เสียงตะโกนของผู้หญิงคนนั้นหวีดแหลมจนสั่นสะเทือนไปทั้งหมู่บ้าน ไม่นานนัก คนทั้งหมู่บ้านก็โผล่ออกมาล้อมเซียวเถี่ยเฟิงกับปีศาจสาวเอาไว้

“เถี่ยเฟิง เจ้าพาเมียของเจ้ากลับมาจนได้” หนิวปาจินขยี้เท้าด้วยความจนใจก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม “เจ้าพานางกลับมา ต่อไปจะทำยังไงกัน?”

หญิงสาวผู้เป็นมารดาของเด็กที่ตกใจจนเสียขวัญเบียดผู้คนเข้ามาร้องตะโกนด้วยความโกรธแค้น “ลูกข้ากลับไปก็ตกใจร้องไห้อยู่ตั้งสองวันสองคืน ร้องจนเสียงแหบไปหมดแล้ว! เถี่ยเฟิง เจ้าเป็นคนดี แต่เมียของเจ้าเป็นตัวซวย!”

สาวน้อยท่าทางเอียงอายคนหนึ่งเหลือบมองหญิงสาวบนหลังของเซียวเถี่ยเฟิงพลางกล่าวเสียงเบา “พี่เถี่ยเฟิง ท่านหย่ากับนางเถิด ดูท่าทางนางไม่ใช่คนดีเลย”

แม่สื่อชราจ้าวยาจื่อได้ยินเช่นนี้ก็รีบเสริมขึ้นบ้าง “เถี่ยเฟิง ข้าบอกแล้วว่าเจ้ามันโง่ แต่งงานกับสาวๆ สวยๆ ไม่ดีตรงไหน? ดันไปแต่งกับผู้หญิงแบบนี้ได้ หน้าตาก็น่าเกลียด เทียบกับชุนเถาไม่ได้เลยสักนิด!”

ปีศาจสาวบนหลังของเซียวเถี่ยเฟิงกำลังก้มลงขบเนื้อตรงบ่าของเขา

เขาสูดหายใจลึก อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ก็มีแต่ต้องอดกลั้น เขาฉวยโอกาสใช้ความมืดเป็นเกราะกำบัง แอบยกมือขึ้นหยิกเอวนางเบาๆ เป็นเชิงเตือนไม่ให้นางทำอะไรประเจิดประเจ้อ

แต่ปีศาจสาวกลับจงใจบิดสะโพกไปมา

เขากลั้นใจนิ่ง พยายามสะกดเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นในอกเอาไว้

เซียวเถี่ยเฟิงสูดหายใจลึกก่อนจะกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาสงบนิ่ง สุดท้ายสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ร่างของสาวน้อยนามชุนเถา

เขารู้ว่าตั้งแต่เขากลับมา ชุนเถาก็เหมือนจะมีใจให้เขา ทุกครั้งที่เขาออกไปทำงาน นางมักจะแอบมองเขาเสมอ

จริงๆ เขาเองก็เคยคิดว่า รอให้ชุนเถาโตกว่านี้อีกสักปีสองปี จะแต่งนางมาเป็นภรรยา จากนั้นก็มีลูกสักสองสามคน ชีวิตแบบนั้นก็ไม่เลวเหมือนกัน

แต่เขากลับได้มาพบกับปีศาจสาวเข้าเสียก่อน แผนการทั้งหมดที่เคยวางไว้จึงถูกล้มเลิกไปโดยปริยาย

“นางอาจจะไม่ใช่คนดี แต่ก็ไม่ใช่คนเลว ตอนอยู่ที่เชิงเขานางเพิ่งช่วยหญิงมีครรภ์คนหนึ่งเอาไว้” เซียวเถี่ยเฟิงอธิบาย “ข้าเชื่อว่านางไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใครทั้งสิ้น เรื่องก่อนหน้านี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด เราค่อยๆ นั่งลงคุยกัน ค่อยๆ อธิบายกันได้ ส่วนเรื่องที่นางทำให้ใครตกใจหรือทำร้ายใคร ข้าต้องขอโทษทุกคน และจะชดใช้ให้ทุกคนแทนนางเอง”

