ตอนที่ 322 ขายได้น้อยกว่าหนึ่งเฟิน
ตอนที่ 322 ขายได้น้อยกว่าหนึ่งเฟิน

จ้าวเหวินเทาคุยกับจงย่งไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เมื่อได้ยินถึงวัตถุประสงค์ในการมาถึงของพี่สะใภ้รองจ้าว ก็ตอบตกลงที่จะรับซื้อไว้หลังจากคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง

 

พี่สะใภ้รองจ้าวก็ต้องดีใจอยู่แล้ว ในที่สุดก็ขายผักกาดขาวออกไปได้สักที!

คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอกับพี่สี่จ้าวที่ไม่เคยมีปากเสียงกับใครเข้ามาสอบถามเช่นกัน เขาพูดกับจงย่งอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันเป็นพี่สี่ของจ้าวเหวินเทา ฉันเองก็ปลูกผักกาดขาวไว้เหมือนกัน ถือโอกาสขายให้นายด้วยเลยก็แล้วกัน!”

 

คำพูดนี้ทำให้พี่สะใภ้รองจ้าวถึงกับเปลี่ยนมุมมองใหม่ ใครบอกว่าน้องสี่เป็นพวกคนโง่ มาฟังดูสิว่าคำพูดนี้เป็นสิ่งที่คนโง่จะพูดออกมาได้เหรอ?

จากนั้นคนอื่น ๆ ที่อยู่ในหมู่บ้านก็มาสอบถามเรื่องขายผักกาดขาว ถึงอย่างไรรถบรรทุกขนาดใหญ่ขนาดนี้มาจอดอยู่ก็ต้องสะดุดตาอยู่แล้ว จะบอกว่ามองไม่เห็นก็คงไม่ได้

จงย่งนึกถึงคำอธิบายของจ้าวเหวินเทา เขาก็รู้สึกชื่นชมมากจริง ๆ นี่แหละถึงจะเรียกว่าเป็นคนค้าขาย

 

ตอนที่เขาคุยกับจ้าวเหวินเทา จ้าวเหวินเทาได้พูดถึงสถานการณ์เช่นนี้มาก่อนแล้ว จึงบอกเขาว่าใครมาขายผักกาดขาวก็ให้รับซื้อไว้ให้หมด จ้าวเหวินเทาเจอช่องทางขายแล้ว เมื่อของเปลี่ยนมาอยู่ในมือก็สามารถขายออกไปได้ แถมยังทำเงินได้อีกนิดหน่อยด้วย

จ้าวเหวินเทาบอกไว้ว่า ถ้าให้เขาเป็นคนออกหน้า ให้คุยเรื่องราคาสูงต่ำคงคุยได้ไม่สะดวกเพราะเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน แต่จงย่งไม่เหมือนกับเขา เพราะจงย่งเป็นคนนอก จะคุยกันอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น

 

ด้วยเหตุนี้ บุคคลสำคัญอย่างพี่สามจ้าวจึงกลายเป็นคนว้าเหว่!

 

“แบบนี้ก็ดีมากเลยไม่ใช่เหรอ พวกเราก็ขายผักกาดขาวของตัวเอง ลดปัญหาลงด้วย ไม่งั้นถ้าเอาไปขายได้เงินมากหรือน้อยไป คงได้มีคนบ่นแน่!” พี่สะใภ้สามจ้าวเห็นพี่สามจ้าวไม่มีความสุขจึงพูดขึ้นมา

 

พี่สามจ้าวโกรธแทบตายอยู่แล้ว ทั้ง ๆ ที่บอกว่าจะให้เขาช่วยขายให้ ผลลัพธ์ที่ได้กลับมีรถมาซื้อผักกาดขาวมาซื้อผักกาดขาวของพวกเขาไปแล้ว คนพวกนี้ทำไมถึงพูดไม่เป็นคำพูดล่ะ!

