[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 522 : วันวุ่นวายของหลิงหยุน!
หลิงหยุนเดินโอบเอวเหยาลู่ลงบันไดมา แต่กลับพบว่าตี้เสี่ยวอู๋และถังเมิ่งต่างก็ไม่อยู่ในคลีนิกแล้ว
หลิงหยุนทำหน้าตาขึงขังพร้อมกับบ่นว่า “เจ้าเด็กสองคนนี้น่าจะถูกตีให้ตายจริงๆ กล้าทิ้งคลินิกของผมไปแบบนี้..”
เหยาลู่ตอบยิ้มๆ “กล้าทำพวกเขาเหรอ?!”
หลิงหยุนเหลือบมองไปที่รถแลนด์โรเวอร์ที่จอดอยู่หน้าคลินิก แต่ก็ไม่เห็นทั้งคู่อยู่ในรถ เขาจึงหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาถังเมิ่งทันที
“นี่.. พวกนายอยากตายหรือยังไง? รีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลย..”
หลิงหยุนแอบคิดในใจว่า เจ้าเด็กสองคนที่แกล้งเขาเมื่อครู่นี้ เขายังไม่ทันได้คิดบัญชีเลย..
“ฉันจะรีบกลับไปเดี๋ยวนี้แล้ว..” ถังเมิ่งตอบแล้วจึงกดวางสายไป
ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋กลับมาถึงคลินิกภายในเวลาอันรวดเร็ว และหนึ่งในนั้นก็ถือถุงใบใหญ่ไว้ในมือ
หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูก็รู้ว่าภายในถุงใบนั้นมีเงินสดหลายปึก เขาอดที่จะแปลกใจไม่ได้ ‘เบิกเงินมาทำไมตั้งมากมาย?’
ถังเมิ่งยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พอดีอยู่ใกล้ธนาคาร ฉันก็เลยใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์..”
ทั้งสองคนไม่จำเป็นต้องให้หลิงหยุนเอ่ยปาก ทั้งคู่พากันไปธนาคารเพื่อเบิกเงินมาสดมาให้หลิงหยุนไว้ใช้จ่ายจำนวนห้าล้านหยวน..
หลิงหยุนเหลือบมองถังเมิ่งพร้อมกับหยิบเงินสดในถุงเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นพร้อมกับตอบกลับไปยิ้มๆ
“พวกนายสองคนคงทำงานกันหนักมากสินะ..”
“พี่หยุน.. พวกเราเพิ่งจะโอนเงินเข้าไปในบัญชีพี่อีกสองพัน พี่ได้รับข้อความแจ้งเตือนหรือยัง?” ถังเมิ่งร้องถามหลิงหยุน
สองพันของถังเมิ่งนั้นหมายถึงเงินจำนวนยี่สิบล้านหยวนนั่นเอง..
หลิงหยุนหยิบโทรศัพท์ออกมาดู และพบว่ามีข้อความเข้ามาสองข้อความ ทั้งสองข้อความล้วนแจ้งว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีของเขาสิบล้านหยวน หลิงหยุนจึงพยักหน้าให้ถังเมิ่ง
วันนี้หลิงหยุนค่อนข้างยุ่งมาก เขาหันไปถามเหยาลู่ว่า “ที่คลินิกไม่มีอะไรแล้ว คุณจะไปพบท่านหมอเสี่ยวกับผมมั๊ย?”
เหยาลู่ถอนหายใจเล็กน้อยพร้อมกับตอบเสียงเบา “ก็ดี.. ฉันเองก็อยากจะไปขอบคุณท่านหมอเสี่ยวด้วยตัวเองที่ช่วยชีวิตของฉันไว้ในวันนั้น..”
