“หลานรัก ลำบากเจ้าแล้ว” มองจูหลิงอยู่สักพักใหญ่ จูเยี่ยนถึงจะพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา
จูหลิงยิ้มบางๆ “ท่านปู่พูดเกินไปแล้ว นี่เป็นเรื่องที่หลานสมควรกระทำ จริงสิ เหตุใดท่านปู่ถึงได้พาทหารออกจากเมืองเล่า การป้องกันเมืองเปี้ยน…” จูเยี่ยนโบกมือพลางพูด “ข้ารู้ว่าการเคลื่อนไหวของม่อซิวเหยาในครั้งนี้ ก็เพราะอยากจะล่อข้าออกมา แต่ว่าเมืองเปี้ยนมีหลงหยางอยู่ ข้าจะอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ แต่ทางเจ้า…ไม่รู้ว่าทำไมข้าถึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจอยู่ตลอด โดยเฉพาะช่วงสองวันนี้ ทุกครั้งที่นึกถึงขึ้นมักจะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน ทางเจ้ามีเรื่องอะไรหรือไม่”
จูหลิงส่ายหน้า “ทางฝั่งหลานล้วนปกติดี ท่านปู่กังวลเกินไปแล้ว หลานได้เฝ้าระวังทุกอย่าง ในเมื่อท่านปู่ออกมาแล้วก็ดีเหมือนกัน พวกเราลงหลักปักฐานเฝ้าที่แห่งนี้ ก็สามารถประสานกับท่านแม่ทัพหลงหยางได้ เพื่อชะลอความเร็วในการบุกเมืองของทหารตระกูลม่อ ยิ่งไปกว่านั้น…สองด้านของพวกเราบวกกันแล้วก็เพิ่มกำลังทหารได้เกินกว่าหกแสน แล้วจะต้องไปเกรงกลัวอะไรกับกำลังทหารเพียงแค่สี่แสนนายของม่อซิวเหยาอีก” เรื่องความกังวลของท่านปู่ จูหลิงก็มิได้เพิกเฉย นั่นไม่ใช่ความสงสัยธรรมดาทั่วไปที่ทึกทักเอาเองของคนแก่ แต่เป็นลางสังหรณ์ที่สั่งสมมาจากความสามารถยามต้องเผชิญกับภัยอันตรายของแม่ทัพอาวุโสผู้อยู่บนหลังม้าอันมีเกียรติมากว่าครึ่งชีวิต
จูเยี่ยนตบไหล่ปลอบใจหลานชายและพูด “หลานรัก เจ้าโตแล้วนะ” เมื่อได้รับคำชื่นชมจากท่านปู่ แม้ว่าจะเป็นจูหลิงที่สุขุมนิ่งก็อดที่จะเผยความยินดีบนใบหน้าไม่ได้ ปู่และหลานสองคนนั่งลง พลางแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องสถานการณ์สงครามปัจจุบัน จูเยี่ยนยิ่งปลื้มใจต่อการเติบโตของหลานชาย จนกระทั่งจูหลิงพูดถึงตอนที่ตัวเองช่วยชีวิตหยางเชียนหย่าแล้ว จูเยี่ยนถึงจะขมวดคิดและพูด “เจ้าบอกว่านางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพหู่เวยที่ตายไปแล้วหรือ เจ้าแน่ใจหรือ”
จูหลิงผงะไปทันที และเอ่ย “ย่อมแน่ใจอยู่แล้ว ตราประจำตัวของนางกับตราคาดเอวของทหารองครักษ์นางเหมือนกัน นอกจากนี้ หลานถามนางหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องของแม่ทัพหยางหู่และตระกูลหลิง ก็ไม่มีความผิดปกติอะไรให้เห็น” ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา สีหน้าของจูหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย และมองจูเยี่ยนอย่างไม่สบายใจ
