ตอนที่ 320 ความรู้เรื่องการซื้อขาย
ตอนที่ 320 ความรู้เรื่องการซื้อขาย

พี่สะใภ้รองจ้าวกดพี่รองจ้าวจนกลายเป็นคนไม่มีอะไรดีสักอย่าง แสดงให้เห็นว่าชีวิตของตัวเองยากลำบากและเศร้าโศกมากขนาดไหน และทำให้เย่ฉูฉู่ไปโน้มน้าวใจจ้าวเหวินเทาให้ช่วยเหลือด้วย

ภายในใจของหล่อนทราบดีว่าจ้าวเหวินเทาน้องสามีคนนี้มีอคติกับพี่สะใภ้อย่างหล่อนมาก คิดว่าก็คงเริ่มจากตอนที่ทะเลาะกันก่อนที่จะแยกบ้านครั้งนั้น หล่อนนึกถึงก็รู้สึกเสียใจในภายหลัง แต่ตอนนั้นใครจะไปรู้ว่าน้องสามีคนนี้จะใช้ชีวิตได้ดีขนาดนี้? ถ้ารู้แบบนี้ทุบตีหล่อนให้ตายก็ไม่ทะเลาะหรอก แต่น่าเสียดายที่โลกใบนี้ไม่มียาสำหรับเสียใจในภายหลัง

 

เย่ฉูฉู่ย่อมทราบดี แต่ก็ไม่ได้หักหน้าอีกฝ่าย ทำได้เพียงแค่ปลอบใจพี่สะใภ้รองจ้าว และค่อย ๆ เปลี่ยนบทสนทนาเป็นเบาสมอง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องน่าอายในชีวิตประจำวันของเสี่ยวไป๋หยาง ทำให้พี่สะใภ้รองจ้าวถึงกับหัวเราะร่า

 

ภายในสวนเล็ก ๆ ในช่วงบ่ายนี้ ความเหนื่อยล้าจากการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงที่ยากจะลืมของพี่สะใภ้รองจ้าวก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อยแล้ว

  

พี่สะใภ้รองจ้าวอยู่ไม่นานก็กลับไป ถึงอย่างไรในสวนก็ยังมีงานกองพะเนินรออยู่

  

เย่ฉูฉู่เดินมาส่งพี่สะใภ้รองจ้าว ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่และในมองไปยังจุดที่ห่างออกไป บนที่นามีคนทุกหนแห่ง หากพวกเขาไม่ได้ยุ่งอยู่กับการตัดผักกาดขาวก็หักข้าวโพด ดูเหมือนจะมีแค่เธอที่ว่างงาน สิ่งนี้ทำให้เธอชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกลับเข้าบ้าน

เสี่ยวไป๋หยางยังคงนอนหลับปุ๋ย เย่ฉูฉู่หยิบกระดาษที่ยังออกแบบไม่เสร็จส่วนหนึ่งออกมา หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงหยิบดินสอขึ้นมาวาด

ช่วงค่ำ จ้าวเหวินเทาขับรถกลับมาถึงที่บ้านก็ล้างหน้าล้างก่อนแล้วเดินเข้ามาด้านในบ้าน ลิงน้อยเข้ามาต้อนรับด้วยการส่งเสียงร้อง ‘เจี๊ยก ๆ’ จ้าวเหวินเทาลูบหัวของมันอยู่ครู่หนึ่ง ลูบหัวของลูกลิงจนกระทั่งมันทำท่าจะต่อต้านก็ไปหยอกล้อลูกชายต่อ

“เสี่ยวไป๋หยาง ดูสิใครเอ่ย?” จ้าวเหวินเทาแกล้งทำหน้าทะเล้นใส่ลูกชาย

เสี่ยวไป๋หยางนอนช่วงบ่ายไปแล้วก็กระปรี้กระเปร่าอย่างมาก เมื่อเห็นพ่อจึงรีบกางมือเล็ก ๆ ทำท่าจะกอด

จ้าวเหวินเทารับลูกชายมาจากอ้อมกอดของภรรยา ยกตัวของเสี่ยวไป๋หยางลอยขึ้นสูง ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขอย่างมาก

เย่ฉูฉู่ลุกขึ้นไปจัดการกับอาหารพลางพูดว่า “ฉันเห็นคนในหมู่บ้านกำลังหักข้าวโพดกันหมด พวกเราก็ควรจะหักข้าวโพดสักหน่อยได้แล้วนะคะ?”