หลิงหยุนนึกถึงเมื่อครั้งที่คนเซียงฉีทำร้ายเหยาลู่จนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่โชคดีที่ได้ท่านหมอเสี่ยวช่วยยื้อชีวิตของเธอไว้ให้ในระหว่างที่รอคอยเขากลับมา
อีกทั้งหลังจากที่หลิงหยุนได้รักษาอาการบาดเจ็บให้กับเหยาลู่แล้ว เขาก็ได้จัดแจงให้เธอไปอาศัยอยู่กับท่านหมอเสี่ยวอีกหลายวัน ท่านหมอเสี่ยวเองก็ได้ดูแลรักษาอาการให้กับเธอด้วยตัวเอง ทำให้เหยาลู่รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก
“ถ้างั้นก็ไปกันเลย..!”
หลังจากจัดการปิดประตูคลินิกเรียบร้อยแล้ว ทั้งสี่คนก็ขึ้นรถ และขับรถมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านในทะเลสาปจิงฉู
เมื่อรถเข้าไปจอดที่หน้าประตูบ้านของท่านหมอเสี่ยว หลิงหยุนก็เห็นเขากำลังเดินเล่นอยู่ลานหน้าบ้านพอดี และดูเหมือนท่านหมอเสี่ยวจะล่วงรู้การมาถึงของหลิงหยุน จึงได้มายืนคอยอยู่ที่หน้าประตู
เมื่อเห็นหลิงหยุนก้าวลงมาจากรถ ท่านหมอเสี่ยวก็ยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยทักทายขึ้นทันที
“พ่อหนุ่มน้อย.. กลับมาแล้วรึ?”
“ครับท่านปู่เสี่ยว! อาวุโสดูเหมือนจะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ”
หลิงหยุนเอ่ยทักทายทันทีที่เห็นใบหน้าอมชมพูของท่านหมอเสี่ยว สีหน้า ท่าทาง และคำพูดของท่านหมอเสี่ยวบ่งบอกว่ามีความสุขอย่างมาก
เหยาลู่เดินตามหลิงหยุนไปพร้อมกับเอ่ยทักทายท่านหมอเสี่ยวด้วยความเคารพ “ท่านปู่..”
ท่านหมอเสี่ยวโบกไม้โบกมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตามสบาย.. ตามสบาย.. ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า”
ภายในห้องนั่งเล่น.. ท่านหมอเสี่ยวนั่งเอนหลังพิงโซฟาอย่างเป็นกันเอง เขายิ้มให้หลิงหยุนกับคนอื่นๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พวกเธอสี่คนนั่งกันตามสบายเลยนะ.. ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไร”
แน่นอนว่าหลิงหยุนนั้นทำตัวตามสบายอยู่แล้ว แต่ท่านหมอเสี่ยวตั้งใจบอกกับคนอื่นๆ อีกสามคนที่ยังคงยืนอยู่
ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋มีหรือจะกล้านั่งลง! ทั้งสองคนพยักหน้า แต่ก็ยังคงยืนนิ่งไม่ขยับตัว บรรยากาศภายในห้องนั้นแค่หายใจทั้งคู่ยังแทบไม่กล้า..
เหยาลู่เองก็ยังคงไม่กล้าที่จะนั่งอยู่ แต่หลิงหยุนกับฉุดมือเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้ข้างตัวเขา
“หนิงน้อยบอกฉันว่าเธอกลับมาถึงจิงฉูแล้ว! เด็กดื้อนั่นแทบจะไม่ยอมไปโรงเรียนตั้งแต่เมื่อวาน บอกว่าต้องรอพบเธอก่อนถึงจะยอมไป ก็เลยถูกฉันดุไป ตอนนี้ยังงอนอยู่เลย..”
ท่านหมอเสี่ยวคุยเรื่องหลานสาวกับว่าที่หลานเขยในอนาคตอย่างเปิดอก ใบหน้าของเขามีแววเหนื่อยหน่ายกับความดื้อรั้นของหลานสาวตัวเอง
หลิงหยุนว่าควรจะพูดอะไรดี? จึงได้แต่เออออไปตามคำพูดของท่านหมอเสี่ยวพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างเห็นด้วย
“นั่นสิ.. การโดดเรียนเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องเลย..!”
ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ได้ฟังถึงกับแอบยิ้ม และได้แต่กลั้นหัวเราะอยู่นาน ไม่กล้าที่จะให้เสียงหัวเราะรอดออกมาจากปาก
ตอนนี้หลิงหยุนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นดาวโดดร่มของโรงเรียนมัธยมจิงฉูเลยก็ว่าได้ เขาจึงแทบไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดประโยคเมื่อครู่ด้วยซ้ำไป..
“ท่านปู่.. ผมหายไปอยู่เกาะกลางทะเลเกือบเดือน ก่อนออกเดินทางก็รีบร้อนมากจึงไม่ได้แวะมาบอกอาวุโสก่อน หวังว่าอาวุโสจะไม่ตำหนิที่ผมเสียมารยาท!”
แววตาของท่านหมอเสี่ยวเป็นประกายระหว่างที่จ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยออกมาว่า “หนิงเอ๋อบอกฉันเรื่องว่า.. เป็นไง.. กลายร่างสำเร็จมั๊ย?”
ท่านหมอเสี่ยวพูดเพียงแค่นั้น หลิงหยุนย่อมเข้าใจดีกว่าท่านหมอเสี่ยวรู้เรื่องที่เขาพาไป๋เซียนเอ๋อไปกลายร่างแล้ว จึงไม่จำเป็นที่หลิงหยุนต้องบอกรายละเอียดอีก
หลิงหยุนเองก็เป็นคนเฉลียวฉลาด เขาเพียงแค่ยิ้ม และพยักหน้า “นับว่าโชคดี..”
ท่านหมอเสี่ยวยืดหลังตรงพร้อมกับพูดต่อว่า “เธอช่วยพามาให้คนแก่อย่างฉันได้เห็นเป็นบุญตาหน่อยจะได้มั๊ย!”
“ผมต้องทำเช่นนั้นอยู่แล้ว!” หลิงหยุนรับปาก
จากนั้นจึงพูดต่อว่า “อาวุโส.. คลินิกของผมตกแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว คิดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการในวันเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ ผมต้องขอบคุณอาวุโสมากที่ช่วยเหลือเรื่องใบประกอบโรคศิลป์”
ท่านหมอเสี่ยวได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็แทบจะหัวเราะออกมาพร้อมกับตอบไปว่า “นี่พ่อหนุ่ม.. เธอยังต้องมีพิธีรีตองกับฉันอยู่อีกงั้นรึ? นั่นเป็นเรื่องที่ฉันสมควรทำอยู่แล้ว!”
ในวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิงนั้น หลิงหยุนได้มอบของขวัญวันเกิดที่แสนล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งแก่หนิงน้อย อีกทั้งหลิงหยุนเองก็เปรียบเหมือนคนในครอบครัว การที่ท่านหมอเสี่ยวช่วยเหลือหลิงหยุนเรื่องใบประกอบโรคศิลป์นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก
เมื่อหลิงหยุนเริ่มเห็นท่านหมอเสี่ยวดูคล้ายจะเริ่มขุ่นเคือง เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันที
“ท่านปู่เสี่ยว.. ความจริงที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อขอคำแนะนำในการเปิดคลีนิก?”
คำพูดของหลิงหยุนทำให้ท่านหมอเสี่ยวอารมณ์เปลี่ยนไปทันที แต่ก็หยอกเย้าว่า “พ่อหนุ่ม.. ทักษะทางการแพทย์ของเธอเป็นเลิศ ยังต้องให้ฉันแนะนำอะไรอีก? ฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอคำแนะนำจากเธอด้วยซ้ำไป!”
แต่หลิงหยุนนับว่าฉลาดมาก เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาของท่านหมอเสี่ยวด้วนแววตาอ้อนวอนพร้อมเอ่ยขอร้องด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านปู่.. ได้โปรดเถิดครับ!”
ท่านหมอเสี่ยวกระแอม และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ฉันเกรงว่าพูดไปแล้วเธอจะไม่ฟังน่ะสิ..”
