เชอร์รีนยิ่งรู้สึกสงสัย“ในเมื่อเรียนห้องทับสิบแล้วทำไมไม่ไปเข้าห้องเรียนของตัวเองคะ?”
เวลานี้ นักเรียนชายที่นั่งแถวหน้าสุดคนหนึ่งกุมขมับอย่างเหลืออด“คุณครูเชอร์รีนครับ พวกเธอมาดูเลอแปงครับ”
พวกนักเรียนหญิงที่นั่งแถวหลังพยักหน้าให้ ทั้งยังพากันตื่นเต้นดีใจกันยกใหญ่“คุณครูเชอร์รีนค่ะ ทำไมเขาไม่มาเรียนคะ?”
“ใช่ค่ะ เขาลาหรือเปล่าคะ?ได้บอกไหมคะว่าจะเข้าเรียนตอนไหน?”
“ตอนบ่ายเขาจะมาไหมคะ?”
นักเรียนแย่งกันถามด้วยเกรงว่าตนจะเป็นคนตั้งคำถามลำดับสุดท้ายเอา คล้ายกับเป็นพวกแฟนคลับคลั่งดาราก็ไม่ปาน
เชอร์รีนรู้สึกขบขัน ใช้แปรงลบกระดานเคาะแท่นบรรยาย พลางส่งเสียงใสกึกก้อง “ที่นี่คือโรงเรียนนะคะ ไม่ใช่มคตติ้งแฟนคลับนะคะ กลับห้องเรียนของตัวเองให้หมดเลยค่ะ”
ส่วนนักเรียนหญิงพวกนั้นไม่ยอมตายใจ ซักไซ้ต่อว่า“ตอนบ่ายเขาจะมาโรงเรียนไหมคะ?”
“พวกหนูจะให้ผอ.มาเชิญกลับไปเองไหมคะ?”สมกับเป็นนักเรียนหญิงแก๊งเดียวกันจริงๆ
ได้ยินดังนั้น แต่ละคำก็ทำหน้าอ้อยอิ่งลุกจากที่นั่ง สุดท้ายกลับพูดโดยเสียงขึงขังจริงจังว่า “คุณครูเชอร์รีนครับ พวกเราย้ายห้องได้ไหมคะ?”
หลังจากเข้าสอนคาบสอนช่วงบ่ายเสร็จแล้ว เชอร์รีนก็นั่งเตรียมตัวสอนในห้องทำงาน คืนนี้เธอไม่มีเวรติวสอน ดังนั้นหกโมงครึ่งก็เลิกงานได้
เพราะรับปากองค์ชายว่าจะเป็นติวเตอร์ให้ เธอจึงโทรหาองค์ชายหลังเลิกงาน
ไม่ถึงยี่สิบนาที องค์ชายก็ขับรถยี่ห้อปักกิ่งฮุนไดสีดำมาจอดหน้าประตูรถโรงเรียน วันนี้เธอติววันแรก ยังไม่รู้จักเส้นทาง เขาจึงอาสาพาเธอไป
ผู้ปกครองของเด็กผู้ชายให้การต้อนรับขับสู้เธอเป็นอย่างดี มีทั้งผลไม้และอาหารเย็นอันโอชะคอยบริการเธออย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เชอร์รีนจำต้องถนอมน้ำใจ กินไปพอประมาณ จากนั้นก็สอนพิเศษให้เด็กผู้ชายที่ห้องหนังสือ
เด็กคนนี้หัวกะทิจริงๆ ทว่าชอบแกล้งแหย่ซุกซนไปหน่อย ร่าเริงชนิดที่อยู่นิ่งไม่ค่อยเป็น โดยรวมแล้วก็เป็นเด็กเชื่อฟังใช้ได้
เชอร์รีนติวสอนเข้าหนึ่งชั่วโมงกว่า มีทั้งวิชาคณิตศาสตร์และวิชาภาษาอังกฤษ และทำแบบข้อสอบหลายชุดเพื่อทดสอบวัดพื้นฐานของเขา
พอสอนเสร็จก็สองทุ่มกว่าแล้ว เธอเดินออกจากห้องหนังสือกลับเห็นองค์ชายนั่งอยู่ในห้องรับแขก
เห็นเธอเดินออกมา เขาก็ลุกขึ้นยิ้ม“จะกลับบ้านแล้วเหรอครับ?”