“เธอจะไปเข้าใจอะไร? เรื่องนี้ปัญหาอยู่ที่เรื่องของหน้าตา ไม่ได้อยู่ที่ผักกาดขาวสักหน่อย!” พี่สามจ้าวพูดด้วยความฉุนเฉียว

 

“ชิ ยังมีหน้ามาพูดว่าปัญหาอยู่ที่เรื่องของหน้าตาอีก ขายผักกาดขาวให้คนอื่นมันเกี่ยวกับหน้าตาของคุณตรงไหนกัน!” พี่สะใภ้สามจ้าวเยาะเย้ย จากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่เป็นจริงเป็นจังว่า “ผักกาดขาวของบ้านเราจะขายตอนไหนกันแน่ อย่าให้เวลานั้นเสียเปล่าจนทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะก็แล้วกัน!”

พี่สามจ้าวได้ยินก็เกิดความร้อนใจ ก็นั่นน่ะสิ มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น ผักกาดขาวของตัวเองยังไม่เก็บเลย!

เขาไม่สนใจจิตใจที่หดหู่แลว้ พี่สามจ้าวถือพลั่วเหล็กออกไปเก็บผักกาดขาว ใช้เวลาสองวันกว่าจะเก็บออกมาจนหมด จากนั้นก็ขนไปขายที่ตลาดนัด เพียงแต่เมื่อกลับมาถามราคาผักกาดขาวที่คนในหมู่บ้านขายออกไป ก็พบว่าผักกาดขาวของเขาขายได้ราคาน้อยกว่าคนอื่นถึงหนึ่งเฟิน!

“เหล่าจ้าวสาม นายคำนวณบัญชีไม่ไหวเลยนะ ขายได้น้อยกว่าตั้งหนึ่งเฟินแน่ะ!” เหล่าหวังสามพูดเยาะเย้ย

พี่สามจ้าวหดหู่จนอยากจะกระอักเลือดออกมา เขาอยากจะตัดหูของเหล่าหวังสามและคนพวกนี้จริง ๆ อะไรที่บอกว่าคำนวณบัญชีไม่ไหว ฉันยินดีที่จะขายให้น้อยต่างหากล่ะ คิดเสียว่าเป็นการบรรเทาทุกข์ให้กับคนที่ซื้อผัก ไม่ได้เลยหรือไง!

“ราคาในตลาดนัดก็เป็นแบบนั้นแหละ อีกอย่างก็ขนผักกลับมาอีกรอบไม่ได้แล้วด้วย” พี่สามจ้าวแสร้งทำเป็นสงบจิตสงบใจและกล่าวไปว่า “ขายได้ถูกว่าหนึ่งเฟินก็หนึ่งเฟินสิ ไม่ได้มากมายอะไรสักหน่อย”

 

เหล่าหวังสามรู้สึกขบขัน “พ่อคุณ ร่ำรวยเสียจริงนะ เงินหนึ่งเฟินก็ไม่เห็นอยู่ในสายตาแล้ว! ทำไมนายไม่ขายให้รถบรรทุกคันใหญ่ล่ะ อีกฝ่ายมารับซื้อผักกาดขาวถึงที่ ประหยัดเวลาไม่ต้องให้นายเทียวไปเทียวกลับตลาดนัดด้วย”

“ฉันยุ่งอยู่กับการหักข้าวโพดน่ะ กว่าฉันจะรู้ รถบรรทุกก็ไปแล้ว” พี่สามจ้าวส่ายหน้า “ข้าวโพดตั้งหลายสิบหมู่ สำคัญกว่าผักกาดขาวตั้งเยอะ เอาล่ะ ฉันกลับไปทำงานต่อแล้ว”

พี่สามจ้าวไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงเหล่าหวังสามที่รู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ อีกฝ่ายปลูกข้าวโพดไว้หลายสิบหมู่ ได้ราคาดีกว่าผักกาดขาวจริง ๆ นั่นแหละ

อย่ามองว่าสินค้าที่เป็นผลพลอยได้จะขายคล่องกว่าธัญพืช เพราะในสายตาของคนชนบท ธัญพืชต่างหากล่ะที่เป็นของที่ใช้ได้จริง ต่อให้เป็นเงินแต่ก็สู้ธัญพืชไม่ได้ นี่คือผลพลอยได้จากความหิวโหยและความกลัวในหลายปีที่ผ่านมา

 

