ตอนแรกชายชุดปักดิ้นทองประหลาดใจมาก เขาพูด “%$@$@” กับตา卜ล่ำบึ้ก จากนั้นไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จู่ๆ ความงุนงงก็เปลี่ยนเป็นความเคารพเลื่อมใส ชายชุดปักดิ้นทองซึ่งมีสภาพเหมือนลูกหมาตกน้ำวิ่งมาคำนับตา卜ล่ำบึ้กอย่างนอบน้อมโดยไม่ถือสาเรื่องที่ตัวเองถูกเตะ แถมยังประคองผู้หญิงท้องโตคนนั้นมาโขกศีรษะคำนับเธออีกด้วย
ท่ามากจริงๆ
กู้จิ้งเบือนหน้าหนี คร้านจะมอง ภูตผีเท่านั้นถึงจะรู้ว่าพวกเขากำลังพูด ‘@%&*$’ อะไร
คิดไม่ถึงว่า ชายชุดปักดิ้นทองท่ามากเห็นเธอไม่สนใจ สีหน้าก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสและซาบซึ้งใจ
คงไม่ได้เป็นบ้าหรอกนะ?
เธอลุกขึ้นปัดฝุ่นบนบั้นท้าย ตั้งท่าจะเดินจากไป
แต่เพิ่งเดินไปได้สองก้าว ตา卜ล่ำบึ้กก็คว้าแขนเธอเอาไว้
ตา卜ล่ำบึ้กไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่มองเธอเฉยๆ เท่านั้น
ชั่ววินาทีนั้น กู้จิ้งไม่กล้ามองตาคู่นั้นตรงๆ เสียด้วยซ้ำ
ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความสงสารแกมจนใจ ซ้ำยังแฝงด้วยความรู้สึกผิด?
เธอกัดริมฝีปากพลางเบือนหน้าหนี ไม่ยอมมองเขา
เมื่อก่อนเธอปักใจเชื่อว่าตัวเองถูกจับมาขายที่หมู่บ้านชนบทล้าหลังห่างไกล ทำให้เห็นตา卜ล่ำบึ้กเป็นศัตรู เธอจึงดูแคลนเขา ใช้มีดแทงเขาไปสองครั้ง แถมยังพ่นสเปรย์กันหมาป่าใส่เขาอีกด้วย ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าตัวเองข้ามเวลามาในอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อน พอย้อนกลับไปนึกถึงครั้งแรกที่ได้พบเขารวมทั้งภาพต่างๆ ที่เขาดูแลเธอเป็นอย่างดี เธอก็จำต้องพูดว่า…
พี่ชาย นายเป็นคนดีจริงๆ!
หากเปลี่ยนเป็นเธอ ป่านนี้คงจะเอาตัวประหลาดที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าหนังไปมอบให้ทางการแลกเงินรางวัลหรือไม่ก็ใช้กระบองตีให้ตายไปแล้ว!
เธอทั้งหลอกเขา ดูถูกเขา แถมยังรังแกเขาต่างๆ นานา แต่เขากลับตามมาช่วยปกป้องเธอไม่ให้ถูกคนอื่นทุบตี ซ้ำยังช่วยเตะชายชุดปักดิ้นทองให้เธอด้วย?