จูเยี่ยนขมวดคิ้วแน่น “ที่เจ้าพูดก็ไม่ผิด หน้าตาและนิสัยค่อนข้างคล้ายกับลูกสาวของแม่ทัพหู่เวย แต่ว่า…เมื่อสองปีก่อนที่แม่ทัพหู่เวยพาบุตรสาวและฮูหยินมาที่เมืองลี่ ก็มาเยี่ยมข้าที่เมืองเปี้ยน เด็กหญิงตัวน้อยตระกูลหยางคนนั้นนิสัยเอาแต่ใจเพราะเลี้ยงอย่างทะนุถนอมจนเคยชิน และนิสัยก็เหมือนแม่ทัพหู่เวย ไม่ได้รักกิจกรรมของปัญญาชนแม้แต่น้อย มีเพียงหญิงรับใช้ที่ยังดีหน่อย พอรู้จักตัวหนังสือบ้างเท่านั้น ดังนั้น การเล่นหมากรุกก็ยิ่งไม่แตกฉานเลยแม้แต้น้อย”
“เช่นนั้น…” สีหน้าของจูหลิงดูไม่ดีขึ้นมาทันใด แม้ว่าตอนแรกสุดเขาก็ได้ตั้งกำแพงไว้กับหยางเชียนหย่าแล้ว กระทั่งถึงตอนนี้ก็ไม่ได้ให้นางรู้เรื่องสำคัญอะไร แต่ว่า หลังจากการสอบสวนนางหลายครั้ง เขาก็แน่ใจในสถานะของหยางเชียนหย่าแล้ว ทว่า บัดนี้กลับรู้ทันใดว่า แท้จริงแล้วสถานะของฝ่ายตรงข้ามเป็นแผนลวงทั้งสิ้น ความโกรธดาลเดือดก็ปรากฏขึ้นในใจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ท่านปู่…ข้าต้องกลับไปเดี๋ยวนี้ขอรับ ข้ากลัวว่า…”
สีหน้าของจูเยี่ยนเคร่งขรึม ในเวลานี้จู่ๆ ก็มีปรากฏภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่สถานะไม่ชัดเจนเรียกตัวเองว่าเป็นบุตรสาวของแม่ทัพหู่เวยขึ้น เหตุใดถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้นะคิดอยู่ครู่หนึ่ง จูเยี่ยนพยักหน้าพลางพูด “ตกลง เจ้าไปเถิด และเจ้าต้องระมัดระวังให้มาก”
“ขอรับ ท่านปู่ ท่านก็…”
“ท่านแม่ทัพ คุณชาย! พวกเราถูกทหารตระกูลม่อล้อมเอาไว้แล้วขอรับ!” ทหารนอกประตูเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน จริงๆ แล้วไม่ต้องรอให้เขารายงานจูเยี่ยนกับจูหลิงก็รู้แล้ว ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเขา นอกเมืองก็มีเสียงรัวกลองรบดังขึ้นสนั่นฟ้า ทั้งสองคนออกจากประตูไปยืนบนกำแพงเมือง เห็นธงโบกสะบัดอยู่ด้านล่างกำแพงเมืองมากมาย ทหารตระกูลม่อถืออาวุธรออยู่ในมือ กองทัพทหารดูน่าเกรงขามแตกต่างกับเมื่อสองชั่วโมงก่อนที่หนีอย่างทุลักทุกเลอย่างสิ้นเชิง
ด้านหน้ากองทัพใหญ่ จางฉี่หลานชูดาบขึ้นตรงบนหลังม้า ก่อนจะหัวเราะเสียงแจ่มชัด “แม่ทัพจู! ข้า จางฉี่หลาน หัวหน้าหน่วยอินทรีแห่งตระกูลม่อ ข้าได้ยินชื่อเสียงเลื่องลืออันยิ่งใหญ่ของท่านแม่ทัพอาวุโสจูมานานแล้ว ขอท่านแม่ทัพอาวุโสโปรดชี้แนะด้วย!”
