัวสั่นเทาด้วยความตกใจและรีบวิ่งไปที่ห้องใต้หลังคา ทว่าวิ่งไปได้เพียงสองก้าว ก็หันกลับมาถามซูจิ่นซีว่า “คุณหนู ท่านต้องการสิ่งของอันใด? พวกเราควรนำสิ่งใดไปบ้างเจ้าคะ? ”
สิ่งเหล่านี้เป็นคำถามที่ลวี่หลีจำเป็นต้องถามก่อน
“เอาสิ่งของที่ข้าจำเป็นต้องใช้ไปทั้งหมด ข้าจะย้ายไปอยู่จวนสกุลซู ไม่กลับมาอีกแล้ว”
“ไม่… ไม่กลับมาอีกแล้วหรือเจ้าคะ? ” ลวี่หลีเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
คุณหนูต้องการกลับบ้าน!
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนการตัดสินใจครั้งนี้จะจริงจังยิ่งนัก
ลวี่หลีอดมองไปทางศาลาร่มเย็นไม่ได้ นางไม่เห็นเยี่ยโยวเหยาที่นั่น เมื่อมองไปทางตำหนักฝูอวิ๋น ไฟก็ดับแล้ว ไม่รู้ว่าท่านอ๋องทราบถึงการตัดสินใจของคุณหนูหรือไม่
“ทำไม? ข้าออกคำสั่งเจ้าไม่ได้แล้วใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีกำลังโกรธจัด เมื่อเห็นลวี่หลียืนนิ่งไม่ขยับ ความโกรธในใจก็ระเบิดออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
“เจ้าค่ะ คุณหนู บ่าวจะรีบไปจัดการเจ้าค่ะ”
ลวี่หลีพูดพลางรีบวิ่งไปที่ห้องใต้หลังคา เก็บข้าวของให้ซูจิ่นซี
ของใช้ของซูจิ่นซีมีไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย ลวี่หลีเก็บของอยู่หนึ่งชั่วยามเต็ม จากนั้นก็เรียกองครักษ์ด้านนอกมาช่วยขนย้าย
เมื่อองครักษ์เห็นซูจิ่นซีก็มีท่าทีลำบากใจเล็กน้อย พวกเขาต่างก้มหน้า ไม่กล้ามองซูจิ่นซี
“พระชายา ท่านอ๋อง… ท่านอ๋องตรัสว่า หากพระชายาต้องการกลับจวนสกุลซูก็ย่อมได้ แต่สิ่งของในจวนโยวอ๋อง ไม่อาจนำไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว”
สิ่งของในจวนโยวอ๋อง ไม่สามารถเอาไปได้แม้แต่ชิ้นเดียว?
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วมุ่น
ลวี่หลีมีท่าทีลำบากใจ นางมองไปที่สิ่งของเหล่านั้นอย่างละเอียด สิ่งของไม่กี่หีบนั้นคือสิ่งที่คุณหนูซื้อหามาหลังจากมาอยู่ที่จวนโยวอ๋องแล้ว เดิมทีสินสอดที่ฮั่วซื่อให้ไว้ก็มีไม่น้อย ทว่าของที่ใช้ได้ ซูจิ่นซีก็ใช้ไปหมดแล้ว ส่วนของที่ใช้ไม่ได้ก็ไม่สามารถนำไปได้
“พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร? ” ลวี่หลียกสองมือเท้าเอวพูดด้วยความโมโห
องครักษ์ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยปาก
สีหน้าของซูจิ่นซีดำมืด นางลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ลวี่หลี ไม่ต้องเอาของทั้งหมดไปแล้ว พวกเราไปกันเถิด! ”
เมื่อเดินมาถึงประตูทางออก องครักษ์สองนายก็เข้ามาขวางซูจิ่นซีไว้ แล้วพูดว่า “ทูลพระชายา ท่านอ๋องยังตรัสอีกว่า พระชายายังค้างเงินท่านอ๋องอยู่ห้าล้านสองแสนตำลึง ต้องชดใช้ให้หมดก่อนถึงจะจากไปได้”
ห้าล้านสองแสนตำลึง…
ซูจิ่นซีเพิ่งนึกขึ้นได้ ในตอนนั้นเพื่อประมูลเอาสมุนไพรจื่อจูจากตลาดมืดมารักษาโรคให้ฮองเฮา นางได้ติดค้างเยี่ยโยวเหยาอยู่ห้าล้านสองแสนตำลึงจริงๆ
คิดไม่ถึงว่า เยี่ยโยวเหยาจะจดจำได้อย่างแม่นยำ
ในใจซูจิ่นซีรู้สึกอึดอัด นางผลักองครักษ์แล้วพูดว่า “ห้าล้านสองแสนตำลึง อีกเดี๋ยวข้าจะคืนให้ครบถ้วนไม่ให้ขาดแม้แต่แดงเดียว รบกวนเจ้าไปบอกเยี่ยโยวเหยาด้วยว่า ข้ายังติดค้างอันใดเขาอีก ก็เอากลับไป”