ชุนเถาเห็นพี่เถี่ยเฟิงมองมาใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ หัวใจเต้นแรงไม่หยุด คิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยปากออกหน้าแทนภรรยาของเขา สาวน้อยนิ่งอึ้งไป นางมองหญิงสาวบนหลังของพี่เถี่ยเฟิงแล้วน้ำตาก็เอ่อขึ้นมาคลอตา จากนั้น นางก็หันหลังวิ่งหนีไป

เซียวเถี่ยเฟิงย่อมเห็นชุนเถาวิ่งหนีไป แต่เขาไม่สนใจ สายตาของเขาเบนกลับไปที่แม่สื่อชราจ้าวยาจื่อ

“นางสวยมาก”

คำพูดของเขาทำให้แม่สื่อชราพูดไม่ออก “สวยตรงไหนกัน? เจ้าดูหน้าตานางสิ ในสิบเจ็ดหมู่บ้านบนเขาเว่ยอวิ๋นเรา ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็หน้าตาดีกว่านางเป็นร้อยเท่าทั้งนั้น!”

ใบหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงไร้ความรู้สึก “นางเป็นเมียของข้า เมียของข้าสวยมาก ใครพูดว่านางไม่สวย คนนั้นคือศัตรูของข้า”

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนได้แต่หันไปมองหน้ากันตาปริบๆ

อัปลักษณ์ขนาดนี้ ยังกล้าพูดว่าสวยอีกหรือ?

เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่สนใจพวกเขาอีก เขาสะพายถุงหนังสีดำของปีศาจสาวไว้บนไหล่พลางกอดกระชับร่างนางให้แน่นขึ้น เตรียมกลับบ้าน

คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์สิบกว่าคนจะขยับมาขวางหน้าเขาเอาไว้

ผู้นำกลุ่มคือจ้าวจิ้งเทียน หัวหน้าของเหล่าพรานในรัศมีแปดร้อยลี้ของเขาเว่ยอวิ๋น บุตรชายของจ้าวฝูชาง ผู้นำของตระกูลจ้าว

 

จู่ๆ ชายฉกรรจ์สิบกว่าคนก็ขยับมาขวางหน้าเขาเอาไว้

สีหน้าของเซียวเถี่ยเฟิงไม่เปลี่ยนสักนิด “จิ้งเทียน มีอะไรหรือ?”

เขากับจ้าวจิ้งเทียนคลุกคลีอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นทารกเปลือยก้น พวกเขาเคยวิวาทกัน เคยดื่มสุราด้วยกัน ทั้งยังเคยล่ากวางฆ่าหมาป่าบนภูเขาด้วยกัน มิตรภาพที่ยาวนานเช่นนี้ สมควรเป็นสหายร่วมตายกันได้

แต่หลังจากโตขึ้น เขาไปจากเขาเว่ยอวิ๋น ส่วนจ้าวจิ้งเทียนสืบทอดตำแหน่งของบรรพบุรุษ เป็นหัวหน้าเหล่านายพรานในรัศมีแปดร้อยลี้ของเขาเว่ยอวิ๋น นับแต่นั้นมา พวกเขาก็แยกจากกัน พอกลับมาพบกันอีกครั้ง แม้จะตบบ่ากันและดื่มสุรากาเดียวกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนสมัยเด็กได้อีกแล้ว

ครั้งนั้นเมื่อเขาจากไป ตาเฒ่าเซียวซึ่งมีอายุมากที่สุดในหมู่บ้านเคยพูดว่า เขาเว่ยอวิ๋นเป็นดินแดนของคนหนุ่ม เสือสองตัวไม่อาจอยู่ในถ้ำเดียวกัน เจ้าไปเสียก็ดีเหมือนกัน

ภายหลังเมื่อเขากลับมา ตาเฒ่าเซียวก็แก่ชรามากจนแทบจะพูดไม่ไหวแล้ว ตาเฒ่าได้แต่จ้องหน้าเขาแล้วถอนใจคำหนึ่ง จากนั้นก็สิ้นลมไป