ท่านหมอเสี่ยวรู้จักนิสัยของหลิงหยุนดีว่าเป็นคนเย่อหยิ่งจองหอง หลังจากพูดไปแล้วเขาจึงรีบพูดต่อว่า
“คนเป็นหมออย่างเรายังต้องเรียนรู้อยู่เรื่อยๆ การเป็นหมอนั้นสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการรักษาคนด้วยความเมตตา จงจำไว้ว่า.. การช่วยเหลือชีวิตผู้คนนั้น ได้บุญกุศลมากยิ่งกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น และนี่คือหัวใจของคนเป็นหมอ!”
จากนั้น.. ท่านหมอเสี่ยวก็ได้ใช้กระแสจิตบอกกับหลิงหยุนว่า “พ่อหนุ่ม.. คนแก่อย่างฉันย่อมมองออกว่า.. ภายใต้ท่าทางก้าวร้าวดุร้ายของเธอนั้น ความจริงแล้วเด็กดื้ออย่างเธอเป็นคนที่มีจิตใจเมตตามาก เมื่อถึงคราวต้องฆ่า เธอก็ฆ่า! แต่เมื่อถึงคราวต้องช่วย เธอก็ช่วย! เธอเป็นคนที่แยกแยะเรื่องราวได้อย่างชัดเจน!”
หลิงหยุนตั้งใจฟังคำพูดของท่านหมอเสี่ยวด้วยสีหน้าจริงจัง เขาจ้องลึกลงไปในดวงตาของท่านหมอเสี่ยวพร้อมกับลุกขึ้นยืน และพูดว่า..
“ขอบคุณท่านปู่เสี่ยวที่ชี้แนะ!”
ท่านหมอเสี่ยวยิ้มกว้าง “เธอเป็นเด็กเฉลียวฉลาด คนแก่อย่างฉันไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมาย เพราะหากพูดมากก็จะไม่ต่างจากเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนน่ะสิ!”
หลิงหยุนนั่งลงและพูดต่อว่า “ท่านปู่.. ผมจะสอนเก้าเข็มปลุกชีพให้กับหนิงน้อย ท่านปู่มีความเห็นเช่นไร?”
ท่านหมอเสี่ยวเพียงแค่ยิ้มพร้อมกับโบกมือ และตอบกลับไปว่า “นั่นเป็นเรื่องของพวกเธอสองคน คนแก่อย่างฉันไม่เข้าไปก้าวก่าย..”
หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบ เหยาลู่ก็ได้โอกาสที่จะแสดงความขอบคุณท่านหมอเสี่ยว และท่านหมอเสี่ยวก็เพียงแค่พยักหน้ารับคำขอบคุณ
ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลิงหยุนจึงขอตัวไปทำธุระที่ยังคั่งค้าง และปฏิเสธที่จะทานข้าวเที่ยงตามที่ท่านหมอเสี่ยวเชิญชวน
ทั้งสี่คนกลับไปที่บ้านของหลิงหยุนอีกครั้ง..
ตู้กู่โม่ยืนถือกระบี่ด้วยท่วงท่าสง่างาม เขากำลังยืนอยู่ภายในลานบ้านเลขที่-1 เพื่อรอคอยหลิงหยุนกลับมา
หลิงหยุนมองด้วยความแปลกใจพร้อมกับร้องถามขึ้นมา “นี่.. เจ้าเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าจะไปใหน?”
ตู้กู่โม่มีสีหน้าเศร้าสร้อย และดูผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รีบตอบกลับหลิงหยุนไปว่า “หลิงหยุน.. ข้าเพิ่งจะได้รับคำสั่งจากทางบ้านให้รีบกลับไปทันที!”
หลิงหยุนรู้สึกใจหายและถามไปว่า “ใช่เรื่องงานชุมนุมที่เขาหลงหู่หรือไม่?”
ตู้กู่โม่ถึงกับร้องถามออกมาด้วยความแปลกใจ “นี่เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยงั้นรึ?! แต่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ยังมีเรื่องอื่นอีก..”