“พ่อไปดูมาให้แล้ว บอกว่ารออีกสักสองวันก็ได้ ให้มันโตขึ้นอีกหน่อย” จ้าวเหวินเทาหยอกลูกไปพลางพูดคุยไปพลาง

“แล้วผักกาดขาวล่ะคะ?” เย่ฉูฉู่ยกอาหารพลางเอ่ยถาม

 

“ผักกาดขาวค่อยเก็บวันมะรืน ผมคุยกับพวกเขาไว้แล้ว เดี๋ยวจะเอารถมาขนไปเลย” จ้าวเหวินเทานั่งหน้าโต๊ะ พูดกับลูกชายว่า “เสี่ยวไป๋หยาง ดูสิแม่ทำอะไรอร่อย ๆ เอ่ย?”

เสี่ยวไป๋หยางมองดูจานและถ้วยที่อยู่บนโต๊ะก็ทำท่าจะปีนขึ้นไป จ้าวเหวินเทากอดเอวของเขาไม่ให้เขาขึ้นไป เสี่ยวไป๋หยางออกแรงเตะขา มือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างก็จับที่ขอบโต๊ะอย่างสุดแรง

“ภรรยา เจ้าเด็กคนนี้แรงเยอะมากเลยนะเนี่ย!” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยความประหลาดใจ

เย่ฉูฉู่จัดโต๊ะเสร็จแล้ว จึงมานั่งลงตรงข้าม “ก็นั่นน่ะสิ เด็กคนนี้แรงเยอะมากเลย กาน้ำชาใบใหญ่ก็ยกขึ้นแล้วนะ แถมยังยกมือเดียวด้วย”

“ลูกชายของพ่อเก่งจริง ๆ พลังเยอะมากเลยนะเนี่ย อนาคตเห็นใครไม่เข้าตาก็อัดมันเลย!” จ้าวเหวินเทาเอ่ยขณะหอมเสี่ยวไป๋หยาง

เสี่ยวไป๋หยางกลับรังเกียจเขามาก ใจจดใจจ่ออยู่กับของที่อยู่บนโต๊ะ

“มีอย่างที่ไหนถึงไปสอนลูกแบบนี้คะ?” เย่ฉูฉู่กล่าว “ถึงเวลานั้นถ้าไปชกคนอื่นขึ้นมา ฉันจะรอดูว่าคุณจะจัดการยังไง!”

“กลัวอะไร ตอนเด็ก ๆ ผมก็ชกคนไปไม่น้อย ก็ยังโตขึ้นมาได้เลยไม่ใช่เหรอ? กลัวอะไรกัน สมควรชกก็ต้องชกสิ!” จ้าวเหวินเทาเอ่ยในฐานะเจ้าแห่งการออกนอกลู่นอกทาง

เย่ฉูฉู่ขี้เกียจจะสนใจเขาแล้ว จึงหยิบถ้วยพลาสติกขนาดเล็กมาก ๆ ให้เสี่ยวไป๋หยาง เสี่ยวไป๋หยางใช้สองมือเล็ก ๆ จับขอบถ้วยไว้จนแน่น และศึกษามันอย่างพิถีพิถัน

“คุณขายผักกาดขาวไปแล้วเหรอ?” เย่ฉูฉู่เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