ชายฉกรรจ์เปลือยอกยืนตระหง่านอยู่ใต้แสงจันทร์ ดวงตาจ้องเพื่อนรักที่เติบโตมาด้วยกันนิ่ง

“เถี่ยเฟิง เราเป็นพี่น้องกัน ข้าจะไม่พูดให้มากความ เจ้าเข้าไปในหมู่บ้านได้ แต่ผู้หญิงคนนี้ต้องไป”

คำพูดของจ้าวจิ้งเทียนก็เหมือนกับนิสัยของเขา ตรงไปตรงมา เน้นหนักทุกถ้อยคำ

เซียวเถี่ยเฟิงมองจ้าวจิ้งเทียน

หัวหน้าพรานบนภูเขา คำพูดทุกคำไม่ต่างจากตะปูที่ตอกลงบนพื้น พูดคำไหนก็คือคำนั้น ไม่มีช่องว่างใดๆ ให้เจรจาทั้งสิ้น

จ้าวจิ้งเทียนนำพาชายฉกรรจ์สิบกว่าคนมาขวางเขาเอาไว้ บอกชัดว่าจะไม่ให้เขาเข้าไปในหมู่บ้านเด็ดขาด

คนตระกูลเซียวที่ด้านข้างทนดูไม่ได้ เซียวซู่หลี่มีศักดิ์เป็นอาของเซียวเถี่ยเฟิง นับได้ว่าเป็นบุคคลที่มีน้ำหนักในเขาเว่ยอวิ๋น เห็นเช่นนี้ก็ก้าวออกมาไกล่เกลี่ย

“เถี่ยเฟิง เมียของเจ้าทำร้ายคนในหมู่บ้าน อย่างน้อยก็สมควรให้นางขอโทษทุกคนแล้วสาบานว่าต่อไปจะไม่ก่อเรื่องอีก”

คนตระกูลเซียวคนอื่นๆ พากันพยักหน้าสนับสนุน “ใช่ หลายปีมานี้เถี่ยเฟิงลำบากไม่น้อย ยากนักกว่าจะมีเมียสักคน พวกเจ้านึกจะไล่ก็ไล่ไปงั้นหรือ?”

ใบหน้าของจ้าวจิ้งเทียนแข็งกระด้างราวหินผา มุมปากของเขาขยับเล็กน้อย แต่เขาก็เพียงหันกลับไปกวาดตามองทุกคนโดยไม่พูดอะไร

ถึงอย่างไรข้างกายเขาก็มีจ้าวจิ้งหวินอยู่ทั้งคน เขาเป็นคนตระกูลจ้าว ปกติก็มักจะคอยติดตามอยู่ข้างกายจ้าวจิ้งเทียนเสมอ

“สาบานงั้นรึ? มีประโยชน์อะไร! ถ้ามีใครตายไปสักคน ต่อให้เอาเมียเขามาชดเชยแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? เมียเขามีค่าสักกี่อีแปะ? เมื่อครู่ใครเป็นคนพูด ก้าวออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น พวกเจ้าต้องชดใช้ร่วมกับผู้หญิงคนนี้!”

คำพูดของจ้าวจิ้งหวินทำให้จ้าวจิ้งเทียนขมวดคิ้วแน่น แต่เขาก็พยักหน้าก่อนจะหันไปกล่าวกับเซียวเถี่ยเฟิง “เถี่ยเฟิง คำพูดของจิ้งหวินอาจจะหยาบคายไปหน่อยแต่ก็มีเหตุผล เจ้าจะว่ายังไง?”

หนิวปาจินที่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ก็แค่นยิ้มเย็น “ใครผายลมกัน ทำไมถึงได้มีกลิ่นตุๆ?”

คำพูดของเขาทำให้จ้าวจิ้งหวินโมโหขึ้นมาทันที เขาพุ่งตรงมากระชากเสื้อหนิวปาจิน “แม่มึงด่าใครวะ?”

หนิวปาจินเองก็อารมณ์เสีย “ใครผายลมก็ด่าคนนั้นแหละ! ทำไม? เจ้ารู้สึกว่าตัวเองเหม็นรึไง?”

