ตอนที่ 1459

War sovereign Soaring The Heavens

ศิลาหนี่วา!

 

ไม่นานร่างโจวฉีก็เดินทางออกมาพ้นเขตของสำนักจันทร์จรัสแสง

 

“ลาก่อน สำนักจันทร์จรัสแสง…บางทีข้าโจวฉีอาจหวนกลับมาอีกครั้งหลังบรรลุถึงขอบเขตเซียน! ถึงตอนนั้นข้าจักกลับไปไถ่ถามหลิวฮ่วนเป็นการส่วนตัว ว่ามันใช่เสียใจกับการตัดสินใจในวันนี้หรือไม่!!”

 

หลังจากที่ออกมานอกเขตสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว แน่นอนว่าย่อมอยู่นอกเขตอาคมเหินบินเช่นกัน ร่างโจวฉีค่อยๆลอยสูงขึ้นมาบนฟ้า ไม่นานมันก็หยุดค้างกลางหาวก่อนจะหันกลับไปมองประตูหน้าของสำนักจันทร์จรัสแสงไกลตาอีกรอบ ปากยังกล่าวรำพันออกมาเบาๆ

 

“ข้าสามารถบอกเจ้าได้เลย…ว่าข้ามิเสียใจ และข้าไม่มีวันเสียใจ!”

 

แทบจะทันทีที่สิ้นคำรำพันของโจวฉี ไม่ทันที่ร่างมันจะเหินจากไป เสียงเย็นเยือกหนึ่งปานภูตผีก็ดังขึ้นก้องหูมัน บันดาลให้สีหน้าของมันกลับกลายเป็นซีดเซียวลงทันที!

 

หันกลับมา มันค่อยพบว่าในความมืดพลันปรากฏร่างหนึ่งวูบมาหยุดลอยค้างกลางฟ้าอยู่เบื้องหน้า

 

“ทะ…ท่านอาจารย์!”

 

เมื่อเห็นร่างที่วูบมาปรากฏดั่งภูตผี สีสันก็คล้ายจะจางหายไปจากใบหน้าโจวฉี “ฉะ..ไฉนท่านมาอยู่นี่ได้?”

 

“หากข้ามิมา มิใช่ว่าจักปล่อยให้หนูสกปรกเนรคุณคนเช่นเจ้าเล็ดรอดไปแล้วหรอกหรือ?”

 

ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก หลิวฮ่วน! มันกล่าวเย้ยเยาะออกมาเสียงเย็น!!

 

“ท่านตามข้ามา?”

 

โจวฉีสูดลมหายใจลึกๆเฮือกหนึ่งสะกดข่มความกลัวในใจค่อยกล่าวถามออกไป

 

ตอนนี้โจวฉีรู้ดีแก่ใจว่าวาจาที่มันรำพันกล่าวไปก่อนหน้า มิพ้นเข้าหูของหลิวฮ่วนแล้วแน่แท้ ดังนั้นมันจึงคร้านจะกล่าววาจาใดให้มากความอีก เพราะมันรู้ดีว่าด้วยนิสัยของหลิวฮ่วน คงยากที่วันนี้มันจะรอดไปได้

 

ทว่าพอคิดถึงเรื่องที่หลิวฮ่วนลอบสะกดรอยตามมันมา ใจโจวฉีก็อดไม่ได้ที่จะเดือดดาลขึ้นมาด้วยโทสะ!

 

ที่แท้หลิวฮ่วนไม่เคยไว้ใจมันเลย!

 

“ข้าไม่ได้อยากตามเจ้ามานักหรอก…แต่ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะให้ความสำคัญกับเรื่องที่ข้าให้เจ้ากระทำหรือไม่…ตอนนี้ดูเหมือนว่าเจ้ากำลังทำให้ข้าผิดหวังนัก”

 

หลิวฮ่วนกล่าวออกเสียงเรียบ

 

“เจ้าผิดหวัง?”

 

โจวฉีไหนเลยไม่รู้ว่าวันนี้มันต้องตายแน่แล้ว เช่นนั้นมันจึงปล่อยวาง และเลือกที่จะกล่าวถากถางออกไปเสียงดัง “เพียงเพราะข้าไม่อยากสละชีวิตของข้าเพื่อคนที่เจ้าอยากฆ่า มันทำให้เจ้าผิดหวังมากนักรึไง!?”

