บทที่ 268 ปกป้อง เรื่องร้ายเรื่องเดียวกลับทำประโยชน์คืนมาได้ถึงสามเรื่อง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ



ตั้งใจทำงาน ละเอียดอ่อนจัดการ ลักษณะของเฟิ่งชิงเฉินในยามนี้ ดูงดงามยิ่งนัก งดงามเสียจนผู้คนมองข้างรูปลักษณ์ภายนอกของนางไปจนหมด เพียงแต่จับจ้องทั้งคำพูดและการกระทำของนางในยามนี้เท่านั้น

ทั้งคำพูดและการกระทำ หาได้เหมือนสตรีร่างบางไม่ ทว่า กลับดูน่าเกรงขามเทียบเท่ากับบุรุษอกสามศอกเลยทีเดียว แม้ว่าจะเป็นสตรีที่อ่อนแอ หากแต่นางกลับสามารถยืนชี้นิ้วสั่งการนายทหารทั้งหมดได้ ทั้งท่าทางยังเต็มไปด้วยความเฉียบขาด นายทหารร่างใหญ่เหล่านั้น แม้ว่า จักต้องมาทำตามคำสั่งของสตรีตัวเล็ก แต่พวกเขาหาได้รู้สึกไม่พอใจไม่ ทั้งยังทำตามคำสั่งที่ได้รับอย่างแข็งขัน

“เฟิ่งชิงเฉินอาเฟิ่งชิงเฉิน วันนี้เจ้าสามารถรับบทเป็นนางหงส์ได้แล้ว แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่า ทิวทัศน์ต่อจากนี้จักเป็นเช่นไร เจ้าจัดการเรื่องราวได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทจักปล่อยเจ้าไปได้หรือ?

ในใต้หล้านี้ หาได้มีผู้ใดรู้ว่าเจ้าระเบิดนี้คือสิ่งใดไม่ จู่ ๆ เจ้าก็พลันโผล่ออกมา แม้จะมิได้เอ่ยออกมา แต่การกระทำของเจ้า หาได้เหมือนคนที่ไม่รู้เรื่องไม่ ตัวเจ้านับว่าเป็นหลักฐานชั้นดี อย่าว่าแต่ฝ่าบาทจักไม่ปล่อยเจ้าไปเลย แม้แต่ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไปเช่นกัน บาดแผลบนร่ากายเพิ่งจะฟื้นฟูไปได้ไม่นาน เจ้าก็อยู่ไม่นิ่งเสียแล้ว ข้าไม่รู้จักทำเช่นไรกับสตรีอย่างเจ้าดี ”

หลานจิ่วชิงพลึนพึมพำกล่าวออกมา เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าสามารถควบคุมได้แล้วนั้น จึงหันไปมองเฟิ่งชิงเฉิน แล้วจึงหันกายจากไปท่ามกลางฝูงชน

ระเบิดที่เกิดขึ้นในครานี้ เขาจักต้องรีบสืบความมาให้ได้ ว่าผู้ใดอยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์ครานี้ หากว่าหลานจิ่วชิงมิได้มองผิดไป เฟิ่งชิงเฉินต้องรู้จักเจ้าสิ่งนั้นอย่างแน่นอน

เพื่อเฟิ่งชิงเฉินแล้ว เกรงว่า หลานจิ่วชิงเองก็จักไม่ให้คนผู้นั้นมีชีวิตอยู่ต่อไปเช่นกัน

ในขณะเดียวกันนั้น ยามที่ไม่มีผู้ใดสังเกตุเห็นการหายตัวไปของหลานจิ่วชิง เฟิ่งชิงเฉินกลับสัมผัสได้ถึงแววตาที่คุ้นเคยจ้องมองมา ทว่า อาจจะเป็นเพราะรอบข้างมีผู้คนเยอะเกินไป นางจึงมิได้ใส่ใจในเรื่องนี้อีก

เหตุการณ์ความวุ่นวายที่หน้าประตูเมือง ได้รับการจัดการอย่างทันท่วงที ถึงแม้ว่าจะมีบางคนถูกความชุลมุนจนต้องถูกเหยีบย่ำจนตายไปในคราแรก แต่เมื่อได้ทำการช่วยเหลือผู้อพยพออกไปอย่างรวดเร็วนั้น ภายในเมืองหลวงก็มิได้ตกอยู่ในอันตรายอีก

