ตอนที่ 321 พี่สามจ้าวรู้สึกดี
ตอนที่ 321 พี่สามจ้าวรู้สึกดี

เย่ฉูฉู่ฟังที่สามีอธิบายจบแล้ว ก็รู้สึกได้ว่าเขามีความรู้ในการซื้อขายเยอะมากจริง ๆ หากมองแค่ผิวเผินก็คงทำเงินได้ไม่มาก

“วันนี้พี่สะใภ้รองมาหา อยากให้คุณช่วยซื้อผักกาดขาวหน่อยน่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าว “ฉันไม่ได้ตอบตกลงทันที แค่บอกไปว่าขอถามคุณก่อน”

จ้าวเหวินเทากล่าว “ขายผักกาดขาวคุยง่าย ที่สำคัญคือราคานี่แหละ อย่าให้สูงหรือต่ำเกินไป”

“คงไม่หรอก ถ้าสนใจเรื่องนี้จะมาหาคุณทำไมล่ะ?” เย่ฉูฉู่กล่าว

 

“พูดยาก ตอนที่ขายไม่สนใจ แต่ใครจะไปรู้เรื่องหลังจากที่ขายไปแล้วล่ะ” จ้าวเหวินเทากล่าว “พี่รองไม่เป็นแบบนั้นอยู่แล้ว แต่พี่สะใภ้รองคนนั้นต่างหากล่ะที่พูดยาก”

“แล้วคุณจะช่วยไหมคะ?” เย่ฉูฉู่คิดว่าถ้าไม่ช่วยก็คงดูไม่ดี พี่น้องแท้ ๆ หรือจะให้มองดูเฉย ๆ เหรอ?

  

“ช่วยสิ!” จ้าวเหวินเทาตอบกลับแบบง่าย ๆ “ถึงเวลานั้นจงย่งกับคนอื่น ๆ มาเก็บผักกาดขาว ผมจะให้พวกเขาไปคุยกันเอง คิดว่าราคาเหมาะสมก็ขาย คิดว่าราคาไม่เหมาะสมก็ไม่ต้องขาย ไม่ต้องให้พวกเราเป็นหนี้บุญคุณด้วย ผมเองก็ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณนี้เหมือนกัน”

 

เย่ฉูฉู่คิดว่าความคิดนี้ไม่เลวเลย “ได้ค่ะ ถึงเวลานั้นฉันจะบอกไปว่า วันมะรืนมีคนมาซื้อผักกาดขาว ถ้าจะขายก็ให้ไปถามดู”

“ตกลง” จ้าวเหวินเทากล่าว

ระหว่างที่พูดคุยกัน เสี่ยวไป๋หยางที่พินิจพิเคราะห์ถ้วยจนหมดความอดทนก็โยนถ้วยลงไปในจานอาหารบนโต๊ะ ทำให้ลิงน้อยตกใจกระโดดส่งเสียงร้องเจี๊ยก ๆ จนเกือบจะพลิกโต๊ะ

  

“เจ้าลูกชาย ลูกทำอะไรเนี่ย ก่อกบฏเหรอ!” จ้าวเหวินเทารีบหยิบถ้วยใบนั้นไปวางไว้ข้าง ๆ

เสี่ยวไป๋หยางกลับหัวเราะไม่หยุด ทั้งยังออกแรงปีนขึ้นบนโต๊ะ

 

เย่ฉูฉู่พูดกับลูกชายอย่างไม่สบอารมณ์ “เหมือนกับพ่อไม่มีผิดเลย!”

 

จ้าวเหวินเทารู้สึกไม่พอใจ “ภรรยา คนเขาบอกว่าลูกชายจะเหมือนแม่มากกว่านะ”

“ตอนฉันเด็ก ๆ ไม่ได้เป็นแบบนี้สักหน่อยค่ะ” เย่ฉูฉู่ก้มหน้ากินข้าว

จ้าวเหวินเทาก้มหน้าพูดกับลูกชาย “ลูกชาย ลูกดูแม่ของลูกสิว่าช่างพูดขนาดไหน ยังบอกว่าตอนเด็ก ๆ ไม่ได้เป็นแบบนั้นอีก ลูกเชื่อเหรอ?”

