ตอนที่ 317 เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ
ตอนที่ 317 เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ

พี่สะใภ้รองจ้าวทราบถึงความหมายของหลี่เฟินที่บอกให้หล่อนไปขอความช่วยเหลือจากน้องหก หลี่เฟินคนนี้เป็นพวกชอบดูความครึกครื้นอยู่แล้ว อันที่จริงคนแบบนี้มีอยู่เยอะมาก หากทำตามที่อีกฝ่ายพูดจริง ๆ ชีวิตก็คงไม่ต้องใช้กันแล้ว ถึงอย่างไรคนนอกก็แค่พูดไปเรื่อย

น่าเสียดายที่เหตุผลง่าย ๆ แบบนี้ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจ นี่ก็คือภูมิปัญญาในการใช้ชีวิต

 

พี่สะใภ้รองจ้าวถอนหายใจ “บางครั้งติดหนี้บุญคุณก็สู้ใช้เงินไม่ได้หรอกนะ!”

หลี่เฟินยิ้ม “งั้นเธอจะกลัวอะไรล่ะ คนทิ่ติดหนี้บุญคุณคือน้องหกของเธอ ไม่ใช่คนอื่นคนไกลสักหน่อย”

  

พี่สะใภ้รองจ้าวพยักหน้าพูดอีกประโยค ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “น้องสะใภ้ของเธอใกล้คลอดแล้วสินะ?”

 

“ใกล้แล้ว!” หลี่เฟินก็ชอบคุย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็คุยได้หมด หล่อนจึงรับช่วงจากคำพูดของพี่สะใภ้รองจ้าว “เธอคิดดูสิ แบบนี้ไม่เท่ากับสร้างปัญหาให้คนอื่นเหรอ? ดันมาคลอดลูกในช่วงที่งานยุ่งแบบนี้!”

 

น้องสะใภ้คลอดลูกก็ไม่สามารถลงไปทำไร่ทำสวนได้แล้ว ไม่เพียงแต่ไม่สามารถลงไปทำไร่ทำสวน แต่ยังต้องมีคนอยู่บ้านคอยปรนนิบัติด้วย ช่วงเวลาว่าง ๆ ก็ยังได้อยู่ แต่นี่เป็นฤดูใบไม้ร่วงที่ยุ่งจนหัวหมุนเลยนะ!

หลี่เฟินบ่นฉอด ๆ ยกใหญ่ พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “เรื่องคลอดลูกก็ไม่ใช่เรื่องอื่นสักหน่อย จะเลือกเวลาได้ยังไง พี่สะใภ้แบบเธอก็ทำงานมากขึ้นอีกหน่อยแล้วกัน”

“ฉันรู้ ฉันเองก็เคยคลอดลูกมาก่อน ฉันก็พูดไปงั้นแหละ” หลี่เฟินรีบพูด “แต่ก็ไม่รู้ว่าจะคลอดมาเป็นเพศอะไร ฉันเห็นท้องของน้องสะใภ้กลม ๆ น่าจะเป็นลูกสาว”

  

หล่อนหวังเป็นอย่างมากว่าน้องสะใภ้จะคลอดได้ลูกสาว ถึงอย่างไรหล่อนเองก็คลอดลูกคนแรกเป็นลูกสาว ส่วนคนที่สองยังไม่ได้อัลตราซาวด์ หากน้องสะใภ้ได้ลูกชายเป็นคนแรก แรงกดดันของหล่อนก็จะสูงด้วย

“ได้ลูกสาวก่อนแล้วค่อยมีลูกชายก็ดีมากเลยนะ” พี่สะใภ้รองจ้าวย่อมพูดให้ฟังดูดี

ทั้งสองคนคุยกันอยู่ครู่หนึ่งหลี่เฟินก็กลับไป พี่สะใภ้รองจ้าวพลิกจานดอกทานตะวันเสร็จแล้วก็กลับไปทำกับข้าวที่บ้านเช่นกัน