 

“มิใช่เรื่องที่น่าอับอายอันใด ยังเป็นเกียรติด้วยซ้ำ ที่ชีวิตของเจ้าจะทำให้หนึ่งอัจฉริยะมากพรสวรรค์อย่างต้วนหลิงเทียนถูกกลบฝังไปพร้อมกับเจ้า…”

 

น้ำเสียงของหลิวฮ่วนชืดชานัก “น่าเสียดายที่เจ้ามิหวงแหนเกียรติยศสุดท้ายที่ข้ามอบให้…เช่นนั้นผลลัพธ์ของการที่เจ้าไม่ไขว่คว้าโอกาสนี้ไว้ ก็คือต้องตายด้วยน้ำมือข้า…หากเจ้าไปเกิดใหม่ชาติหน้าก็อย่าได้ลืมเสีย ว่าทุกวาจาของอาจารย์มีไว้ให้ปฏิบัติ มิใช่ไถ่ถาม!!”

 

สิ้นคำกล่าว หลิวฮ่วนก็ไม่รอให้โจวฉีตอบสนองอะไร มันสะบัดมือตบฟาดออกไปฉับไวปานฟ้าผ่า!

 

ต่อหน้าหลิวฮ่วน โจวฉีย่อมไร้พลังอำนาจที่จะต้านทานอะไรได้ พริบตามันก็ถูกฆ่าทันที!

 

ร่างของมันยังระเบิดบึ้มเป็นหมอกโลหิต…ไม่เหลือแม้แต่ศพให้กลบฝัง!

 

ต้วนหลิงเทียนเองก็คงคิดไม่ถึงเช่นกัน ว่าโจวฉีพึ่งออกจากเขตสำนักจันทร์จรัสแสงได้ไม่ทันไร มันก็ถูกหลิวฮ่วนฆ่าตายเสียแล้ว…

 

ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนยังคงหลับไหลอยู่บนชั้น 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ ฟื้นฟูพลังวิญญาณที่พร่องไป อาการเหนื่อยล้าทางจิตเพราะสูญเสียพลังวิญญาณไปจำนวนมากนั้น ทำให้เขาง่วงนอนอย่างรุนแรง ถึงขั้นหลับเป็นตาย กว่าจะตื่นก็อีก 2 วันให้หลัง…พอตื่นขึ้นมาเขาก็มีสีหน้าสดใสขึ้นไม่น้อย พลังวิญญาณที่พร่องไป ฟื้นฟูกลับมา 7-8 ส่วน

 

แน่นอนว่า 2 วันที่ว่า หมายถึงเวลาในชั้นที่ 2 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ

 

เวลาในโลกภายนอกนั้นพึ่งผ่านไปเพียงแค่หนึ่งคืนกับช่วงเช้าเท่านั้น

 

หลังออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็เดินออกจากบ้านเดี่ยว มุ่งหน้าไปยังลานฝึกซ้อมรวมของฝ่ายนอกทันที

 

และตอนนี้ก็มีคนกลุ่มหนึ่งมายืนรอเขาอยู่ที่ลานฝึกซ้อม

 

คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ลงเดิมพันกับเขาทั้งสิ้น มีทั้งศิษย์ฝ่ายนอกรวมไปถึงผู้ดูแลฝ่ายนอก เมื่อทั้งหมดเห็นเขาเดินมาสีหน้าแววตาก็กลายเป็นตื่นเต้นยินดี ราวผู้ล่าที่หิวโหยแลเห็นเหยื่ออันโอชะ

 

“ทุกคนโปรดเข้าแถว แล้วทยอยนำใบสัญญาเดิมพันมาให้ข้าเพื่อรับคะแนนอุทิศคืนทีละคน”

 

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนมาถึงลานฝึกซ้อมเขาก็กล่าวประกาศออกมาทันที

 

ใช้เวลาไปกว่าครึ่งชั่วยาม ต้วนหลิงเทียนถึงจะจัดการคืนคะแนนอุทิศให้ทุกคนกลับไปครึ่งหนึ่งเสร็จสิ้น

 

หลังจากที่โอนคะแนนอุทิศคืนให้ทุกคนเสร็จแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็ถามทางศิษย์ฝ่ายนอกแถวนั้นเพื่อหาทางไปยัง ศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสง

 

ศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงก็มีรูปแบบเดียวกันกับศาลาอุทิศของจวนเจ้าเมืองชงซัน ไม่ว่าจะวรยุทธ์เซียน ศาสตราเซียน และโอสถเซียน ล้วนแลกได้ด้วยคะแนนอุทิศ

 

กระทั่งอาคมเซียน ยันต์เต๋า รวมไปถึงศาสตราเซียนที่มีอาคมเซียนจารึกก็มีให้แลก!