ทั้งเฟิ่งชิงเฉินและหมอหลวง พร้อมกับกลุ่มพวกองครักษ์ ต่างก็พากันช่วยเหลือคนเจ็บจนถึงยามค่ำ เฟิ่งชิงเฉินทั้งเหนื่อยทั้งหิวยิ่งนัก หากแต่ภายในใจกลับรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

อันที่จริงแล้ว ชีวิตที่ต้องอยู่ในดงกระสุนปืน พร้อมกับต้องแข่งขันเอาชีวิตรอด เพื่อมิให้เทพเจ้าแห่งความตายมาเอาชีวิตไปนั้น เหมาะกับนางมากกว่า นางละไม่เจ้าใจจริง ๆ การใส่หน้ากากหลอกหลวงซึ่งกันและกันของผู้คนภายในเมืองหลวงนั้น รวมไปถึงร่างกายที่ต้องโดนกระทำซ้ำและซ้ำเล่าจนหมดหนทางสู้ มันมีดีอย่างไร

“ท่านอาจารย์ ท่านดื่มน้ำกินอะไรหน่อยเถอะขอรับ ท่านพักสักครู่หนึ่งเถิด” เมื่อซุนซือสิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินหยุดมือลงนั้น เขาก็รีบไปนำน้ำและหมั่นโถวมาให้นางในทันที

ในวันนี้เขาได้เห็นความสามารถของท่านอาจารย์แล้ว การช่วยเหลือคนนั้น หาได้มีเพียงแค่ทักษะการแพทยท์ที่ดีเท่านั้น ต้องรวดเร็วและตาต้องไวด้วย

วันนี้ ซุนซือสิงเห็นเฟิ่งชิงเฉินสามารถตรวจดูอาการของคนไข้ทีละหลาย ๆคนพร้อมกันได้ ทั้งยังมิได้มีท่าทีตื่นตระหนกอีกด้วย อีกทั้งยังวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยได้รวดเร็วอีก โดยมิได้ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังมิต้องถามอาการของผู้ป่วยอีกด้วย ก็สามารถบอกอาการของผู้ป่วย ก่อนที่คนไข้จะบอกนางออกมาเสียอีก

นี่หาใช่สิ่งที่เขาจักสามารถเรียนรู้ได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่ เกรงว่า เขาคงต้องผ่านการรักษาผู้ป่วยมาจำนวนนึงกระมัง ถึงจะสามารถมี “ดวงตาทองคำ” เช่นนี้ได้ แต่ซุนซือสิงคิดอย่างไรก็คือไม่ออก ว่าสตรีเช่นท่านอาจารย์ จักเอาโอกาสไหนไปตรวจคนไข้เยอะ ๆ ให้นางได้ฝึกฝนฝีมือกัน

แม้แต่ท่านพ่อของเขา ก็หาได้มีความสามารถในการวินิจฉัยอาการของผู้ป่วยด้วยระยะเวลาเพียงจิบน้ำชาเดียวไม่ ทว่า ท่านอาจารย์สามารถทำได้โดยไม่เกิดข้อผิดพลาดเสียด้วยซ้ำ

เฮ้อ หากซุนซือสิงรู้ว่า ความรวดเร็วและความเม่นยำที่เฟิ่งชิงเฉินใช้วินิฉัยอาการของผู้ป่วยมากจาเครื่องมือในกระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะละก็ เขาย่อมต้องหมดศรัทธาในตัวนางแน่

แพทย์แผนจีนต้องใช้ระยะเวลาและประสบการณ์ในการเรียนรู้ หากแต่แพทย์แผนตะวันตกมิจำเป็นต้องทำเช่นนั้น แพทย์แผนตะวันสามารถใช้เครื่องมือในการวัดค่าของคนไข้ได้ว่า ที่ใดมีปัญหาหรือที่ใดไม่มีปัญหาหาก