เสี่ยวไป๋หยางไม่สนใจเขา ยื่นมือเล็ก ๆ ไปที่อาหารบนโต๊ะ ส่งเสียงร้องอ้อแอ้ ๆ ด้วยความกระวนกระวายใจ ดูเหมือนว่าจะโกรธมาก

จ้าวเหวินเทารู้สึกขบขัน “นิสัยแบบนี้แค่เห็นก็เหมือน…”

เย่ฉูฉู่เงยหน้ามองเขา

“…เหมือนผมน่ะ” จ้าวเหวินเทาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนแอ

เย่ฉูฉู่จึงเกิดความพึงพอใจ

คนที่ปลูกผักกาดขาวต่างก็รีบร้อนที่จะขายผักกาดขาว คาดว่าคงมีพี่สามจ้าวที่ไม่ได้รีบร้อนอะไร ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนค้าขาย ขายของเป็นเรื่องที่แสนจะง่ายดาย!

“ผักกาดขาวในลานบ้านเพียงพอให้บ้านเรานำมาทำเป็นผักดองแล้ว เหลือผักกาดขาวไว้กินช่วงฤดูหนาวสักหน่อยก็พอ เหลือไว้เยอะแยะขนาดนั้น ฉันว่ามีหลายร้อยชั่งเลยมั้ง คุณก็เตรียมใจไว้บ้าง” พี่สะใภ้สามจ้าวกล่าว

 

หลายวันมานี้พี่สามจ้าวอารมณ์ดีเป็นพิเศษ เป็นเพราะมีหลายบ้านในหมู่บ้านที่ปลูกผักต่างมาหาเขาให้ช่วยเหลือ ทำให้จู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นบุคคลที่เป็นตัวแปรสำคัญเช่นกัน จึงยืดอกอย่างห้ามไม่อยู่ ยามเดินอยู่บนถนนก็เดินกระฉับกระเฉงขึ้น การพูดการจาก็สุภาพด้วย บุคคลสำคัญก็อย่างนี้แหละ ต่างก็ถูกเชิดชูกันทั้งนั้น

 

“ไม่เป็นไร ผมมีแผนอยู่ในใจแล้ว ก็แค่ผักกาดขาวไม่กี่ร้อยชั่ง ไม่ได้เยอะแยะอะไร ขนไปที่ตลาดนัดก็ขายได้แล้ว” พี่สามจ้าวกล่าวเสียงเรียบ

 

เห็นได้ชัดว่าพี่สะใภ้สามจ้าวไม่เชื่อ “คุณอย่าพูดให้มันเร็วนักเลย ปีนี้ปลูกผักกาดขาวกันไม่ใช่น้อย ๆ อีกอย่าง คุณไปตกปากรับคำตั้งหลายบ้านว่าจะช่วยซื้อผักกาดขาว รวมเข้าด้วยกันก็มีหลายพันชั่งแล้ว ไม่ใช่จำนวนน้อย ๆ!”

พี่สามจ้าวไม่สบอารมณ์อย่างมาก คนนอกยังเชื่อเขา ทำไมภรรยาของเขากลับไม่เชื่อ เขาข่มความโกรธอยู่นานกว่าจะข่มลงได้

“ฉันรู้ เธอไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจัดการได้ แล้วก็ ปีนี้ก็เก็บตุนผักกาดขาวให้เยอะสักหน่อย ฤดูหนาวจะได้กินเกี๊ยวไส้ผักกาดขาว ซาลาเปาไส้ผักกาดขาว เอาไปจิ้มกับน้ำพริกก็ได้ ฤดูหนาวรอบนี้ถ้าไม่มีผักใบเขียวสักหน่อยคงไม่ได้” พี่สามจ้าวกลัวว่าภรรยาจะขยี้ไม่หยุด จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

พี่สะใภ้สามจ้าวก็พูดคล้อยตามจริง ๆ “ได้ ผักกาดขาวบ้านเราอร่อยจริง ๆ หวานด้วย!”