ทั้งสองตั้งท่าจะวิวาทกัน โชคดีที่คนอื่นๆ ช่วยกันห้ามเอาไว้

จ้าวจิ้งเทียนเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้นแล้วก็ยกเท้าขึ้นเหยียบก้อนหินข้างกาย หินก้อนนั้นแตกละเอียดไปทันที

เมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดเช่นนี้ เรี่ยวแรงและความน่าเกรงขามนั้นก็ดูน่าตื่นตระหนกมากเป็นพิเศษ ทุกคนพากันนิ่งเงียบ ตาหันไปมองจ้าวจิ้งเทียนที หันไปมองเซียวเถี่ยเฟิงทีด้วยความอึดอัด

พวกเขาไม่รู้ว่าเรื่องในวันนี้จะจบลงอย่างไร

เซียวซู่หลี่เห็นเช่นนี้ก็ถอนใจคำหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองเซียวเถี่ยเฟิง “เถี่ยเฟิง เจ้าก็พูดซักคำ ต่อไปเจ้าจะควบคุมเมียของเจ้าอย่างไร?”

คนฉลาดต่างก็มองออกว่าคำพูดของเขาเป็นการไว้หน้าจ้าวจิ้งเทียน แต่ก็ช่วยเปิดทางให้เซียวเถี่ยเฟิง ขอเพียงเซียวเถี่ยเฟิงพูดว่าต่อไปจะควบคุมภรรยาให้ดี จ้าวจิ้งเทียนก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก เรื่องในวันนี้ย่อมต้องยุติลงเพียงแค่นี้

แต่เซียวเถี่ยเฟิงกลับยกมือขึ้นประคองบั้นท้ายของหญิงสาวบนหลังก่อนจะกวาดตามองญาติสนิทมิตรสหายทุกคนแล้วกล่าวว่า “ข้าไปก็หมดเรื่องแล้วสินะ”

เขาเอ่ยช้าๆ แต่หนักแน่น ราวกับว่าได้ตัดสินใจแล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจอีก

คนตระกูลเซียวนิ่งอึ้งไปทันที

หากเซียวเถี่ยเฟิงไป ตระกูลเซียวก็ไม่เหลือใครที่โดดเด่นพอจะต่อกรกับตระกูลจ้าวได้อีก

หมู่บ้านเว่ยอวิ๋นใต้แสงจันทร์ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัด มีเพียงเจ้าวั่งไฉที่ยังคงส่งเสียงเห่าเป็นพักๆ

หนิวปาจินทนไม่ไหวอีก เขากระโดดออกมาร้องโวยวายด้วยความโมโห “เซียวเถี่ยเฟิง เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เมียคนนี้โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ต้องปกป้องขนาดนี้ด้วยหรือ? ไม่มีก็หาใหม่สักคนไม่ได้หรือ? คนตระกูลเซียวตระกูลหนิวที่นี่ต่างก็อยากให้เจ้าอยู่ แต่เพื่อผู้หญิงอัปลักษณ์คนนี้ เจ้ากลับไม่ยอมแม้แต่จะผายลมสักคำ จู่ๆ ก็คิดสะบัดหน้าจากไปเสียเฉยๆ?”

จ้าวจิ้งเทียนหรี่ตามองเซียวเถี่ยเฟิงนิ่ง

“พี่น้อง วันนี้ไม่ใช่ข้าจ้าวจิ้งเทียนแกล้งให้เจ้าลำบากใจ แต่เจ้าก็ต้องคิดเพื่อคนในหมู่บ้านบ้าง เจ้าคงเข้าใจการกระทำของข้าในวันนี้ดี”

เซียวเถี่ยเฟิงมองกลับไปด้วยสายตาสงบนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้า

จากนั้นเขาก็หันไปมองหนิวปาจิน สายตาของเขาทำให้หนิวปาจินหนาวสันหลังอย่างบอกไม่ถูก

“ต่อไป ข้าไม่อยากได้ยินใครพูดว่านางอัปลักษณ์อีก”

กล่าวจบ เขาก็แบกปีศาจสาวเดินออกจากหมู่บ้านไปทีละก้าวๆ