กู้จิ้งไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองจะมองหน้าตา卜ล่ำบึ้กได้อย่างไร
ในตอนนั้นเอง ตา卜ล่ำบึ้กก็หยิบไข่ไก่ฟองหนึ่งออกมาจากถุงผ้าเนื้อหยาบแล้วยัดมันใส่มือของเธอ จากนั้นก็ส่งน้ำเต้ามาให้เธออีก
กู้จิ้งไม่พูดอะไร เธอยื่นมือไปรับไข่ไก่มากิน รับน้ำมาดื่มด้วยท่าทางเซื่องซึม
ตา卜ล่ำบึ้กฉวยโอกาสที่กู้จิ้งกำลังกินอาหารหยิบรองเท้าผ้าออกมาคู่หนึ่งแล้วก้มลงเปลี่ยนรองเท้าให้เธอ
มองดูผู้ชายที่กำลังเปลี่ยนรองเท้าให้ตัวเองแล้ว กู้จิ้งอยากร้องไห้เหลือเกิน
คิดไม่ถึงว่าเธอยังไม่ทันได้น้ำตาร่วง ตา卜ล่ำบึ้กซึ่งเหลือบมาเห็นเข้าก็ชะงักไปครู่หนึ่ง เขาพึมพำเบาๆ จากนั้นก็หยิบยาสมุนไพรออกมาพลางชี้ไปที่หลังของเธอ
เธอเข้าใจความหมายของเขาดี เขาจะดูบาดแผลบนแผ่นหลังให้
จริงๆ ในกระเป๋าหนังของเธอมียารักษาแผลที่ดีกว่านี้ แต่เธอก็ไม่พูดอะไร
ชายชุดปักดิ้นทองกับพวกจากไปหมดแล้ว ตา卜ล่ำบึ้กจึงพาเธอไปที่ป่าลับตาแล้วช่วยตรวจดูบาดแผลบนหลังให้ เห็นไม่ได้หนักหนาอะไร เขาก็ช่วยใส่ยาให้
เขายังคงใส่ยาให้เธอด้วยวิธีป่าเถื่อนที่สุดเหมือนตอนที่พบกันครั้งแรก แต่ครั้งนี้กู้จิ้งปล่อยให้เขาใส่ยาโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ตา卜ล่ำบึ้กใส่ยาให้เธอเสร็จก็ก้มลงจ้องหน้าเธอนิ่ง จากนั้นก็ใช้มือตบศีรษะเธอเบาๆ เป็นเชิงปลอบใจ
จู่ๆ เธอก็อยากจะร้องไห้
กู้จิ้งเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตา ปากพึมพำว่า “ฉันกลับไปไม่ได้แล้ว กลับไปไม่ได้แล้ว… ฉันอยากกลับบ้าน…”
ตา卜ล่ำบึ้กกลืนน้ำลายอึกหนึ่ง จากนั้นก็เอื้อมมือมากอดเธอเอาไว้
เธอซบหน้ากับบ่าของเขาร้องไห้โฮ
ตา卜ล่ำบึ้กพึมพำ “$%@$” เบาๆ เธอฟังไม่เข้าใจ แต่ไม่เป็นไร เธอไม่จำเป็นต้องเข้าใจ เธอแค่อยากให้ใครบางคนกอดเธอเอาไว้แล้วมอบความอบอุ่นให้เธอบ้างเท่านั้น
เธอสูญเสียครอบครัว, เพื่อน, เพื่อนร่วมงาน รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างในโลกยุคปัจจุบันไปจนหมด แต่อย่างน้อย ในโลกอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อนนี้ ก็มีใครบางคนที่ดีต่อเธอ
ร้องไห้อยู่นาน กู้จิ้งรู้สึกว่าร้องมากพอแล้ว เธอจึงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา
ตา卜ล่ำบึ้กหยิกแก้มเธอเบาๆ จากนั้นก็ให้เธอขี่หลังแล้วเดินย้อนกลับไปตามทางเล็กๆ สายนั้น
จริงๆ แล้วเท้าของเธอเจ็บมาก เขาให้ขี่หลังแบบนี้ก็สบายดีเหมือนกัน
กู้จิ้งแนบร่างกับแผ่นหลังของตา卜ล่ำบึ้ก วางศีรษะลงบนหลังของเขา มือทั้งสองโอบบ่าของเขาเอาไว้
แสงตะวันยามเย็นซึ่งลดความน่าเกรงขามลงไปมากสาดส่องลงบนร่างของเธอกับตา卜ล่ำบึ้ก สายลมฤดูร้อนพัดพาความเย็นชื้นในป่ามา ทำให้กู้จิ้งหรี่ตาลงอย่างมีความสุข