แต่เฟิ่งชิงเฉินหาได้รู้ไม่ว่า ท่าทีไร้อารมณ์ของนางในวันนี้นั้น กลับทำให้ซุนซือสิงตั้งปณิธานกับตนเองว่า เขาจักฝึกฝนให้หนัก เรียนรู้ให้มาก ๆ เพื่อที่จะได้เป็นเหมือนเฟิ่งชิงเฉิน ที่สามารถมองดูอาการของคนไข้ออกเพียงพริบตาเดียวได้

ภายหลังต่อมา ซุนซือสิงก็สามารถทำได้จริง ๆ เขาสามารถวินิจฉัยอาการของคนไข้ได้รวดเร็วและแม่นยำพอ ๆ กับ กระเป๋าเครื่องมือแพทย์อัจฉริยะของนางเลยทีเดียว แน่นอนว่านี่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันมิใช่สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินจักสามารถ สอนให้เขาได้ง่าย ๆ ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่ซุนซือสิงเรียนรู้จากความเหนื่อยยากและประสบการณ์ของตนเองทั้งนั้น

ดังนั้น เฟิ่งชิงเฉินสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่า ซุนซือสิงจักสามารถเป็นหมอที่มีความสามารถมากที่สุดในใต้หล้าได้อย่างแน่นอน แต่นางเป็นเพียงหมอธรรมดา ที่มีความสามารถเล็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น

“ท่านอาจารย์ การรักษาผู้ป่วยใกล้จะเสร้จแล้ว พวกเรากลับกันก่อนเถอะขอรับ ท่านยังบาดเจ็บอยู่” เมื่อซุนซือสิงเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินกินหมั่นโถวหมดแล้วนั้น จึงเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมออกมา

เฟิ่งชิงเฉินจึงพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อมั่นใจแล้วว่า ที่นี่ไม่มีสิ่งใดให้นางต้องจัดการอีก คนไข้ที่บาดเจ็บสาหัสก็ได้รับการรักษาไปแล้ว อีกทั้งองค์รัชทายาท พลันเอ่ยปากออกมาว่า เรื่องราวในวันนี้เขาจักเป็นผู้รับผิดชอบ พร้อมด้วยค่ารักษาและค่าชดเชยต่าง ๆ จักเป็นองค์รัชทายาทที่รับผิดชอบเอง

หวังจิ่นหลิงเองก็พูดเช่นกันว่า หากคนที่เป็นเสาหลักในครอบครัวเกิดได้รับบาดเจ็บหรือล้มตาย ตระกูลหวังจักเป็นผู้จัดการฝังศพให้ อีกทั้งครอบครัวที่เหลืออยู่ของผู้ตาย สามารถไปหาเขาที่ตระกูลหวังได้ ตระกูลหวังจักจัดหางานให้ โดยไม่ให้พวกเขาต้องอดอยากอย่างแน่นอน

องค์รัชทายาทเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ทั้งยังรู้จักใช้โอกาสนี้ ในการซื้อใจของราษฏรอีกด้วย ค่ารักษาและค่าชดเชยของราษฏรที่ได้รับบาดเจ็บนั้น สำหรับองค์รัชทายาทมันเป็นเพียงค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในความคิดของราษฏรมันเป็นค่าใช้จ่ายของพวกเขาทั้งชีวิต

ท่ามกลางเสียงอวยพรที่ดังแซ่ซ้องร่วมกันสรรเสริญองค์รัชทายาทและคุณชายใหญ่จนกลับวัง

ในเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นเช่นนี้ จักรพรรดิย่อมไม่นิ่งนอนใจอยู่แล้ว เขาไม่อาจนั่งได้อย่างสบายใจเลยแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินข่าวว่าสถานการณ์สงบลงแล้วนั้น ก็พลันออกพระราชโองการเรียกตัวองค์รัชทายาทและองค์ชายใหญ่เข้าวังในทันที พร้อมด้วยข้าราชบริพารที่อยู่ด้วยในวันนี้ ให้เหลือไว้แต่เพียงตี๋ตงหมิงเท่านั้น เพื่อรอสะสางสถานการณ์
ทั้งอาจารย์และศิษย์ที่เพิ่งเก็บข้าวของ กำลังจะพูดกับตี๋จงหมิงนั้น ก็พลันเห็นขันทีของราชสำนักขี่ม้าเข้ามา ในมือพลันถือพระราชโองการมาด้วย เมื่อขันทีเห็นเฟิ่งชิงเฉินนั้น ก็พลันชักม้า พร้อมกับประกาศด้วยเสียงก้องกังวาลว่า “เฟิ่งชิงเฉินออกมารับพระราชโองการ”