พี่สามจ้าวไม่ได้นิ่งสงบเหมือนที่แสดงออกอยู่ภายนอก ภายในใจเขาก็คำนวณออกมาแล้ว ผักกาดขาวหนึ่งชั่งขายขาดทุนไปหนึ่งเฟิน ผักกาดขาวหลายร้อยชั่งของเขาทำให้เงินของเขาหายไปหลายหยวน แม้ว่าความเสียหายเพียงไม่กี่หยวนจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเขาในตอนนี้ แต่ถ้าไม่เสียหายเลยก็ยังดีกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับคนที่ทำค้าขาย สิ่งนี้ถือเป็นความอัปยศด้วย

พี่สะใภ้สามจ้าวได้ยินเขาเอาแต่ถอนหายใจไม่จบไม่สิ้น ทั้งยังทำหน้าบอกบุญไม่รับ พอได้ถามก็ทราบว่าขายขาดทุนแล้ว

“ขายขาดทุนก็ขายขาดทุนไปสิ ปีก่อน ๆ ก็ไม่ได้มีรายได้จากผักกาดขาวก็ยังใช้ชีวิตได้เลย? เงินที่ได้จากผักกาดขาวคุณยังรังเกียจว่าได้เงินน้อยอีก ไม่รู้จักพอจริง ๆ!” พี่สะใภ้สามจ้าวใจกว้างมาก หล่อนไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย

 

พี่สามจ้าวเหลือบมองภรรยา “นี่มันได้มาฟรี ๆ รึไง? นี่ก็เป็นเงินที่ได้มาด้วยความยากลำบาก! พวกเขามีสิทธิ์อะไรได้เงินมากกว่า แต่ฉันกลับได้น้อยกว่า!”

พี่สะใภ้สามจ้าวหมดคำพูด “แล้วมีสิทธิ์อะไรที่พวกเขาจะได้มากกว่าไม่ได้? คุณคิดอะไรของคุณอยู่เนี่ย”

“พูดไปเธอก็ไม่เข้าใจหรอก!” พี่สามจ้าวพูดอย่างไม่สบอารมณ์

 

“พูดไปฉันก็ไม่เข้าใจแล้วยังจะพูดอีก!” พี่สะใภ้สามจ้าวก็แอบมีน้ำโหเช่นกัน

พี่สามจ้าวรู้สึกจุกอยู่กลางใจจนกระสับกระส่าย ทั้งยังรู้สึกหายใจไม่ออกด้วย เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว ก็ลุกขึ้นและไปหาจ้าวเหวินเทา

จ้าวเหวินเทากำลังนั่งกินแตงโมอยู่หน้าบ้านกับเย่ฉูฉู่ นี่เป็นแตงโมที่ปลูกในสวนบ้านตัวเอง เปลือกบางรสชาติหวานสดชื่น อร่อยสุด ๆ ไปเลย!

ลูกลิงก็กำลังกินอย่างมีความสุข ส่วนสุนัขและแมวไม่ได้กิน มองดูจากไกล ๆ ด้วยความไม่พอใจอย่างมาก

สองมือเล็ก ๆ ของเสี่ยวไป๋หยางจับเปลือกแตงโมและออกแรงกัด หากให้ชิ้นเล็กก็กลัวว่าจะติดคอ จึงตั้งใจให้ชิ้นใหญ่กับเขา เด็กน้อยกัดจนมือและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยน้ำลาย แต่เขาก็ยังกัดด้วยความตั้งใจอย่างมาก

“แตงโมนี้อร่อยจริง ๆ เมล็ดแตงโมพวกนี้เก็บไว้ปลูกที่ฟาร์มกระต่ายปีหน้าแล้วกัน” จ้าวเหวินเทากล่าว

 

“แตงโมอร่อยนะคะ เสียแต่เม็ดเยอะไปหน่อย” เย่ฉูฉู่กลัวว่าลูกจะหยิบไป จึงหยิบถ้วยเล็ก ๆ มาเพื่อคายเมล็ดลงไปในถ้วยโดยเฉพาะ

จ้าวเหวินเทากล่าว “เมล็ดแตงโมก็เอาไปขายได้นะ ผมเห็นมีคนในเมืองเอาไปขายด้วย มีเยอะ ๆ ก็ดี ถึ เวลานั้นจะได้เอาไปขาย”

ระหว่างที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน ต้าเฮยกับเสี่ยวเฮยก็ส่งเสียงเห่า เย่ฉูฉู่กันไปมองก็พบว่าพี่สามจ้าวเข้ามาในลานบ้านแล้ว จึงตะโกนหยุดลูกสุนัขทั้งสองตัว

“พี่สามมาแล้ว!” เย่ฉูฉู่เช็ดมือและเลื่อนเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ เข้ามาหนึ่งตัว

“พี่สามกินแตงโมด้วยกันสิ!” จ้าวเหวินเทาทักทาย

พี่สามจ้าวเดินเข้ามานั่ง มองไปยังแตงโมและถาม “นี่ซื้อมาเหรอ?”