จูเยี่ยนทอดสายตามองไป เบื้องหน้าทหารตระกูลม่อเบียดเสียดกันเป็นผืนดำที่มีจำนวนคนและม้าอย่างน้อยแสนกว่า จางฉี่หลานไม่ได้เหมือนกับอวิ๋นถิงและเฉินอวิ๋นที่เป็นแม่ทัพผู้น้อยที่ไร้ประสบการณ์ มือสีดำชูขึ้นและผายออก ทหารตระกูลม่อก็แยกออกไปทั้งสี่ด้าน มองดูราวกับกระจัดกระจายกันอย่างมั่วซั่ว แต่ถ้ามองอย่างละเอียดแล้วกลับพบความละเมียดภายใน โดยปกติแม่ทัพทั่วไปหากต้องเสี่ยงอันตรายเผชิญอยู่ท่ามกลางกองทัพทหารใหญ่เช่นนี้ ถ้ากำลังทหารไม่เท่าเทียมกัน ก็อย่าได้คิดจะบุกออกมาเลย
สีหน้าของจูหลิงเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามองออกถึงความละเมียดละไมของยุทธศาสตร์นี้ จึงพูดกับจูเยี่ยน “ท่านปู่ หลานจะลงไปลองดู”
จูเยี่ยนพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยสั่ง “จางฉี่หลานเป็นแม่ทัพอาวุโสของตระกูลม่อ ต้องระมัดระวังอย่างมาก”
“หลานเข้าใจแล้ว”
ประตูเมืองถูกเปิดออก ทหารซีหลิงกรูออกมาจากด้านใน ชายหนุ่มชุดขาวนวลจันทร์ที่ไม่ทันได้เปลี่ยนเป็นชุดออกรบกระโดดลงจากบนกำแพงเมือง ขึ้นนั่งบนม้าสง่างามที่กำลังวิ่งออกหน้าประตูเมือง แล้วถีบท้องม้าตะบึงไปหากองทัพใหญ่ของตระกูลม่อ ม้าตัวเดียวของจูหลิงนำหน้า ทหารของซีหลิงก็ตามเป็นแนวตรงดั่งมังกรมุ่งไปยังทหารตระกูลม่อ อุปสรรคด้านหน้าพังทลายสิ้นซาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังไม่สามารถฝ่าออกจากแหล้อมของทหารตระกูลม่อได้ จางฉี่หลานที่ชมสงครามอยู่บนหลังม้าซึ่งอยู่ด้านหลังกองทัพก็ลูบคางแล้วยิ้มพูดอย่างใคร่รู้ “เจ้าเด็กคนนี้น่าสนใจทีเดียว”
ลูกน้องที่อยู่ด้านหลังกล่าวเตือน “ท่านแม่ทัพ ท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอกขอรับ”
จางฉี่หลานหน้าดำคล้ำเครียดขึ้นทันที เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ เดิมที การเดินทัพในสงครามกับประชันกันตัวต่อตัวก็แตกต่างกันอยู่แล้ว ดังนั้นจางฉี่หลานที่โตมาในค่ายทหารย่อมรู้ว่าเหนือฟ้าย่อมมีฟ้า และการเอาชนะเด็กที่อายุอ่อนกว่าตัวเองไม่ได้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่การถูกลูกน้องของตัวเองพูดออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ชื่นมื่นเสียแล้ว ก่อนจะจ้องลูกน้องอย่างโกรธเคือง “พูดมาก!”
ลูกน้องกรอกตาอย่างจนปัญญา เป็นเพราะท่านอ๋องกลัวว่าท่านจะคึกคะนองแล้วบุ่มบ่ามบุกเข้าไป ถึงต้องให้ข้ามาเตือนท่านไม่ใช่หรือ ข้าได้หาเรื่องใครหรือยัง ในสังคมแบบนี้การเป็นลูกน้องก็ลำบากอยู่แล้ว แต่เป็นลูกน้องที่คิดแทนเจ้านายนั้นลำบากยิ่งกว่า!
“ท่านแม่ทัพ? เป็นอย่างไรบ้างขอรับ อยากจะล้มเด็กคนนั้นหรือไม่”
จางฉี่หลานหันหลังกลับไปมองเขา “ใครจะไป เจ้าหรือ”
หัวหน้าหน่วยโบกมือปฏิเสธ แล้วชี้ไปที่คนหนึ่งที่กำลังมองดูสงครามอยู่ด้านข้าง
จางฉี่หลานมองคนแซ่ฉินที่มีสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะบึ้งตึงใส่ทันที “ผู้บัญชาการฉิน เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าพระชายาของข้าไปไหนกันแน่ เจ้าต้องรู้ไว้นะว่า ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้นกับพระชายา เจ้ากับข้าต่างแบกรับชะตากรรมไม่ไหวแน่!””
ฉินเฟิงเหล่มองเขาทีหนึ่ง ก่อนจะยิ้มพลางพูด “ท่านแม่ทัพวางใจเถิด ข้าได้ส่งคนไปรับชายาแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรอย่างแน่นอน”