จ้าวเหวินเทาบอกให้ลูกชายนั่งลงตรงหน้าตัวเอง “ขายแล้ว เป็นลูกค้าเก่าก่อนหน้านี้ทั้งนั้นแหละ จงย่งเอาไปครึ่งหนึ่งแล้ว ส่วนที่เหลือก็ยังไม่พอเลย หนึ่งชั่งสี่เฟิน พวกเขาออกค่ารถค่าแรง ผมคิดว่าก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็ไม่มีเวลาจะจัดการอยู่แล้ว ข้าวโพดผมก็ขายไปครึ่งหนึ่งแล้วด้วย หมู่บ้านไท่ผิงทางฝั่งนั้นเลี้ยงแกะ พวกเขาต้องเตรียมเสบียงฤดูหนาว แม้แต่ข้าวโพดก็เอาไปทั้งก้านเลย ผมคุยกับพวกเขาไว้แล้ว พวกเขาจะช่วยหักข้าวโพดแล้วก็ดึงก้านให้ด้วย จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ถึงแม้ว่าราคาจะต่ำไปสักหน่อย แต่จากที่ผมคำนวณดูแล้ว ก็คุ้มค่ามากนะ”

 

สามีคิดว่าคุ้มค่าก็คุ้มค่า เย่ฉูฉู่เชื่อว่าสามีไม่ยอมให้ตัวเองขาดทุนหรอก แต่เมื่อนึกถึงข้าวโพดที่ขายเพื่อเป็นเสบียงฤดูหนาว เธอก็แอบรู้สึกว่าสิ้นเปลืองไปสักหน่อย

“ข้าวโพดเก็บไว้ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ราคาก็สูงขึ้นแล้ว ขายออกไปตอนนี้แอบน่าเสียดายนะคะ” เย่ฉูฉู่ถอนหายใจ แต่สามียุ่งขนาดนี้ เสี่ยวไป๋หยางก็ยังต้องกินนม เธอคงไม่สามารถลงไปทำสวนได้

  

จ้าวเหวินเทากล่าว “ไม่มีอะไรน่าเสียดายหรอก ขายฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ฤดูหนาวมาถึงจำนวนก็คงลดลงแน่นอน อีกอย่าง อ้างตามราคาของปีก่อน ๆ ราคาของฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูใบไม้ผลิ อันที่จริงก็ต่างกันแค่ไม่กี่เฟิน ค่าเฉลี่ยนี้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไรหรอก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีก้านข้าวโพดด้วยนะ ปีที่แล้วก้านข้าวโพดของพวกเราสามารถเผาได้จนถึงปีหน้าเลย ของพวกนี้เก็บมากเกินไปก็ขึ้นราได้ เอาไปขายมาเป็นเงินจะได้เอาไปทำอย่างอื่น”

 

เย่ฉูฉู่คิดตามก็รู้สึกว่าเป็นอย่างที่เขาบอก ถึงอย่างไรพวกเขาก็เหลือข้าวโพดไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว ไม่ต้องหักเองให้เหนื่อย

“ถึงเวลานั้นก็เรียกให้คนไปดูสักหน่อย อย่าให้หายก็แล้วกัน ไม่งั้นพวกเราคงได้จ่ายสองเท่า” เย่ฉูฉู่กล่าว

“ไม่ต้องห่วง ภรรยา ถึงเวลานั้นผมจะให้พวกชุยต้าไปดู ถ้าหักไม่หมด ผมก็ไม่ขายให้พวกเขาแล้ว”

“พวกเขาจะเก็บข้าวโพดที่ตัวเองซื้อก่อนไม่ใช่เหรอ?” เย่ฉูฉู่ประหลาดใจ

  

“ใช่ที่ไหนกันล่ะ ผมบอกกับพวกเขาแล้วว่าให้เก็บครึ่งหนึ่งที่เป็นส่วนของพวกเรากลับมาก่อน แล้วค่อยจัดการของพวกเขา” จ้าวเหวินเทาพูดอย่างพึงพอใจ “ผมยังเก็บมัดจำล่วงหน้าด้วยนะ”

เย่ฉูฉู่เห็นท่าทางภาคภูมิใจของสามี ก็ทั้งโกรธทั้งขบขัน “พวกเขาก็ตอบตกลง ทำไมล่ะ?”

