เซียวซู่หลี่ผู้มีศักดิ์เป็นอาส่ายหน้าพลางทอดถอนใจ “เถี่ยเฟิงตาบอด ใจก็บอดไปแล้ว! เสียดาย เสียดายจริงๆ!”
ผู้หญิงหน้าตาธรรมดาแบบนั้น เขากลับเห็นเป็นสมบัติล้ำค่า?
“เจ้าหน้าตาสวยขนาดนี้ พวกเขากลับพูดว่าเจ้าน่าเกลียด เจ้าไม่ชอบให้คนอื่นพูดว่าเจ้าน่าเกลียดใช่ไหม**?”**
“พวกเขากลัวเจ้าก็เลยไม่ยอมให้เราเข้าไปในหมู่บ้าน”
“ไม่เป็นไร ถ้าอย่างนั้นเราก็ไม่เข้าไปในหมู่บ้าน เราจะไปหาที่อยู่ที่อื่นแทน”
“เจ้าหิวหรือยัง? ข้าจะไปหาอาหารมาให้”
“เจ้าอยากกินอะไร? ไข่นกหรือว่าไข่ไก่?”
“ฟันของเจ้ากินเนื้อได้ไหม? เจ้าชอบกินเนื้ออะไร?”
เซียวเถี่ยเฟิงกล่าวคำพูดมากมาย แต่ปีศาจสาวบนหลังกลับไม่ตอบกลับมาสักคำ เขาอดประหลาดใจไม่ได้ พอเงี่ยหูฟังก็ได้ยินเสียงหายใจแผ่วเบาเป็นจังหวะ
ที่แท้นางก็หลับไปแล้ว
“ช่างไร้หัวใจเสียจริง ปีศาจล้วนไม่มีน้ำใจเหมือนกับเจ้าหรือเปล่า?”
เขาส่ายหน้าด้วยความจนใจพลางก้าวข้ามคูน้ำ
“วันไหนโยนเจ้าลงไปในคูน้ำ เจ้ายังจะเอาแต่นอนอีกหรือไม่?”
“จริงๆ ข้าสงสัยมาตลอด คืนที่เราได้พบกันครั้งแรก ทำไมเจ้าถึงวิ่งไปชนตอไม้ล่ะ? เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? ใช้อาคมไม่สำเร็จ? หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกแล้ว?”
เซียวเถี่ยเฟิงแบกปีศาจสาวเดินอยู่ท่ามกลางสายลมเย็นฉ่ำกับแสงจันทร์สว่างพลางฟังเสียงร้องดังกังวานของแมลงในพงหญ้า จากนั้นก็อดยิ้มหยันตัวเองไม่ได้
“ข้าโง่หรือเปล่า พูดกับเจ้าตั้งมากมายทั้งที่เจ้าหลับไปแล้ว แต่ถึงจะตื่นอยู่ เจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
กำลังพูดอยู่คนเดียว จู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาจากด้านหลัง เซียวเถี่ยเฟิงหยุดชะงัก ในเวลาเช่นนี้ คนในหมู่บ้านน่าจะพักผ่อนกันหมดแล้ว ยังจะมีใครมาเดินอยู่ข้างนอกเหมือนเขาอีก?