เฟิ่งชิงเฉินพลันชะงักไปในทัน พร้อมกับหัวใจที่เต้นดัง “ตึกตัก” แล้วจึงกวาดสายตามองไปยังบริเวณโดยรอบที่เพิ่มถูกทำความสะอาดไปนั้น พร้อมกับได้กลิ่นดินปืนจาง ๆ อยู่ ภายในใจกลับรู้สึกถึงรางสังหรณ์ที่ไม่ใคร่ดีนัก

ซวยแล้ว นางแสดงออกมากเกินไปซินะ ถึงได้ดึงดูดความสนใจขององค์จักรพรรดิไว้เช่นนี้

“ท่านอาจารย์ ท่านเป็นอันใดไป? เหตุใดท่านไม่รีบคุกเข่าเล่า” ซุนซือสิงพลันรีบไปดึงตัวเฟิ่งชิงเฉินให้นั่งลงในทันที เฟิ่งชิงเฉินที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดอยู่ว่า ตนเองได้เผลอเปิดเผยสิ่งใดออกไปอีกหรือไม่?

เมื่อหัวเข่ากระแทกหินยามที่นั่งคุกเข่าลงนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็พลันได้สติขึ้นมาในทันที พร้อมกับทำทีสีหน้ายิ้มแย้ม เพื่อรอขันทีประกาศพระราชโองการออกมา

ยามที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดไตร่ตรองหน้าหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นในนี้นั้น นางก็ค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา

นอกจากยามที่นางหลุดพูดต่อหน้าเฟิ่งชิงเฉินไปแล้วนั้น นางหาได้เปิดเผยสิ่งใดต่อหน้าผู้อื่นอีกไม่ นางจึงไม่รู้สึกเป็นกังวลสิ่งใดลย หากจักรพรรดิถามสิ่งใดมา นางก็แค่ปัดคำถามนั้นถึงไปเสีย

นางเชื่อว่า แม้ว่าหวังจิ่นหลิงจักสงสัยในตัวนางเพียงใด ต่อหน้าขององค์จักรพรรดิ เขาจักต้องช่วยนางอย่างแน่นอน

เป็นไปตาที่เฟิ่งชิงเฉินคาดการณ์ไว้ พระราชโองการขององค์จักรพรรดิคือการเรียกตัวนางเข้าวัง พร้อมทั้ง ให้ขี่ม้าตัวที่ขันทีนำมาให้กลับไป ฝ่าบาทจะรอนางอยู่ที่ตำหนักไท่เหอ

“เฟิ่งซิ่ว นี่เป็นป้ายประจำตัวของท่านพะยะค่ะ เมื่อถึงหน้าประตูวัง ให้ท่านมอบสิ่งนี้ให้กับทหารยาม เมื่อนั้น ท่านก็จักสามารถเข้าวังได้ ขอให้เฟิ่งซิ่วรีบหน่อยนะพะยะค่ะ ฝ่าบาทรอท่านนานแล้ว”

คำพูดของขันทีพลันเต็มไปด้วยความอ่อนโยน พร้อมกับมองเฟิ่งชิงเฉินด้วยสายตาชื่นชม เมื่อขันทีให้ป้ายประจำตัวกับนางไปนั้น ก็พลันเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงต่ำว่า “แม่นางเฟิ่ง จักรพรรดิต้องการเรียกให้ท่านเข้าวังนานแล้ว ทว่ากลับถูกองค์รัชทายาทและคุณชายใหญ่เอ่ยเกลี้ยกล่อมเอาไว้ ในยามนี้อารมณ์ไม่สู้ดีนัก ระวังตัวด้วยพะยะค่ะ”