ช่วงนี้กำลังยุ่ง อาหารที่กินจึงเป็นของง่าย ๆ พี่สะใภ้รองจ้าวนึ่งของแห้งจากแป้งข้าวโพดไว้สองหม้อก่อนฤดูใบไม้ร่วง วางไว้ในที่ร่ม สามารถกินได้หลายวัน ตอนที่กินก็ต้มน้ำเดือดสักหน่อย กินกับน้ำพริกและผักสดก็ได้อีกหนึ่งมื้อ และเตรียมบะหมี่ผัดอีกนิดหน่อย เมนูนี้ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ แค่ใช้น้ำร้อนมากวน ๆ เล็กน้อยก็เรียบร้อยแล้ว

  

ครั้นพวกเถี่ยต้านเลิกเรียนกลับมาเห็นว่าเป็นแผ่นแป้งข้าวโพดอีกแล้ว สีหน้าพลันระทมทุกข์

“แม่ ทำไมทำแผ่นแป้งข้าวโพดอีกแล้วล่ะคะ หนูกินจนอยากจะอ้วกอยู่แล้ว บ้านเรามีแป้งขาวไม่ใช่เหรอ?” ต้าหยากล่าว

 

พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “เป็นเด็กไม่ได้ทำงานแต่ยังจะเลือกกินเลือกดื่มอีก แม่จะบอกอะไรให้นะ ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อน แม้แต่เมี่ยนปิ่ง[1]เธอยังไม่มีปัญญาได้กินเลย ยังจะรังเกียจแผ่นแป้งข้าวโพดอีก! อยากจะกินหรือไม่กิน ไม่กินก็ไม่ต้องกิน!”

พวกเด็ก ๆ ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว ใช้มือข้างหนึ่งคว้าแผ่นแป้งข้าวโพด ส่วนอีกข้างหนึ่งหยิบต้นหอมจิ้มกินกับน้ำพริก กินด้วยใบหน้าที่แสดงออกถึงความกล้ำกลืนฝืนทน

พี่รองจ้าวขนหญ้ากลับมาแล้ว หลังจากขนลงมาจากรถก็ล้างมือและลงมือกินข้าว พี่สะใภ้รองจ้าวจึงนำคำพูดของหลี่เฟินมาพูดกับเขา

เถี่ยต้านรีบพูด “ผมรู้แล้วว่าทำไมคนพวกนั้นถึงช่วยอาเล็ก!”

พี่สะใภ้รองจ้าวชะงัก ถามแบบขอไปทีว่า “ทำไมล่ะ?”

 

“เพราะอาหารที่อาสะใภ้เล็กทำอร่อยเป็นพิเศษยังไงล่ะ!” เถี่ยต้านกล่าว “ผมได้ยินซวนจู้พูดว่า เขาได้ยินคนพวกนั้นบอกว่าอาหารที่อาสะใภ้เล็กทำอร่อยเป็นพิเศษเลย แถมยังทำอาหารหลายอย่างด้วย!”

  

เถี่ยต้านพูดไปพลางก็เลียริมฝีปากไปพลาง ถ้าเขาได้กินก็คงจะดี

พี่สะใภ้รองจ้าวบุ้ยปาก “แม่ว่าเธออยากกินมากกว่ามั้ง!”

 

พี่รองจ้าวก็พูด “ทำอาหารจะอร่อยสักเท่าไรกันเชียว? คนพวกนั้นเป็นคนในเมือง ไม่ว่าอะไรก็เคยกินมาหมดแล้ว ฉันว่าคนพวกนั้นคงได้ผลประโยชน์อะไรสักอย่างจากเจ้าหกนั่นแหละ ไม่งั้นพวกเขาจะมาอีกรอบเหรอ?”

พี่สะใภ้รองจ้าวคิดว่าสิ่งนี้มีความเป็นไปได้ หล่อนไม่เชื่อว่าคนในเมืองจะมาที่นี่เพื่อสัมผัสประสบการณ์ชีวิตในชนบท หรือแค่กินอาหารหรอก

“ผมพูดจริงนะ ซวนจู้บอกแบบนี้จริง ๆ!” เถี่ยต้านยังคงเน้นย้ำ

“พอแล้ว รีบกินข้าวของเธอเถอะ!” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดอย่างหมดความอดทน

ในชนบท พวกเด็ก ๆ ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้พูด

“คุณคิดว่าน้องหกให้ผลประโยชน์อะไรกับคนพวกนั้นเหรอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวถามพี่รองจ้าว