คนคนนั้นหอบหายใจหนัก ไม่นานนักก็ไล่ตามมาทัน
ผู้มาคือแม่ม่ายซิ่วเฟิน
จริงๆ แล้วแม่ม่ายซิ่วเฟินกับเซียวเถี่ยเฟิงมีอายุไล่เลี่ยกัน ทั้งยังเติบโตมาด้วยกัน ตอนที่เขากับจ้าวจิ้งเทียนอายุห้าหกขวบ ยังไม่ค่อยรู้ความ พวกเขาชอบเล่นแต่งงานเลียนแบบผู้ใหญ่ สมัยนั้นเขากับจ้าวจิ้งเทียนเป็นหัวโจกของเด็กๆ ทั้งหลาย พวกเขาเคยดีกัน เคยทะเลาะกัน และส่วนใหญ่ที่ทะเลาะกันก็เป็นเพราะแย่งชิงอาณาเขตกับแย่งเจ้าสาวนั่นเอง
เจ้าสาวที่พวกเขาแย่งชิงกันในตอนนั้นก็คือแม่ม่ายซิ่วเฟิน
สมัยเด็กๆ ซิ่วเฟินหน้าตาดีมาก ใครเห็นใครก็รัก ปากน้อยๆ ช่างจำนรรจารู้จักพูดคำหวานเอาใจผู้คน นางมีเล่ห์เหลี่ยมไม่น้อย แถมยังเปลี่ยนนิสัยเร็วราวกับพลิกฝ่ามือ วันนี้ดีกับเซียวเถี่ยเฟิง พรุ่งนี้วิ่งตามหลังจ้าวจิ้งเทียนเรียกพี่ชาย ทำให้เพื่อนรักทั้งสองต้องทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ่อยๆ
ต่อมาซิ่วเฟินอายุมากขึ้น อายุแค่สิบสามสิบสี่ปี ส่วนที่ควรเว้าก็เว้า ส่วนที่ควรโค้งก็โค้ง มีเสน่ห์ชวนให้ผู้คนหลงใหล แต่ตอนนั้นฐานะของเซียวเถี่ยเฟิงกับจ้าวจิ้งเทียนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว ตระกูลจ้าวมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เซียวเถี่ยเฟิงกลับสูญเสียบิดามารดา กลายเป็นลูกกำพร้า ต้องอาศัยอยู่กับอาสะใภ้ ใช้ชีวิตไปวันๆ เท่านั้น
เซียวเถี่ยเฟิงคิดมาตลอดว่าซิ่วเฟินคงจะแต่งงานกับจ้าวจิ้งเทียน เพราะตอนที่จากไปนั้น เขาได้ยินว่าทั้งสองเริ่มมีความสัมพันธ์ต่อกัน
คิดไม่ถึงว่าพอกลับมา นางจะกลายเป็นแม่ม่ายสามีตาย ส่วนจ้าวจิ้งเทียนก็แต่งงานกับสตรีบ้านอื่น
เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้วมองสตรีที่วิ่งตามมา
“เจ้าตามมาทำไม ฟ้ามืดแล้ว บนภูเขาอันตราย รีบกลับหมู่บ้านไปซะ”
ซิ่วเฟินหอบหายใจแรง
เซียวเถี่ยเฟิงเดินเร็วมาก นางแอบตามพวกเขาออกมาจากหมู่บ้านโดยใช้ทางลัด คิดไม่ถึงว่ายังต้องรีบแทบตายกว่าจะไล่ตามทัน
นางยกมือขึ้นกดตรงตำแหน่งหัวใจพลางพยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติ ตาก็แอบมองหญิงสาวบนหลังของเซียวเถี่ยเฟิง
ผู้หญิงคนนั้นซบอยู่บนบ่าของเซียวเถี่ยเฟิง ศีรษะเอียงน้อยๆ อย่างแสนสบาย ใบหน้าแนบชิดกับบ่าของเขา เหมือนกำลังหลับสนิท
“เจ้าจะไปแบบนี้เลยหรือ?” พอเอ่ยปากพูดได้ นางกลับกล่าวคำพูดนี้ออกมาเป็นประโยคแรก
“อะไรนะ?” เซียวเถี่ยเฟิงขมวดคิ้ว หมายความว่าอย่างไรกัน?