“คุณยังไม่กลับเหรอคะ?”เธอดูเวลาแวบหนึ่ง
“เป็นทางผ่านเลยรอครับ อีกอย่างผมก็ไม่ได้มีเวลาพูดคุยกับพวกเขานานแล้วด้วยครับ”
หลังจากกล่าวอำลาผู้ปกครองของเด็กผู้ชายเสร็จ ทั้งสองก็กลับไปด้วยกัน
……
นอกเขตที่พัก
ภายในรถยนต์แลนด์โรเวอร์สีดำเงางาม
ร่างกายสูงโปร่งของออกัสนั่งพิงอยู่บนเบาะรถ ระหว่างนิ้วมือคีบบุหรี่ที่จุดแล้ว บุหรี่จึงส่งแสงไฟระยิบระยับ กึ่งสว่างกึ่งดับมอด
จากนั้นเขาก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้ก็เป็นเวลาสามทุ่มแล้ว ทว่าเธอยังไม่กลับมาเสียที
ตัวเขาไม่มีกุญแจห้อง จึงต้องนอนรออยู่ตรงนี้
ขณะนี้นี่เอง เสียงใสก็ลอยเข้ามาทางหน้าต่าง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเลิกคิ้ว พลางใช้มือขวาเปิดกระจกรถ จากนั้นใบหน้าหยาดฝนก็เฉิดฉายอยู่ในสายตา
“ทำไมคุณถึงอยู่ตรงนี้?” เขาใช้ปลายนิ้วดับบุหรี่ ออกัสนั่งตัวตรง สายตาหยุดอยู่ที่ตัวเธอ
ลมหนาวนอกหน้าต่างรถช่างเย็นยะเยือกนัก หยาดฝนเปิดประตูเข้ามานั่งด้านข้าง “พี่สะใภ้ให้ฉันไปหาคุณที่บริษัทค่ะ แต่ไม่เห็นคุณ ฉันเลยถามผู้ช่วยเตโชค่ะ คุณกับเชอร์รีนย้ายออกมาแล้วเหรอคะ?”
ออกัสไม่ได้พูดอะไรมาก แค่ตอบเสียงเบาหนึ่งคำ“อืม……”
“พักที่นี่เหรอคะ?” หยาดฝนไม่อยากจะเชื่อ
ชุมชนแห่งนี้เก่าทรุดโทรมมาก สิ่งแวดล้อมและอากาศก็ไม่ค่อยดีนัก สภาพที่พักคือพังจนต้องซ่อมแซมแล้ว
เช่นนั้นคนที่เช่าตรงนี้ก็มีเพียงเชอร์รีนเท่านั้น!
และเขาต้องตามเชอร์รีนมาพำนักอาศัยด้วยแน่ๆ การรับรู้นี้ทำให้จิตใจเธอประหนึ่งตกลงก้นหุบเหว
“อืม……” เขายังคงตอบอย่างเย็นชาเช่นเดิม พลางมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นระยะๆ ใบหน้าคมคายมืดครึ้มเล็กน้อย
ใบหน้าหมดจดของหยาดฝนยังคงเป็นปกติ ทว่าส่วนลึกของหัวใจกลับปวดระบมยิ่ง เขาเป็นคนรักความสะอาด แต่กลับอยู่ที่แบบนี้ได้ ……
เมื่อคิดได้ดังนี้ ความลุกลี้ลุกลนก็ถาโถมเข้าใส่อีกครั้ง
เวลาเดียวกันก็มีไฟส่องให้แสบตาสองสาย จากนั้นรถปักกิ่งฮุนไดสีดำก็จอดด้านข้างถนน
จากนั้นก็เปิดประตูรถออก และแล้วก็เห็นเชอร์รีนกับองค์ชายลงมาจากรถ
“ฉันรู้ทางแล้ว พรุ่งนี้ฉันก็ไปคนเดียวได้แล้วค่ะ” เชอร์รีนกล่าวกับองค์ชาย
อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ทว่าก็มองตึกห้องพักตรงหน้าอย่างสงสัย “คุณย้ายมาอยู่ที่นี่ตอนไหนครับ?”