จ้าวเหวินเทายิ้ม “ขายข้าวโพดฤดูใบไม้ร่วง ทั้งยังขายทั้งก้านมีแค่บ้านเราบ้านเดียว พวกเขาเลี้ยงแกะไว้ร้อยกว่าตัว จะไม่ตอบตกลงได้ยังไง?”

 

“ที่สำคัญคือคุณเสนอราคาให้เขาถูกด้วยแหละ” เย่ฉูฉู่จับประเด็นสำคัญ

จ้าวเหวินเทาหัวเราะหึหึ “พวกเขาซื้อราคาถูกกว่าผมไม่ได้อยู่แล้ว แต่เรื่องซื้อขายเป็นเรื่องผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่มีอะไรถูกไม่ถูกหรอก พวกเขาคิดว่าได้เปรียบ ผมคิดว่าคุ้มราคา แค่นี้ก็ดีแล้ว”

คนในชนบทตอนนี้ต่างก็ไม่มีความคิดเรื่องที่ว่าแรงงานและเวลาเป็นเงินทอง ต่างก็ไม่คิดว่าแรงของตัวเองไม่สามารถให้ฟรี ๆ ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเวลา จ้าวเหวินเทามองเห็นถึงจุดนี้จึงพูดกับคนคนนั้นไปอย่างนั้น

จ้าวเหวินเทามีงานค้าขายเป็นของตัวเอง ตอนนี้เป็นฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงเวลาที่ดีในการนำผักฤดูใบไม้ร่วงเข้าไปขาย จะเสียเวลาอยู่กับการหักข้าวโพดคงไม่คุ้มค่า

“บ้านนั้นมีพี่น้องหกคน เป็นพวกเด็กหนุ่มทั้งหมด มาหักข้าวโพดให้พวกเรา ที่ดินห้าหมู่ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งวันก็หักเสร็จหมดแล้ว นี่ยังรวมกับก้านข้าวโพดไปด้วย พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าคุ้มค่า” จ้าวเหวินเทากล่าว “ธัญพืชในตอนนี้สามารถเอาไปขายที่สถานีธัญพืชได้ ขายเสร็จส่วนที่เหลือพวกเราก็เก็บไว้กิน ถ้าประหยัดขึ้นอีกหน่อยก็เป็นแบบนั้นแหละ ไม่ได้เงินมากเท่ากับเอาผักกาดขาวไปขาย”

หลังจากผ่านความอดอยากหลายปีก่อนหน้านี้ ทางรัฐก็ต้องการธัญพืชสูงมาก ประกอบกับตลาดธัญพืชก็ไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนกับสิบกว่าปีหลังจากนี้ ดังนั้นอัตรากำไรจึงมีไม่มาก ผลพลอยได้จากผักและผลไม้ไม่เหมือนกัน สิ่งนี้ขาดแคลนกำไรก็ย่อมมาก ไม่เพียงแค่จ้าวเหวินเทาที่เห็นความสำคัญสิ่งนี้ บ้านนั้นที่เลี้ยงแพะก็ให้ความสำคัญก็เรื่องนี้จึงทำเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ราคาของอาหารยังถูกรัฐบาลควบคุมไว้ ไม่สามารถขึ้นราคาเกินกว่าเหตุได้

……………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ความคิดของคนที่ทำมาค้าขายก็แบบนี้แหละค่ะ ถึงจะเสียไปบ้างก็เสียไม่เยอะ คิดว่าให้ตัวเองได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่ากับต้นทุนและเวลาที่สุด

ไหหม่า(海馬)