“เจ้าจะไปแบบนี้เลยหรือ!” ซิ่วเฟินกัดริมฝีปากพลางเหลือบตามองเขา
เซียวเถี่ยเฟิงชะงักไปครู่หนึ่งก็กวาดตามองนางอีกรอบ
เพราะรีบร้อนเดินทางมา ใบหน้าของนางก็เลยเป็นสีแดงก่ำ ลำคอขาวสะอาดชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อแต่นางก็ไม่สนใจจะเช็ด ยังคงเอาแต่จ้องเขาตาเขม็ง
“ใช่” เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะอธิบายว่า “คนตระกูลเซียวกับตระกูลหนิวย่อมอยากให้ข้าอยู่ หากข้าดึงดันอยู่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ไม่ว่าตระกูลจ้าวใหญ่โตแค่ไหนก็ยังไม่ถึงขั้นใช้มือเดียวปิดฟ้า ในหมู่บ้านยังมีคนตระกูลเซียวตระกูลหนิวรวมทั้งคนแซ่อื่นๆ คนตระกูลเซียวกับตระกูลหนิวอยากให้เขาตั้งตนเป็นศัตรูกับตระกูลจ้าว แย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าพรานมา ย่อมต้องหาหนทางช่วยให้เขาได้อยู่ต่อ
“แต่หากข้าอยู่ต่อย่อมเป็นการหักหน้าจิ้งเทียน เขาคงจะไม่พอใจมาก ถ้าเขาไม่พอใจ ต่อไปตระกูลจ้าวกับตระกูลเซียวก็จะกลายเป็นศัตรูกัน หลายปีมานี้ทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ไม่เลว ล้วนเป็นเพราะความดีความชอบของตระกูลจ้าว และเป็นเพราะทุกคนร่วมแรงร่วมใจกัน หากคนในหมู่บ้านแตกสามัคคีกัน เขาเว่ยอวิ๋นคงไม่มีวันสงบสุขอีก”
นี่เป็นความในใจซึ่งเขาไม่คิดจะบอกให้ใครฟัง แต่ในเมื่อซิ่วเฟินวิ่งตามมา เขาก็ยอมเปิดปากอธิบายให้ฟัง
แม้ตอนนี้จะไม่สนิทสนมกันเหมือนก่อน แต่เขากับนางก็รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แถมนางยังไล่ตามมาด้วยความร้อนใจเช่นนี้
“ใคร…ใครอยากให้เจ้าพูดเรื่องนี้!” ซิ่วเฟินได้ยินเช่นนี้ก็แทบพูดไม่ออก นางมองเซียวเถี่ยเฟิงด้วยสายตาตัดพ้อ “เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าอยากได้ยินอะไร หรือที่แท้เจ้าจงใจกันแน่!”
“เจ้าอยากได้ยินอะไร?” เซียวเถี่ยเฟิงงุนงงมาก เห็นฟ้ามืดแล้วเขาก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา ปีศาจสาวไม่ได้กินอะไรมาตั้งนานแล้ว คืนนี้เขายังต้องหาที่พักให้นางอีก
“เซียวเถี่ยเฟิง เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่!” ซิ่วเฟินกระทืบเท้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงคับแค้น “ทำไมตอนนั้นเจ้าถึงได้จากไป? ในเมื่อจากไปแล้ว ทำไมต้องกลับมาอีก!”
คราวนี้เซียวเถี่ยเฟิงถึงกับพูดไม่ออก
ทำไมตอนนั้นถึงได้จากไป เขาย่อมมีเหตุผลของเขา ส่วนที่ว่าทำไมถึงกลับมาอีก เรื่องนี้เขาเองก็ไม่มีทางเลือก
แต่เรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ด้วย?
“เจ้ายังมีอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีข้าต้องไปก่อนแล้ว เจ้าเองก็รีบกลับหมู่บ้านไปเสียเถิด”
ในตอนนั้นเอง ปีศาจสาวซึ่งอยู่บนหลังก็ขยับปากจั๊บๆ ทำให้น้ำลายไหลลงมาเลอะบ่าของเขา เขาก็ยิ่งรู้สึกว่านางคงกำลังหิวมากเป็นแน่
“เจ้า…เจ้า…” น้ำตาของซิ่วเฟินร่วงลงมา “หลังจากเจ้ากลับมา ได้ยินคนอื่นนินทาว่าร้ายข้าก็เลยดูถูกข้าใช่ไหม?”