“เรื่องนี้ผมจะไปรู้ได้ยังไง ครั้งก่อนบอกว่าให้กระต่ายคนพวกนั้นไป แต่ครั้งนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน” พี่รองจ้าวส่ายหน้า

  

“จะคุ้มเหรอ? ให้ทั้งกระต่ายแถมยังต้องหาของกินเครื่องดื่มให้อีก?” พี่สะใภ้รองจ้าวกล่าว “นี่ถ้าน้องหกเก็บเกี่ยวเอง ที่ดินสำหรับสามคน ตื่นเช้ากลับดึกไม่กี่วันก็เก็บกลับมาหมดแล้ว”

พี่รองจ้าวพยักหน้า “นั่นสิ แต่เจ้าหกไม่ใช่คนที่จะทำงานอยู่แล้ว”

หลูต้านพูดแทรกมาอีกประโยค “อาเล็กของผมไม่ใช่คนทำงาน แต่อาเล็กก็ได้กินของดี ๆ ทุกวัน พ่อกับแม่เป็นคนทำงาน แต่กลับได้กินของแบบนี้ทุกวี่ทุกวัน!”

“ไอ้เด็กสารเลว พูดอะไรของเธอ?” พี่สะใภ้รองจ้าวถลึงตา

หลูต้านดูเหมือนจะเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว จึงรีบหยิบแผ่นแป้งข้าวโพดแล้ววิ่งเผ่นแนบออกไป

 

เถี่ยต้านเห็นน้องชายหนีไปแล้ว จึงใช้มือคว้าแผ่นแป้งข้าวโพดแล้วหนีไปเช่นกัน แต่ก็หยุดลงตอนที่ไปถึงหน้าประตูใหญ่ “พ่อกับแม่สู้อาเล็กไม่ได้หรอก!” จากนั้นก็วิ่งออกไป

 

พี่สะใภ้รองจ้าวโกรธจนอยากจะหยิบไม้กวาดออกไปไล่ตี แต่กลับถูกพี่รองจ้าวโน้มน้าวใจ “พอแล้ว ๆ รีบกินเถอะ กินเสร็จก็นอนสักหน่อย เดี๋ยวต้องลงไปทำนาอีกนะ”

พี่สะใภ้รองจ้าวมองต้าหยา ต้าหยารีบกลืนอาหารแห้งหนึ่งคำและวิ่งหนีไปเช่นกัน “พวกเด็กบ้า ไม่มีใครสำนึกบุญคุณกันสักคน!” พี่สะใภ้รองจ้าวพูดด้วยความเกรี้ยวกราด “คุณดูสิยังรังเกียจพวกเราอีก แบบนี้ยังจะฝากความหวังให้พวกเขาเลี้ยงดูตอนแก่เฒ่าได้เหรอ!”

พี่รองจ้าวมองภรรยา อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เอาแต่กินของแบบนี้ผมเองก็ไม่ชินเหมือนกัน ไม่แปลกใจที่ลูกจะบ่น”

พี่สะใภ้รองจ้าวได้ยินก็ปรี๊ดแตกทันที “คุณคิดว่าฉันอยากกินเหรอ? คุณคิดว่าฉันไม่อยากกินข้าวสวยกับบะหมี่รึไง? ฉันมีเวลาทำที่ไหนกันล่ะ? ผู้ชายแบบพวกคุณทำงานเสร็จกลับมาก็ได้กินของที่ทำเสร็จใหม่แล้ว ผู้หญิงแบบพวกเราจะได้กินของที่ทำเสร็จใหม่เหรอ! กินเสร็จผู้ชายแบบพวกคุณก็เช็ดปากเดินไปนอนแล้ว ฉันยังต้องมานั่งเก็บกวาดอีก ไหนจะสัตว์อีกเป็นโขยงที่รอกินอาหารอยู่! ถ้าเป็นเหมือนน้องสะใภ้หก ไม่ต้องทำอะไรสักอย่างแค่ทำอาหารแล้วเลี้ยงลูก ฉันจะจัดโต๊ะจีนที่รวบรวมสุดยอดอาหารของชาวฮั่นและชาวแมนจูเรียให้คุณทุกวันเลย! คุณเก่งจริงก็หาคนมาช่วยเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงสิ!”