 

เรียกว่าในศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้น ตราบใดที่ท่านมีคะแนนอุทิศมากพอ ก็สามารถแลกเปลี่ยนทุกสิ่งที่ท่านต้องการได้ นอกจากนั้นท่านยังสามารถซื้อขาดป้ายวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์ดั้งเดิมกับสามัญไปเลยก็ได้ หากท่านต้องการ…

 

มีเพียงป้ายเซียนที่บรรจุวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นเท่านั้นที่ไม่อาจซื้อขาดได้ จำต้องหยิบยืมอ่านอยู่แต่ที่นี่เท่านั้น

 

และการยืมอ่าน 1 ครั้งก็ต้องจ่ายออกด้วยคะแนนอุทิศ 30,000 แต้ม

(ขออภัยด้วย ตอนก่อนนู้นแปลไป 300,000…ไม่รู้ว่าผมผิดหรือผู้แต่งเขียนมาผิด ขี้เกียจย้อนไปดูแล้ว 55+)

 

“ด้วยคะแนนอุทิศ 1,750,000 แต้ม…น่าจะพอให้ข้าแลกสิ่งที่ข้าต้องการได้”

 

ไม่นานต้วนหลิงเทียนก็เดินมาถึงศาลาอุทิศ

 

ทำเลที่ตั้งศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้นค่อนข้างตั้งอยู่ตรงกลางของสำนัก มันอยู่ในพื้นที่รอยต่อที่เชื่อมระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายนอก และศิษย์ทั้งฝ่ายในหรือฝ่ายนอกก็ล้วนต้องมาแลกเปลี่ยนกันที่นี่

 

“ดูเหมือนว่าศาลาอุทิศของเมืองชงซันจะสร้างเลียนแบบศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงมาอีกทีสินะ…”

 

ต้วนหลิงเทียนที่หยุดยืนหน้าศาลาอุทิศกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ ขณะว่ายตามองสำรวจ

 

เพราะรูปลักษณ์ศาลาอุทิศของจวนเจ้าเมืองชงซันนั้น แทบจะถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงเลยทีเดียว ที่ต่างก็แค่ขนาดสัดส่วนและรายละเอียดยิบย่อยบางอย่างเท่านั้น

 

ทว่าหลังจากเข้ามายังศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็พบว่าที่แท้ด้านในกลับมีความแตกต่างกันอยู่ไม่น้อย

 

ไม่ว่าจะพื้นที่ส่วนรับเรื่องต่างๆ จำนวนชั้นหรือรูปแบบการตกแต่ง มันก็ต่างจากศาลาอุทิศของจวนเจ้าเมืองชงซันไปคนละเรื่อง!

 

ที่สำคัญศาลาอุทิศของสำนักจันทร์จรัสแสงนั้นมีถึง 5 ชั้น! ชั้นแรกก็มีไว้ให้เหล่าศิษย์สำนักทำการค้าด้วยตัวเอง เรียกว่าเปิดโอกาสให้เหล่าศิษย์แลกเปลี่ยนสิ่งของกระทั่งหินเซียนรวมถึงคะแนนอุทิศกับศิษย์ด้วยกันตามความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย

 

กล่าวได้ว่าชั้นแรกของศาลาอุทิศสำนักจันทร์จรัสแสงประหนึ่งตลาดนัดย่อมๆก็ว่าได้

 

อย่างไรก็ตามแม้จะกล่าวว่าตลาดนัดของเหล่าศิษย์ แต่หลังจากเข้ามาชั้นแรกแล้วต้วนหลิงเทียนก็พบว่าเป็นศิษย์ฝ่ายในทั้งหมดที่มาตั้งแผงขายของกันอยู่!

 

เรื่องนี้เขาตัดสินจากป้ายประจำตัวที่ห้อยแขวนอยู่บริเวณช่วงเอว

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้ตอนต้วนหลิงเทียนเข้ามา ไม่มีใครที่จดจำเขาได้เลย

 

เพราะในวันที่เขาทำการประลองกับเฝิงฟ่านนั้น มีศิษย์สายในมาดูแค่ไม่กี่คน…ทำให้แม้ชื่อเสียงเขาจะกระจายมาถึงฝ่ายในแล้ว แต่ทั้งหมดก็รับรู้เพียงแค่นามของเขาเท่านั้น โดยมากก็ไม่มีใครรู้จักรูปร่างหน้าตาของเขาเลย