เมื่อได้ยินว่าตู้กู่โม่มีเรื่องต้องกลับไปจัดการ หลิงหยุนจึงไม่ห้าม เขาได้แต่ตบบ่าตู้กู่โม่และพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเถิด.. อีกหนึ่งเดือนพวกเราค่อยพบกันที่เขาหลงหู่!”
ตู้กู่โม่เกาศรีษะ และยังคงนึกถึงกระบี่มังกรขาวด้วยความเสียดาย แล้วก็ถอนหายใจก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน..!”
หลิงหยุนร้องห้ามไว้ก่อนจะถามขึ้นว่า “เจ้าจะดื่มน้ำลายมังกรเสียหน่อยไหม? หรือจะนำติดตัวไปด้วย..”
สีหน้าของตู้กู่โม่ดูลังเล.. เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นอย่างมั่นใจ “ไม่ดีกว่า.. หลังจากที่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว ดูเหมือนว่าลมปราณภายในร่างกายของข้าจะแข็งแกร่งขึ้น ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คงต้องหาสาเหตุให้พบก่อน..”
หลิงหยุนได้แต่นึกขันอยู่ในใจ.. ‘นั่นเป็นพลังอมตะที่ข้าถ่ายเทให้กับเจ้าต่างหาก ดูเหมือนจะเริ่มออกฤทธิ์แล้วสินะ!’
แต่ถึงอย่างไรหลิงหยุนก็มั่นใจว่าตู้กู่โม่จะสามารถจัดการกับมันได้อย่างแน่นอน เขาจึงไม่รู้สึกเป็นห่วงสหายของเขานัก..
“แล้วพบกันที่เขาหลงหู่.. ข้าลาก่อน!”
หลังจากนั้น.. ตู้กู่โม่ก็หันไปโบกไม้โบกมือให้กับถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ แล้วก็กระโดดหายออกไปทันที
“พี่หยุน.. พี่ไม่ไปส่งพี่ตู้กู่เหรอ?”
หลิงหยุนมองแผ่นหลังของตู้กู่โม่พร้อมกับยิ้มแล้วส่ายหน้า “ต่อให้ส่งไกลพันลี้ก็ต้องจากกันอยู่ดี!”
แล้วทั้งสี่คนก็กลับไปนั่งคุยกันในบ้านอีกครู่ใหญ่ และจู่ๆ โทรศัทพ์มือถือของถังเมิ่งก็ดังขึ้น
“เบอร์ใคร?!” ถังเมิ่งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเบอร์ที่เขาไม่รู้จักพร้อมกับพึมพำออกมา
หลิงหยุนคิดในใจว่าน่าจะเป็นหลงเทียนเจียวติดต่อมาเรื่องค่าเสียหาย เขาจึงได้แต่ยิ้ม..
แล้วก็เป็นอย่างที่หลิงหยุนคาดคิด ถังเมิ่งรับโทรศัพท์พร้อมกับนิ่งฟังอีกฝ่ายพูดเพียงแค่สองสามคำ แล้วจึงวางสายและพูดขึ้นว่า
“พี่หยุน มีคนอยากจะพบฉัน ฉันต้องรีบไปก่อนแล้ว!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ให้ตี้เสี่ยวอู๋ไปเป็นเพื่อนนาย พวกนายสองคนต้องจำไว้ว่า ไม่ว่าอีกฝ่ายจะใหญ่โตหรือเก่งแค่ใหน อย่าได้ทำให้ฉันต้องเสียหน้า เข้าใจมั๊ย?”
“เข้าใจ..” ทั้งสองคนรับคำพร้อมกัน แล้วก็เดินออกจากห้องนั่งเล่น และขับรถหายออกจากบ้านไปทันที
หลังจากทั้งคู่ออกไปแล้ว หลิงหยุนก็หันไปพูดกับเหยาลู่ว่า “เหยาลู่.. คุณอยู่ดูแลบ้านนะ?”