“เปล่าหรอก แตงโมที่ปลูกเองในบ้านน่ะค่ะ” เย่ฉูฉู่กล่าวเคล้ารอยยิ้ม

“ปลูกในลานบ้านหลังนี้เนี่ยนะ? ทำไมฉันไม่สังเกตเห็นมาก่อนเลย” พี่สามจ้าวหยิบแตงโมขึ้นมากินหนึ่งชิ้น อืม หวานจริง ๆ!

“มีแต่คนบอกว่าดินกับน้ำของตงเหลียงไม่ค่อยดี ตอนแรกก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าจะปลูกออกมาได้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะโตขึ้นมาได้ดีเยี่ยมเลย” จ้าวเหวินเทากล่าว

เสี่ยวไป๋หยางเห็นพี่สามจ้าวกัดแตงโม ก็อยากได้เปลือกแตงโมอีกครั้ง

เย่ฉูฉู่คิดว่าเขากัดเยอะเกินไปแล้ว กลัวว่าหากกัดมากไปกว่านี้อาจจะท้องเสีย ถึงอย่างไรแตงโมก็เป็นผลไม้มีฤทธิ์เย็น หลังจากทักทายเสร็จก็อุ้มเสี่ยวไป๋หยางเข้าไปล้างมือในบ้าน

เสี่ยวไป๋หยางไม่เต็มใจ เขาเตะน่องเป็นการประท้วง แต่ก็ยังถูกบังคับให้ไปอยู่ดี

พี่สามจ้าวเห็นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้อารมณ์ร้ายมากเลยนะเนี่ย!”

 

“ก็นั่นน่ะสิ ไม่ว่าอะไรก็ต้องตามใจเขาไปเสียทุกอย่าง!” จ้าวเหวินเทากล่าว “พี่เก็บเกี่ยวเสร็จหมดแล้วเหรอ?”

 

“เสร็จที่ไหนกันล่ะ!” พี่สามจ้าวกล่าว “ข้าวโพดที่ปลูกไว้ปีนี้มีเยอะ ไม่ได้เร็วขนาดนั้นหรอก นายล่ะ? หักข้าวโพดแล้วเหรอ?”

“ไว้หักวันพรุ่งนี้ ผมไม่ได้ปลูกเยอะแบบพี่ ก็เลยจัดการได้ง่าย” หลังจากจ้าวเหวินเทากัดแตงโมคำสุดท้ายเสร็จ ก็ส่งเสียงเรอออกมา “เย็นขนาดนี้แล้ว พี่มามีธุระอะไรล่ะ?”

 

พี่รองจ้าวกัดแตงโมคำสุดท้ายหมด ก็หยิบขึ้นมาอีกชิ้นแล้วพูดว่า “ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่มาคุยกับนายนั่นแหละ”

 

จ้าวเหวินเทาแอบรู้สึกถึงอารมณ์ที่ซับซ้อน เมื่อเทียบความสัมพันธ์ในบรรดาพี่น้องทั้งหมด ระหว่างพวกเขาสองคนนับว่าแย่ที่สุดแล้ว ก่อนหน้านี้ต่างก็ไม่ชอบหน้ากัน ใครจะไปคิดว่าวันหนึ่งพี่ชายคนนี้จะตั้งใจมาหาเขาเพื่อนั่งพูดคุย? และคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะไปมาหาสู่กันมากที่สุดด้วย

………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ขายออกก็ถือว่าดีแล้วพี่สาม ดีกว่าขายไม่ออกแล้วปล่อยให้เน่าคาสวนนะ

เป็นไปได้ไหมเนี่ยว่าพี่น้องที่ตีกันบ่อย ๆ บางคู่จะเป็นพี่น้องที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด

ไหหม่า(海馬)