ท่าทางเช่นนี้ ยิ่งทำให้ซูจิ่นซีที่จิตใจไม่สงบเท่าไรนัก รู้สึกโกรธและประหม่ามากขึ้น
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางระงับอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดไว้ในใจ “เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันหลอกลวงท่าน! ท่านไม่โกรธหม่อมฉันจริงๆ หรือเพคะ? หรือท่านไม่เคยใส่ใจหม่อมฉัน? ”
เมื่อถามคำถามนี้ออกมา แววตาที่พยายามระงับความรู้สึกบางส่วนเอาไว้ก็ราวกับโถแก้วลายครามที่แทบจะแตกสลาย สวรรค์รู้ดี ในใจของนางนั้นเจ็บปวดมากเพียงไร นางต้องใช้ความพยายามไม่น้อยเลยทีเดียว
“ซูจิ่นซี… ”
“ซูจิ่นซี เจ้าสงบลงหน่อย”
น้ำเสียงของเยี่ยโยวเหยาช่างสงบนิ่งและเย็นชา
ในเวลานี้ซูจิ่นซีไม่หวาดกลัวเยี่ยโยวเหยาแม้แต่น้อย
“เยี่ยโยวเหยา ท่านเสแสร้งกระมัง! สตรีไล่ตามตื๊อท่าน ท่านก็ยังไม่สนใจ ท่านคิดว่าตนบริสุทธิ์นักหรือ? หม่อมฉันเองก็เคยหลับนอนกับท่าน”
เยี่ยโยวเหยาคิ้วกระตุก มีสตรีนางใดกล้าพูดจาหน้าไม่อายเช่นนี้? อีกทั้งสตรีนางนี้ยังเป็นพระชายาของเขาอีก
ไม่รอให้เยี่ยโยวเหยาพูดอันใด ซูจิ่นซีก็ระงับอารมณ์ทั้งหมดไว้ภายในใจ นางมองเขาด้วยสายตายั่วยุ ก่อนจะคว้าเสื้อคลุมของตนและยืนขึ้น ตั้งใจจะเดินกลับเรือนอวิ๋นไค
ซูจิ่นซีทั้งตกใจทั้งอับอาย หัวใจของนางเต้นรัว พลางมองเยี่ยโยวเหยาด้วยความประหลาดใจ
บุรุษผู้นี้… บุรุษผู้นี้มีการตอบสนองแล้วจริงๆ
เยี่ยโยวเหยาซ่อนเร้นแววตาที่ผิดปกติไว้เป็นอย่างดี นัยน์ตาแฝงความร้ายกาจนั้นค่อยๆ หรี่ลง เขาเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้หูของซูจิ่นซีแล้วพูดว่า “คำพูดที่กล้าหาญของพระชายาเมื่อครู่นี้ ช่างเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและไม่เป็นธรรม ข้าทำให้พระชายาต้องเหงาเปล่าเปลี่ยวอยู่ภายในห้องเพียงลำพังนานถึงเพียงนั้น ข้าช่างไม่รู้ความเสียจริง ข้าผิดเอง”
“เยี่ยโยวเหยา… ท่าน… ท่าน… ”
“ข้าทำไมหรือ? ”
แววตาเย็นชาเจ้าเล่ห์ของเยี่ยโยวเหยาหรี่มองซูจิ่นซี
เยี่ยโยวเหยายกยิ้มมุมปากอย่างพอใจ เขาขบเม้มติ่งหูของซูจิ่นซีแผ่วเบาและพูดอย่างเย็นชาว่า “ซูจิ่นซี หรือว่า… เจ้าขอร้องข้าสิ ขอร้องจนกว่าข้าจะพอใจ ไม่แน่ข้าอาจให้อภัยเจ้า”
น้ำเสียงแหบต่ำ พูดยั่วยวนอยู่ข้างหูของซูจิ่นซี
แม้ซูจิ่นซีจะรู้สำนึกแล้ว ทว่าความวุ่นวายที่คลุมเครือในครั้งนั้น ทำให้นางดูเหมือนผู้ที่ไม่รู้อันใดเลย ไม่ต่างอันใดกับสาวน้อยที่ไม่รู้สำนึกแม้แต่น้อย ตอนนี้นางจะอดกลั้นต่อการยั่วยุของเยี่ยโยวเหยาได้อย่างไร
“เยี่ยโยวเหยา”
ในที่สุดซูจิ่นซีก็รู้จักคำว่ากลัวแล้ว นางรีบคว้ามือของเยี่ยโยวเหยาเอาไว้ พลางมองเขาอย่างขอความเมตตา
“รู้จักกลัวแล้วหรือ? ”
มือของเยี่ยโยวเหยาที่ถูกซูจิ่นซีจับไว้ ไม่ขยับเขยื้อน น้ำเสียงของเขาแหบแห้งแฝงไปด้วยอารมณ์อดกลั้น
ซูจิ่นซีอยู่ใต้ร่างของเยี่ยโยวเหยา นางมองท่าทางของเยี่ยโยวเหยาอย่างจริงจัง เมื่อมองไปที่ดวงตาทั้งคู่ของเขา ก็เห็นถึงอารมณ์ความต้องการและความอดทน