 

“เดินดูของชั้นแรกให้ทั่วก่อนแล้วกัน เผื่อจะมีของอะไรดีๆอะไรที่ข้าใช้ได้”

 

ต้วนหลิงเทียนพึมพำเบาๆ

 

แน่นอนว่าที่คิดแบบนี้ส่วนใหญ่แล้ว เพราะรู้สึกแปลกใหม่ที่มีศิษย์มาแลกเปลี่ยนอะไรกันแบบนี้ นับเป็นประสบการณ์ใหม่ของเขาก็ว่าได้

 

“คุณค่าของคะแนนอุทิศมากกว่าหินเซียนจมหูเลย…ในสำนักจันทร์จรัสแสงแห่งนี้นอกจากวรยุทธ์เซียนระดับมนุษย์โดดเด่นแล้ว ไม่ว่าอะไรก็สามารถใช้คะแนนอุทิศซื้อกลับไปได้…”

 

ต้วนหลิงเทียนตระหนักเรื่องนี้ดี

 

ต้วนหลิงเทียนเดินดูของตามแผงของเหล่าศิษย์ในชั้นที่ 1 ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากใคร

 

ว่ายตามองไปทางไหน ต้วนหลิงเทียนก็แลเห็นแผงแบกะดินมากมายในศาลาอุทิศชั้น 1 ของบนแผงลอยทั้งหลาย มีมากมายที่แลดูแปลกตาและเขาไม่เคยเห็นมาก่อน

 

กระทั่งมีไม่น้อยที่กระทั่งผู้ขายเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร…

 

ที่พวกมันเอาออกมาตั้งขายนั้น บางครั้งก็หวังจะได้รับทราบคุณค่าที่แท้จริงของมันจากเหล่าศิษย์ที่รู้จักสิ่งของดังกล่าว

 

“ผู้เฒ่าหั่ว”

 

หลังเดินดูของไปพักหนึ่ง ต้วนหลิงเทียนติดต่อไปหาผู้เฒ่าหั่วที่อยู่ในชั้นแรกของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติทันที “ท่านลองชมดูว่า สิ่งของพวกนี้มีสิ่งใดที่สามารถใช้ในการซ่อมแซมฟื้นฟูชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้บ้าง”

 

แม้ว่าผู้เฒ่าหั่วจะเคยบอกต้วนหลิงเทียนไปแล้วคร่าวๆว่าของสิ่งใดที่สามารถนำมาใช้ฟื้นฟูซ่อมแซมเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้

 

อย่างไรก็ตามวัตถุดิบต่างๆที่ผู้เฒ่าหั่วบอกมาก็แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น และยังเป็นจำพวกวัตถุดิบที่สามารถหาได้ง่ายในสายตาของผู้เฒ่าหั่วแล้ว

 

ยังมีอีกหลายอย่างที่ผู้เฒ่าหั่วไม่ได้บอกรายละเอียดเอาไว้

 

ในนั้นก็รวมไปถึง มุกมังกร ของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ รวมถึงวัตถุดิบบางชนิดที่พบเจอในศาลาอุทิศของเมืองชงซัน ที่สามารถซ่อมแซ่มฟื้นฟูชั้นที่ 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติได้ถึง 10%

 

หลังจากที่ได้ยินคำตอบรับของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเดินไล่ดูสิ่งของไปทั่วชั้นแรกของศาลาอุทิศอีกครั้ง

 

ต้องบอกว่าวันนี้เขาค่อนข้างมีโชคไม่น้อย

 

หลังจากที่เดินไปรอบๆ ไม่นานผู้เฒ่าหั่วก็พบว่ามีวัตถุดิบบางชนิดที่สามารถนำไปฟื้นฟูซ่อมแซมชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลงได้อย่างมีประสิทธิธาพ มีแม้กระทั่งชิ้นที่ผู้เฒ่าหั่วบอกว่ามันมีค่ายิ่งกว่ามุกมังกรของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บเสียอีก

 

“ถึงแม้ว่าข้าเองก็มิอาจทราบได้ ว่าไฉนของสิ่งนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้…แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่านี่เป็นชิ้นส่วนของศิลาหนี่วา!”

 

ผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกต้วนหลิงเทียน

 

ศิลาหนี่วา!!