ขณะที่พูด ซูจิ่นซีก็นึกขึ้นได้ว่ากำไลปี่อั้นบนข้อมือของตน เป็นเยี่ยโยวเหยาที่ใช้เงินหนึ่งล้านตำลึงซื้อมาแล้วมอบให้นาง ทั้งที่ตอนนั้นเยี่ยโยวเหยาชอบกำไลนี้มาก
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีต้องการถอดออกหลายครั้งแล้ว ทว่ากำไลนั้นเหมือนจะติดอยู่บนข้อมือ ถอดอย่างไรก็ถอดไม่ออก
ซูจิ่นซียังคงจำได้ ตอนนั้นเถ้าแก่ในตลาดมืดพูดว่า เมื่อเจ้าของอาคมกำไลปี่อั้นเสียชีวิตแล้วเท่านั้น จึงจะถอดกำไลได้ ซูจิ่นซีหันหน้าไปมองเหล่าองครักษ์ด้วยความโกรธ พลางมองกำไลปี่อั้นที่ส่องแสงวับวาวบนข้อมือ “ยังมีกำไลวงนี้ เป็นท่านอ๋องของพวกเจ้าที่มอบให้ข้า รบกวนพวกเจ้าไปบอกท่านอ๋องด้วยว่า รอให้ข้าตายเสียก่อน ข้าจะให้คนนำมันมาคืนให้”
ซูจิ่นซีพูดจบก็เดินออกจากเรือนชิงโยวไปโดยไม่หันหลังกลับ ลวี่หลีรีบลงจากบันได เดินตามหลังซูจิ่นซีออกไปทันที
เหล่าองครักษ์และข้ารับใช้ล้วนไม่กล้าขวางทาง ทำเพียงมองไปทางตำหนักฝูอวิ๋นด้วยท่าทีลังเลและลำบากใจ
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้ไปที่วิหารวิญญาณหรือออกจากจวนแต่อย่างใด ทว่าตั้งแต่ที่ซูจิ่นซีเดินออกไปจากศาลาร่มเย็นและกลับไปที่เรือนอวิ๋นไคด้วยความโมโห เขาก็กลับไปที่ตำหนักฝูอวิ๋น
เป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว เยี่ยโยวเหยายังคงอยู่ในตำหนักฝูอวิ๋นอย่างเงียบงัน เขาไม่ให้ผู้ใดจุดตะเกียง และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใด
องครักษ์บางส่วนที่อารักขาอยู่ที่เรือนชิงโยว ได้ติดตามเยี่ยโยวเหยามาตั้งแต่เด็ก เมื่อพวกเขาเห็นสภาพของเยี่ยโยวเหยาเช่นนี้ ก็รู้สึกทุกข์ใจไม่น้อย
หลายปีมาแล้ว พวกเขาจำได้ว่า ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน ท่านอ๋องขังตนเองไว้ในห้องมืดสนิท ในวันนั้นท่านอ๋องได้สูญเสียบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตไป นับจากนั้นเป็นต้นมา อุปนิสัยของท่านอ๋องก็เปลี่ยนไป เขาเย็นชา โหดร้าย และน่ากลัวมากยิ่งขึ้น ทำให้ผู้คนคาดเดาความคิดของเขาได้ยากกว่าเดิม
ในเวลานี้ พวกเขาหวังให้เยี่ยโยวเหยาเดินออกจากตำหนักฝูอวิ๋นเพื่อขวางซูจิ่นซีไว้ หรือหวังว่าซูจิ่นซีจะไม่จากไปจริงๆ หวังว่านางจะอยู่เพื่อเยี่ยโยวเหยาที่กำลังเดียวดายท่ามกลางความมืด
เนื่องจากพวกเขาเป็นองครักษ์ในเรือนแห่งนี้ จึงรู้ชัดเจนว่า ในใจเยี่ยโยวเหยานั้น ซูจิ่นซีมีความสำคัญมากเพียงใด
หลายปีมานี้ ในใจนายท่านของพวกเขาไม่เคยผูกพันกับผู้ใดมาก่อน ไม่เคยเอาใจใส่ผู้ใดอย่างจริงใจมาก่อน มีเพียงซูจิ่นซีผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นคนพิเศษ และมีเพียงซูจิ่นซีผู้เดียวที่ได้รับความสุขจากเยี่ยโยวเหยา อย่างที่ผู้อื่นไม่เคยได้รับมาก่อน
ทว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นยากเกินกว่าที่พวกเขาปรารถนา
เยี่ยโยวเหยาไม่ได้เดินออกจากตำหนักฝูอวิ๋น และซูจิ่นซีก็ไม่ได้รั้งอยู่ต่อ
หลังจากที่ซูจิ่นซีออกจากจวนโยวอ๋องไปแล้ว ประตูตำหนักฝูอวิ๋นจึงค่อยๆ เปิดออกอย่างเชื่องช้า ท่ามกลางความมืด เยี่ยโยวเหยาเดินออกมาราวกับเทพเซียน ในความมืดนั้น เขาเดินทีละก้าวมายืนอยู่ตรงขั้นบันไดหน้าประตูตำหนักฝูอวิ๋น
แสงจันทร์สาดส่องดั่งสายน้ำ ทอแสงอ่อนโยนลงมาบนร่างของเยี่ยโยวเหยา ทว่ามันไม่สามารถทำให้หัวใจที่ว้าเหว่และเยือกเย็นของเขาอบอุ่นได้เลย