ชั่ววินาทีนี้ เธอคิดว่าตัวเองเกือบจะหลงรักผู้ชายคนนี้
แต่ชั่ววินาทีต่อมา เธอก็รู้สึกว่ามันอาจเป็นความเข้าใจผิดที่เกิดจากความซาบซึ้งใจที่มีผู้ชายคนหนึ่งมาคอยดูแลในยามที่เธอกำลังโดดเดี่ยวที่สุดก็เป็นได้
ถึงจะแบกเธอไว้บนหลัง แต่ฝีเท้าของตา卜ล่ำบึ้กก็ยังเร็วมาก ไม่นานนักก็กลับไปถึงเชิงเขา กู้จิ้งนึกถึงป้ายหินอันนั้นขึ้นมาก็รีบตบบ่ากว้างของเขาเบาๆ
ตา卜ล่ำบึ้กหันกลับมามอง เธอก็ชี้ป้ายหินนั้นให้เขาดู
เขาวางเธอลงแล้วประคองเธอเดินไปที่ป้ายหินอันนั้น
กู้จิ้งลูบตัวอักษรสีดำสามตัวที่แสนจะคุ้นเคยนั้นเบาๆ จากนั้นจึงกระโดดขึ้นไปบนก้อนหินขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง สายลมยามเย็นในฤดูร้อนพัดเส้นผมของเธอปลิวสยาย กู้จิ้งหลับตาลง ปล่อยให้ตัวเองรับรู้ถึงสัมผัสของสายลมในโลกอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เธอก็มาที่ยุคสมัยนี้แล้ว และคงไม่มีวันกลับไปได้อีก
ในเมื่อกลับไปไม่ได้ เธอก็ต้องมีชีวิตอยู่ในยุคสมัยนี้ต่อไป
คิดได้เช่นนี้ เธอก็ยิ้มพลางกำหมัดแน่นเป็นการให้กำลังใจตัวเอง “โชคดีที่คุณยายบอกให้ฉันเรียนหมอมาตั้งแต่เด็ก”
ประสบการณ์การเรียนรู้ของเธอแตกต่างจากผู้อื่นที่เรียนไปทีละขั้นทีละตอน ตั้งแต่ตอนที่เธอยังอายุน้อยมากๆ ก็ถูกคุณพ่อบังคับให้อ่านตำราแพทย์พื้นฐาน เธอได้รับการชี้แนะจากคุณพ่ออยู่บ่อยๆ แถมยังมีโอกาสฝึกฝนทางลัดอย่างที่ผู้คนมากมายไม่มีโอกาสจะได้รับในวัยเพียงแค่นี้
กู้จิ้งลืมตาขึ้นมองดวงอาทิตย์ยามอัสดงพลางตะโกนเสียงดังว่า “ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันจะต้องอยู่ต่อไปให้ได้!”
เซียวเถี่ยเฟิงยืนอยู่ตรงเชิงเขาเว่ยอวิ๋น
เขามองดูปีศาจสาวกระโดดขึ้นไปบนหินก้อนใหญ่ แสงสีแดงเพลิงของดวงตะวันยามอัสดงสาดส่องลงบนใบหน้างดงามของนาง สายลมยามค่ำพัดเส้นผมสีดำราวแพรต่วนของนางปลิวสยาย ช่างงดงามเหลือเกิน
บนร่างนางสวมเพียงเสื้อคลุมสีครามของเขา แม้จะดูลวกๆ ไม่ประณีตงดงามสักนิด แต่เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางสายลมเช่นนี้ ก็ให้ความรู้สึกสง่างามราวเทพธิดาไม่มีผิด
มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่เซียวเถี่ยเฟิงคิดว่า นางจะลอยตามลมไปเสียอีก
เขาเม้มปากพลางจ้องปีศาจสาวนิ่ง ในใจอดคิดไม่ได้ว่าแม้นางจะเป็นปีศาจ แต่ก็เป็นปีศาจที่มีจิตใจดีงาม
นางอยู่กับเขามาหลายวัน ทั้งที่มีอาคม แต่นางก็ไม่เคยบังคับดูดไอหยางไปจากเขา ถึงสุดท้ายจะดูดไอหยางของเขาไปเพราะความจำเป็น แต่อย่างน้อยนางก็ยังไว้ชีวิตเขา ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากลงเขาไปแล้ว นางยังใช้อาคมช่วยชีวิตผู้หญิงคนนั้นเอาไว้โดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเองอีกด้วย!