“เยี่ยโยวเหยา บอกหม่อมฉันได้หรือไม่ว่า เพราะเหตุใด? ”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ซูจิ่นซีถามคำถามเช่นนี้กับเยี่ยโยวเหยา นางเพียงต้องการคำตอบสักคำจากเขา นางต้องการฟังคำว่าชอบจากปากของเขาเอง
แม้จะเป็นเพียงความชอบ ไม่ใช่ความรัก ทว่านางยินดีจะรอ รอจนตนเองเข้มแข็งมากพอ มีความสามารถเพียงพอที่จะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเยี่ยโยวเหยา มีความสามารถเพียงพอที่จะคู่ควรกับตำแหน่งพระชายาโยวอ๋องอย่างแท้จริง
นางยินดีที่จะรอ รอจนเยี่ยโยวเหยาเปลี่ยนจากความชอบกลายเป็นความรักในตัวนาง
ทว่าเยี่ยโยวเหยายังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่พูดอันใด
เยี่ยโยวเหยา ในเมื่อ ‘ไม่ยอมแลกเปลี่ยนชาติบ้านเมืองกับซูจิ่นซี’ สำหรับท่านแล้ว การเอ่ยคำว่าชอบมันยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ซูจิ่นซีรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง นางเยาะเย้ยตนเอง เมื่อตัดสินใจจะยอมแพ้ จู่ๆ เยี่ยโยวเหยาก็บีบกรามของซูจิ่นซี แล้วพูดว่า “ซูจิ่นซี เจ้าต้องจดจำไว้ให้ดี ข้าเป็นเจ้าของเจ้าไปชั่วชีวิต ข้าให้เจ้าอยู่ เจ้าก็ต้องอยู่ ข้าต้องการให้เจ้าตาย เจ้าก็ต้องตาย”
ซูจิ่นซีกัดริมฝีปาก ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นโดยไม่แสดงท่าทีอ่อนแอ และมองเยี่ยโยวเหยาด้วยสายตายั่วยุ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีปล่อยมือจากเยี่ยโยวเหยา ก่อนจะยกสองมือขึ้นคล้องคอเขา นางจุมพิตริมฝีปากเยี่ยโยวเหยาอย่างกล้าหาญ แม้แก้มของนางจะแดงก่ำเหมือนกุ้งตัวใหญ่ ทว่าความดื้อรั้นและความเอาแต่ใจของนางไม่แพ้เยี่ยโยวเหยาแม้แต่น้อย “แม้ท่านอ๋องจะมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ สามารถกุมอำนาจทั้งราชสำนักแห่งแคว้นจงหนิงไว้ได้ ทั้งยังเป็นเจ้าของในตัวหม่อมฉัน แต่ไม่ว่าภายนอกท่านอ๋องจะโดดเด่นเพียงใด อย่างไรก็ตาม สีของหมวกบนศีรษะท่าน [1] กลับมีหม่อมฉัน พระชายาเป็นผู้ตัดสิน”
“…”
ซูจิ่นซี คำพูดนี้หมายความว่าอย่างไร?
เยี่ยโยวเหยารู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว ดวงตาของเขาหรี่ลง อารมณ์ที่ปรากฏบนคิ้วและพละกำลังที่ปลายนิ้วยิ่งทวีความรุนแรง เขาใช้แรงบีบไปที่คางของซูจิ่นซีอย่างดุดัน
“ซูจิ่นซี เจ้ากล้า! ”
“เหตุใดจะไม่กล้า? ” ซูจิ่นซีกัดริมฝีปาก พลางยักคิ้วพูดว่า “สตรีที่ขาดความรัก ย่อมหลีกเลี่ยงความเปล่าเปลี่ยวไปไม่ได้ ทิวทัศน์นอกกำแพงสวยงามดั่งภาพวาด เหตุใดหม่อมฉันต้องเป็นเพียงดอกซิ่งสีแดงที่อยู่ภายในกำแพง [2] เล่าเพคะ? ”
……
เชิงอรรถ
[1] สีของหมวกบนศีรษะ อุปมาถึงศักดิ์ศรีความเป็นชาย ตัวอย่างเช่น หากฝ่ายชายถูกสวมหมวกสีเขียว หมายความว่า เป็นชายที่ถูกสวมเขา หรือภรรยานอกใจคบชู้
[2] ดอกซิ่งแดงนอกกำแพง หมายถึงหญิงสาวที่ทำเรื่องน่าอายหรือคบชู้