“สองวันแล้วค่ะ” เธอโค้งตัวหยิบกระเป๋าออกจากที่นั่งรถ
“เป็นเพราะผมหรือเปล่าครับ?” องค์ชายรู้สึกผิดเล็กน้อย “ผมไปอธิบายได้นะครับ จะได้ยืนยันว่าผมกับคุณบริสุทธิ์ใจ ไม่มีอะไรต่อกัน”
นึกถึงภาพในร้านอาหาร เขาคิดว่าเธอต้องย้ายออกมาเพราะเขาเป็นเหตุ
ได้ยิน เชอร์รีนก็ยิ้มเบาๆ“คุณคิดมากไปแล้วค่ะ ฉันรู้สึกอึดอัดตอนอยู่บ้านตระกูลสิริไพบูรณ์เองค่ะ จึงย้ายออกมาอยู่ ไม่เกี่ยวกับคุณเลยค่ะ”
บริเวณที่ไกลออกไป ออกัสจ้องมองทั้งสองผ่านกระจกรถ เมื่อเห็นรอยยิ้มบานสะพรั่งตรงมุมปากเธอเพลิงโทสะก็แผดเผากลางใจ
เขาเปิดประตูรถเดินออกไปหาทั้งสองคน
หยาดฝนที่นั่งด้านข้างก็มองตามเขา จึงเห็นเชอร์รีนคุยกับองค์ชายอย่างชื่นมื่นด้วย เธอเลยลงจากรถตามไปด้วย
สัมผัสสายตาอันดุเดือด เชอร์รีนหันกลับไปมองก็เห็นออกัสเดินเข้ามา พ่วงท้ายด้วยหยาดฝน
สีหน้าเธอเคร่มขรึมเล็กน้อย ทำไมหยาดฝนก็อยู่ที่นี่ด้วย?
ออกัสเดินมาด้วยใบหน้ามืดครึ้ม ระหว่างเดินยังไม่วายพัดพาลมเย็นมาด้วย ก้าวสองก้าวมาอยู่ข้างกายเธอพลันใช้มืออันกำยำโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน
เมื่อสบตากับหยาดฝนที่เดินเข้ามา เชอร์รีนก็รู้สึกบีบหัวใจ ก่อนจะดิ้นอย่างสุดแรง
ทว่าออกัสจะให้เธอสมหวังได้อย่างไร มือใหญ่จับไว้แน่น จากนั้นก็กวาดสายตามององค์ชาย แล้วพูดกับเธอเสียงทุ้มต่ำและอ่อนโยน “ทำไมกลับดึกจัง?ผมไม่มีกุญแจ รอคุณในรถสองชั่วโมงกว่าแล้ว……”
เชอร์รีนดิ้นไม่หลุดจากพันธนาการ โมโหจนขบฟัน ถึงเขาจะรอที่นี่หนึ่งคืน มันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ?
ความสัมพันธ์ทั้งสองชี้เค้าอย่างเด่นชัดแล้ว องค์ชายก็ดูออก เพื่อไม่เพิ่มความยุ่งยากให้แก่เชอร์รีน เขากล่าวอำลาเสร็จก็จากไป
หยาดฝนเห็นภาพนี้แล้วก็รู้สึกราวกับมีอะไรทับถมกลางอก มันไม่ขึ้นและไม่ลง ทิ่มแทงหัวใจอยู่อย่างนั้น ช่างบาดตาบาดใจเหลือเกิน
เธอก้าวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าวพร้อมกับยิ้มเจือจาง กล่าวกับเชอร์รีนว่า“ถ้าเดินทางหลังเลิกงานตอนกลางคืนไม่สะดวกก็ให้ออกัสถอยรถให้สักคันสิค่ะ”
หยาดฝนพูดเสียงเป็นมิตร ใบหน้าหมดจดอ่อนโยนปานนี้ เสมือนสาวงามเขตพีรายามที่ทิวทัศน์เต็มไปด้วยเมฆหมอก