“ข้าเปล่า” แม้ว่ายามนี้เขาจะถูกปากน้อยๆ ของปีศาจสาวขบบ่าจนแทบทนไม่ไหว แต่เขาก็ยังพยายามอดทนอธิบายให้ซิ่วเฟินฟัง “หนึ่ง ข้าไม่เคยได้ยินใครนินทาว่าร้ายเจ้า สอง ต่อให้คนอื่นนินทาว่าร้ายเจ้า ข้าก็ไม่มีทางดูถูกเจ้าแน่”
ซิ่วเฟินได้ยินเช่นนี้ก็ก้มหน้านิ่งไม่พูดไม่จา สุดท้ายนางก็เงยหน้าขึ้นปรายตามองเขา
“ก่อนหน้านี้เจ้าคิดจะแต่งงานกับชุนเถาไม่ใช่หรือ? ทำไมจู่ๆ ถึงได้มีเมียโผล่ออกมาเล่า?”
คิ้วเข้มของเซียวเถี่ยเฟิงขมวดแน่น แต่ก็ยังยอมอธิบาย
“เมื่อก่อนเราพลัดหลงกัน ข้าคิดว่านางตายไปแล้ว ตอนที่จ้าวยาจื่อมาบอกว่าชุนเถามีใจให้ ข้าคิดว่าแต่งงานกับนางก็ไม่เลว แต่คิดไม่ถึงว่าเมียของข้าจะมาตามหาข้า”
ในที่สุดซิ่วเฟินก็เข้าใจ นางเหลือบตามองสตรีที่ซบอยู่บนหลังของเขาอีกครั้ง คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกำลังมองนางอยู่พอดี ดวงตาดำขลับคู่นั้นจ้องนางเขม็ง ไม่รู้เหมือนกันว่ามองอยู่นานแค่ไหนแล้ว
ทั้งที่รูปโฉมไม่มีอะไรโดดเด่น แต่ดวงตาคู่นั้นกลับใสกระจ่าง เวลามองมาก็ทำให้ผู้คนอดขนลุกไม่ได้
เซียวเถี่ยเฟิงเห็นซิ่วเฟินเอาแต่จ้องปีศาจสาวบนหลังของเขาไม่วางตาก็หันกลับไปมองบ้าง เห็นปีศาจสาวยังคงหลับสนิท
“หากไม่มีอะไร ข้าขอตัวก่อน” เขากล่าวกับซิ่วเฟินเสียงเรียบ
ซิ่วเฟินได้ยินเซียวเถี่ยเฟิงพูดเช่นนี้ นึกถึงท่าทางปกป้องของเขาที่มีต่อหญิงสาวบนแผ่นหลัง ในใจก็เจ็บปวดเหลือเกิน
“เจ้าดีต่อนางจริงๆ ก่อนหน้านี้เจ้ายังต่อว่าข้าเพื่อนางด้วย!”
แถมยังพูดว่า ‘เจ้ามีผู้ชายปกป้องหรือไม่ข้าไม่สนใจ แต่เมียข้ามีผู้ชายคอยปกป้อง’ คำพูดประโยคนี้ไม่ต่างอะไรกับการควักหัวใจนางสักนิด!
คิดไม่ถึงว่านางเพิ่งกล่าวคำพูดประโยคนี้จบ ผู้หญิงคนนั้นก็ลืมตาขึ้นแล้วปรายตามองมา ทำให้นางอดตัวสั่นไม่ได้
เซียวเถี่ยเฟิงมองท้องฟ้า คิ้วก็ยิ่งขมวดแน่น
“ซิ่วเฟิน มืดขนาดนี้ เจ้าอยู่ข้างนอกคนเดียวคงไม่ดีนัก กลับไปเถิด มีเรื่องอะไรเอาไว้วันหลังค่อยพูดกัน”
ซิ่วเฟินเองก็รู้สึกกลัวอยู่บ้าง ใจคิดว่าอีกฝ่ายใช้อาคมเป็น ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงได้ทำให้เซียวเถี่ยเฟิงหลงใหลถึงเพียงนี้?
แต่นึกถึงเซียวเถี่ยเฟิงจากไปครั้งนี้ ไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ นางก็รู้สึกว่าสมควรต้องถามให้รู้เรื่อง
“เอาไว้วันหลัง? เจ้าคิดจะหลอกข้างั้นหรือ! เจ้า…” นึกถึงอดีตขึ้นมา นางก็ปวดใจมาก “เจ้าเกรงใจเขาเสมอ หรือที่แท้เจ้าก็กลัวเขาจริงๆ?”