พี่สามจ้าวพูดอย่างภาคภูมิใจ “ก็แหงอยู่แล้ว ที่ดินของเราน้ำดีดินดี ไม่งั้นเต้าหู้ของเราจะอร่อยขนาดนั้นได้ไงล่ะ! อีกอย่างนะ หัวไชเท้าอะไรพวกนั้นที่ปลูกอยู่ในลานบ้าน เธอก็เก็บไว้เยอะสักหน่อย วางไว้ในห้องใต้ดินแล้วก็กลบดินฝังให้เยอะหน่อยนะ พวกเราจะได้กินตั้งแต่ฤดูหนาวจนถึงฤดูใบไม้ผลิเลย”

“ได้ ฉันปลูกต้นหอมเพิ่มอีกหน่อยด้วย ฤดูหนาวปีนี้พวกเราต้องใช้ชีวิตให้ดี ๆ แล้ว ลูก ๆ ก็อยู่ในวัยกำลังโต พวกเราเองก็ต้องเลี้ยงดูให้ดี ๆ” พี่สะใภ้สามจ้าวพูดพลางก็ถอนหายใจ “ฉันเห็นน้องสะใภ้หกเข็นเสี่ยวไป๋หยางเดินเล่นอยู่ข้างถนน คุณคงยังไม่เห็น เด็กเสี่ยวไป๋หยางคนนั้นยิ่งอยู่ยิ่งหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูจริง ๆ น้องสะใภ้หกก็เหมือนกับคนในเมืองเลย น้องสะใภ้หกบอกว่า ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็เป็นรองทั้งหมด แต่เรื่องกินไม่สามารถทำแบบขอไปทีได้!”

ระหว่างที่พูดพี่สะใภ้สามจ้าวก็มองไปยังลูก ๆ ทั้งสองของหล่อน แต่ละคนผอมเหมือนกับลิง จากนั้นก็หันมองพี่สามจ้าวอีกครั้ง ไม่ต้องให้หล่อนพูดก็สามารถเข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจน

พี่สามจ้าวก็เข้าใจความหมายของภรรยา เขาแอบด่าอยู่ในใจ ภรรยาบ้าคนนี้เหยียบจมูกขึ้นหน้า [1] จริง ๆ! ยังจะพูดว่าของกินไม่สามารถทำแบบขอไปทีอีกเหรอ?!

 

แต่เมื่อนึกว่าตอนนี้ตัวเองกลายเป็นบุคคลสำคัญแล้ว ต้องรักษาภาพลักษณ์ จึงพูดด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน “ก็ได้ ฤดูหนาวตอนที่ทำเต้าหู้ก็เหลือไว้สักสามสี่ชิ้น ให้ลูก ๆ กินเยอะ ๆ หน่อย เต้าหู้นั้นเอาไว้กินในครอบครัว สามถึงห้าวันซื้อเนื้อสักหน่อย ไว้เลี้ยงพวกเขาก็ได้แล้ว”

พี่สะใภ้สามจ้าวประหลาดใจกับทัศนคติของสามี พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วเหรอ ทำไมถึงได้นิสัยดีแบบนี้?

ทางฝั่งพี่สะใภ้สี่จ้าวก็กำลังคุยกับพี่สี่จ้าวเกี่ยวกับเรื่องผักกาดขาว

“คุณวางแผนไว้ยังไง ผักกาดขาวนี้เก็บออกมาแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือขายตอนอยู่ในดินนั่นแหละ ขนกลับมาไม่กี่วันน้ำหนักก็เบาลงแล้ว!” ช่วงนี้พี่สะใภ้สี่จ้าวเป็นร้อนใน บนริมฝีปากมีตุ่มใสขึ้น ทั้งยังเป็นปากนกกระจอกที่ข้างมุมปากด้วย จึงพูดได้น้อย

พี่สี่จ้าวกลับยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนเหมือนเคย “ไม่เป็นไร ขายไม่ออกพวกเราก็กินกันเอง!”