  

พี่รองจ้าวพูดสู้ภรรยาไม่ได้ จึงได้แต่พูดว่าพอแล้ว ๆ ไม่ต้องพูดแล้ว รีบกินเถอะ

พี่สะใภ้รองจ้าวยังจะกินข้าวลงได้อย่างไรกัน หล่อนโยนตะเกียบและเดินไปนอนทันที

การเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงเป็นช่วงที่เหนื่อยถึงขีดสุด และเป็นช่วงที่เป็นกังวลมากที่สุด ทุกคนจึงอารมณ์ร้อนมาก แค่นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ของขึ้นแล้ว เช่นเดียวกับการทะเลาะกันเหมือนกับพี่สะใภ้รองจ้าว แต่ละบ้านก็แทบจะมีเหมือนกันหมด และเป็นเช่นนี้ตลอดฤดูใบไม้ร่วง

ทางฝั่งพี่สะใภ้สี่จ้าวยิ่งไม่ต้องพูดถึง หล่อนเองก็บ่นกับพี่สี่จ้าวให้เขาไปหาจ้าวเหวินเทาให้ช่วยเหลือ บอกให้คนเหล่านั้นมาช่วยเก็บเกี่ยวเช่นกัน

ตอนนี้หล่อนฝากอู่หยาไว้ที่คุณแม่จ้าวทุกวัน ทำงานอยู่ใกล้ ๆ และเดินไปให้นมลูก ๆ ทุก ๆ สองชั่วโมง ส่วนที่ดินที่อยู่ห่างออกไปเป็นหน้าที่ของพี่สี่จ้าวในการเก็บเกี่ยว

“คุณไปถามดูสิ เขาให้กระต่ายไปแล้วไม่ใช่เหรอ พวกเราก็มีกระต่ายเหมือนกัน ถึงเวลานั้นตุ๋นให้พวกเขากินสักสองสามตัวก็ได้แล้ว!” พี่สะใภ้สี่จ้าวกล่าว

ตอนนี้พี่สะใภ้สี่จ้าวอดหลับอดนอนจนตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เบ้าตาก็ลึก ใบหน้าดูเหนื่อยล้า เป็นเพราะมีลูกที่ยังต้องกินนม ทำให้หล่อนต้องวิ่งเทียวไปเทียวมา เหนื่อยก็หยุดพักไม่ได้ หล่อนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว

พี่สี่จ้าวกล่าว “พอแล้ว คุณเลิกคิดถึงเรื่องไม่มีประโยชน์พวกนั้นสักที! ถ้าคุณเหนื่อยก็ไปพัก ผมจะขึ้นไปบนเขา พืชผลของปีที่แล้วก็อยู่บนเขาเหมือนกันไม่ใช่หรือไง!”

“ปีที่แล้วปลูกผักกาดขาวไว้รึไง?” พี่สะใภ้สี่จ้าวขึ้นเสียง “ปีนี้ปลูกผักกาดขาวแล้ว ผักกาดขาวกับข้าวโพดต้องเก็บพร้อมกัน ถึงเวลานั้นยังต้องเอาไปขาย ไหนจะมีข้าวฟ่างอีก คุณจะทำทันเหรอ!”

……………………………………………………………………………………

[1] เมี่ยนปิ่ง (面饼) เป็นแป้งเปล่าผสมเครื่องปรุงต่าง ๆ เช่น ต้นหอมซอย แล้วนำไปจี่ลงบนกระทะ

สารจากผู้แปล

ที่สะใภ้รองว่ามาก็จริง ผู้ชายคือทำงานเสร็จกลับมากินข้าวแล้วก็ได้ไปนอน แต่ผู้หญิงกลับจากทำงานมาต้องทำกับข้าว กินเสร็จก็ต้องล้างจาน แล้วถึงได้นอน ไม่แปลกที่จะหัวร้อนขนาดนี้

สองบ้านนี้จะหาทางเอาตัวรอดยังไงดีน้า

ไหหม่า(海馬)