 

ตอนแรกพอต้วนหลิงเทียนได้ยินผู้เฒ่าหั่วกล่าวบอกว่ามีสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่ามุกมังกรของมังกรเทพยาดา 5 กรงเล็บ ต้วนหลิงเทียนถึงกับอึ้ง เพราะไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ ว่าจะมาพบเจอในที่แบบนี้ได้…

 

แน่นอนว่าของสิ่งนั้นก็เป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่เขาไม่รู้จัก

 

ทว่าพอมาได้ยินชื่อของวัตถุดิบที่ผู้เฒ่าหั่วบอก เขาถึงกับต้องตะลึงไปอีกครั้ง

 

ศิลาหนี่วาคืออะไร?

 

นั่นเป็นเหมือนสิ่งของในเทวะตำนานจากชีวิตที่แล้วของเขาบนโลกมนุษย์!

 

ศิลาหนี่วานั้น เล่าขานกันว่ามันคือศิลาที่เจ้าแม่หนี่วาเคยใช้เพื่อซ่อมแซมสวรรค์!

 

ไม่เพียงเท่านั้น ในเทวะตำนานยังกล่าวกันว่า…ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดินวานรเทพซุนหงอคงเอง ก็ถือกำเนิดเกิดออกมาจากศิลาหนี่วาที่ดูดซับพลังฟ้าดินมานานปี!!

 

ถึงแม้ผู้เฒ่าหั่วจะบอกว่ามันเป็นแค่ชิ้นส่วนของศิลาหนี่วา แต่ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึงอยู่ดี!

 

ทันทีที่ผู้เฒ่าหั่วบอกเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ก้าวอาดๆเดินเร็วรี่ไปยังแผงขายของดังกล่าวทันที แผงนี้มีเจ้าของเป็นศิษย์ฝ่ายในรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่ง หากแต่สีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายแลคล้ายเป็นคนมากไหวพริบ ดวงตาที่สุกใสกระจ่างบอกให้รู้ว่ามันไม่น่าใช่ชนชั้นเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยมอะไร

 

“มาๆๆ! ศิษย์น้องคนนี้นับว่าเจ้าตาถึงทีเดียวเชียว! เจ้าคงรู้สินะว่าทั้งหมดที่ข้าขายล้วนเป็นสมบัติชั้นดี! ถึงได้เดินตรงมาหาข้าแบบนั้น ชมดูๆ”

 

เมื่อเห็นต้วนหลิงเทียนเข้ามาเดินดูของบนแผง แววตาของศิษย์ฝ่ายในผู้นั้นก็คล้ายจะส่องแสงขึ้นมาทันใด รีบกล่าวต้อนรับขับสู้ต้วนหลิงเทียนอย่างดี

 

“ของพวกนี้นี่สมบัติชั้นดีจริงหรือพี่ชาย?”

 

ต้วนหลิงเทียนก้มลงว่ายตามองสิ่งของที่ตั้งขายอยู่บนแผงทั่วๆ แต่แน่นอนว่าหางตายังไม่ละไปจากชิ้นส่วนศิลาหนี่วาแม้แต่น้อย

 

ชิ้นส่วนศิลาหนี่วาที่ว่า แลไปก็คล้ายๆเศษหินธรรมดาๆชิ้นหนึ่งเท่านั้น อีกทั้งยังตั้งวางอยู่ที่มุมของแผง แลดูไม่เด่นอะไรแม้แต่น้อย

 

หากไม่ใช้เพราะการกล่าวบอกของผู้เฒ่าหั่ว ต้วนหลิงเทียนคงมองข้ามมันไปแล้ว เพราะมันแลดูไร้ค่าและจืดจางเสียเหลือเกิน…

 

“พี่ชาย ของพวกนี้เป็นสมบัติชั้นดีแน่นา…ท่านอย่าคิดหลอกข้าเพราะเห็นข้าเป็นศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าสำนักมาเชียว…”

 

ต้วนหลิงเทียนทำท่าระแวดระวัง หยิบของขึ้นมาชิ้นหนึ่ง พลิกดูไปมาค่อยมองถามศิษย์ฝ่ายในเจ้าของแผงด้วยท่าทางจริงจัง

 

“อ่อ เจ้าเป็นศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าสำนักมาเหรอ…”

 

หลังจากได้ยินวาจาของต้วนหลิงเทียน ศิษย์ฝ่ายในก็มองไปยังป้ายประจำตัวที่ห้อยแขวนที่เอวต้วนหลิงเทียนทันที และเมื่อเห็นว่าเป็นป้ายของศิษย์ฝ่ายนอกจริงๆ ความผิดหวังก็คล้ายจะประดังโถมใส่มันทันที…