พี่สะใภ้สี่จ้าวได้ยินก็โกรธจนแทบดีดตัวผาง นี่มันอะไรกัน ผักกาดขาวมากขนาดนั้นแต่เก็บไว้กินเอง คุณเป็นหมูเหรอ!

 

“อะไรกัน นั่นเป็นเงินนะ เงินที่ยากลำบากมาตลอดทั้งปีเลยนะ คุณจะทำเป็นไม่สนใจไม่ได้! ผักกาดขาวที่ปลูกในลานบ้านก็มีพอให้กินแล้ว ส่วนผักกาดขาวเหล่านั้นต้องขายทั้งหมด” พี่สะใภ้สี่จ้าวเจ็บปากจึงไม่สามารถทะเลาะกับสามีได้ จึงต้องพูดโน้มน้าวใจอย่างไม่หยุดด้วยความหวังดี

พี่สี่จ้าว “ปีก่อน ๆ ก็ไม่ได้ปลูกผักกาดขาว ก็ไม่ได้มีรายได้ที่เกินมาในส่วนนี้ นี่ก็มาแล้วไม่ใช่เหรอ?”

 

พี่สะใภ้สี่จ้าวคิดว่าหากพูดมากไปกว่านี้หล่อนคงได้โกรธจนตายแน่

“ถ้าคุณขายไม่ได้ก็ไปหาน้องหกสิ หรือพี่สามก็ได้ จริงสิ ฉันได้ยินมาว่าคนในหมู่บ้านตั้งหลายครอบครัวไปหาพี่สามให้ซื้อผักกาดขาวด้วย” พี่สะใภ้สี่จ้าวสงบสติอารมณ์และพูดต่อไป

พี่สี่จ้าวพูดพอเป็นพิธี “ผมรู้แล้ว รีบพักผ่อนเถอะ”

พี่สะใภ้สี่จ้าวไม่มั่นใจว่าสามีเข้าใจความหมายแบบใด แต่พูดมาเยอะแยะขนาดนี้แล้ว ปากก็เจ็บมากจริง ๆ อยากพูดแต่ก็พูดอะไรไม่ได้ จึงทำได้เพียงแค่ตัดสินใจว่าจะไปถามด้วยตัวเอง

ผักกาดขาวนี้ทำให้คนในหมู่บ้านต่างตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน พี่สามจ้าวเห็นก็รู้สึกดีใจ มีคนมาขอร้องเขามากขึ้นแล้ว ตำแหน่งบุคคลสำคัญของเขาจึงมั่นคงยิ่งขึ้น แต่แล้วทุกอย่างก็พังทลายลงในวันรุ่งขึ้น

 

วันนี้เป็นวันที่จ้าวเหวินเทาและจงย่งนัดกันเพื่อเก็บผักกาดขาว รถคันใหญ่หนึ่งคันขับมายังที่ดินของจ้าวเหวินเทา มีผู้ชายหลายคนลงมาจากรถและเริ่มเก็บผักกาดขาว

ผักกาดขาวของจ้าวเหวินเทามีไม่เยอะ คนจำนวนมากขนาดนี้ ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงกว่า ๆ ก็เก็บและใส่ขึ้นรถจนหมด แต่ก็กินพื้นที่ไปแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

พี่สะใภ้รองจ้าวได้รับข่าวจากเย่ฉูฉู่ก็คอยเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิด ตอนที่จงย่งมาเก็บผัก หล่อนก็รีบมาคุยเรื่องขายผักกาดขาวในทันที

………………………………………………………………………………………………………………………

[1] เหยียบจมูกขึ้นหน้า (蹬鼻子上脸) ​เป็นการเปรียบเปรยว่าให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่ง แต่อีกฝ่ายกลับไม่คิดจะสนใจ ทั้งยังวางท่าทางหยิ่งผยองได้ใจ

สารจากผู้แปล

พี่สามอย่าประมาทสิ แทนที่จะดีใจจะกลายเป็นร้อนใจแทนนะ

ไหหม่า(海馬)