เขายังจำท่าทางน่าสงสารของนางที่นั่งคอตกอยู่บนตอไม้หลังจากถูกทุบตี รวมทั้งภาพที่นางซบหน้าร่ำไห้อยู่กับบ่าของเขาได้ดี
ที่แท้นางมีเรื่องเสียใจอะไรกันแน่ ทำไมถึงไม่กลับเข้าไปในป่า นางกลับไปไม่ได้แล้วอย่างนั้นหรือ?
เซียวเถี่ยเฟิงนึกถึงตอนที่พบกันครั้งแรก เขาหวาดระแวงปีศาจสาวมาก คิดว่านางอาจจะดูดไอหยางหรือไม่ก็คร่าชีวิตผู้คน คิดว่านางไม่เหมือนกับมนุษย์ทั่วไป
ตอนนี้มาคิดดู บางทีในโลกของปีศาจก็อาจมีปัญหาต่างๆ มากมาย บางทีปีศาจสาวตนนี้อาจต้องหนีมายังโลกมนุษย์เพราะมีความจำเป็นก็เป็นได้
แถมนางอาจจะกลับไปไม่ได้อีกแล้ว
ถูกเข้าใจผิด ไม่เข้าใจภาษา ถูกผู้คนทุบตีจนร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผล แต่นางกลับได้แต่ซบหน้าร้องไห้กับบ่าของเขา
ระหว่างที่คิดเช่นนี้ เขาก็เห็นนางโบกแขนไปมาอย่างสง่างามพลางพูดอะไรบางอย่าง
เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงข้างก้อนหินแล้วยื่นมือไปหานาง
ปีศาจสาวหันมายิ้มให้เขา
รอยยิ้มของนางทำให้แสงตะวันยามอัสดงดูจืดจาง แม้กระทั่งขุนเขาและสายน้ำเขียวขจีก็ไม่อาจเทียบกับความงามของนางได้เลย
เซียวเถี่ยเฟิงจ้องนางด้วยความหลงใหล ไม่อาจถอนสายตาไปไหนได้อีก
ปีศาจสาวกางแขนออกแล้วกระโดดลงมาสู่อ้อมอกของเขาราวกับนกน้อยที่มีความสุข
เขากอดนางไว้แนบอก ตามองดูขุนเขาทอดยาวสลับซับซ้อนแล้วก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย ให้ปลายคางของตัวเองสัมผัสกับเส้นผมของนาง
สายลมพัดเส้นผมของนางมาสัมผัสกับใบหน้าของเขาเบาๆ
“กลับไปไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี เจ้า…”
เขาชะงักไปเล็กน้อย “อยู่เป็นเพื่อนข้าในโลกมนุษย์เถิด”
เซียวเถี่ยเฟิงแบกปีศาจสาวกลับเข้าไปในภูเขา เส้นทางบนภูเขาคดเคี้ยวไปมา แถมฟ้าก็มืดแล้ว ทำให้เดินลำบาก แต่เขาอยากพาปีศาจสาวกลับบ้านให้เร็วที่สุด ดังนั้น นอกจากหยุดพักป้อนอาหารให้นางแล้ว เขาก็ไม่ยอมเสียเวลาอีกแม้แต่เสี้ยวขณะเดียว
ในที่สุด เมื่อพระจันทร์ลอยเด่นอยู่เหนือภูเขา เขาก็กลับไปถึงหมู่บ้าน
ตอนที่เข้าไปในหมู่บ้าน หมาที่มีชื่อว่าวั่งไฉส่งเสียงเห่าไม่หยุด
เสียงเห่าของเจ้าวั่งไฉเรียกผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเมียของใครให้ออกมาดู พอเห็นเขา นางก็ตะโกนว่า “เถี่ยเฟิงพาเมียที่มีอาคมกลับมาแล้ว!”