ตอนที่ 452 คดีในวังหลวง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 452 คดีในวังหลวง

“พระชายา แย่แล้วเจ้าค่ะ ! ” อันหลิงเกอที่กำลังนั่งคิดเรื่องของมู่จวินฮานอยู่ในสวนพลันได้ยินเสียงดังขึ้น

“มีอันใด ? ”

“องค์ชายน้อยมีอาการประชวร ฝ่าบาทบัญชาให้ท่านอ๋องเข้าวังไปตรวจสอบและพระชายาต้องไปด้วยเจ้าค่ะ”

ว่าอย่างไรนะ ?

เรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์ล้วนอันตรายยิ่งนัก อันหลิงเกอรีบเก็บของทันที พอมาถึงประตูจวนก็ได้พบกับมู่จวินฮาน

สีหน้าของเขายังคงเย็นชา แต่ดีขึ้นกว่าเมื่อวานเล็กน้อย

“องค์ชายน้อยเกิดเรื่อง ฝ่าบาทสั่งให้เปิ่นหวางไปตรวจสอบ”

อันหลิงเกอพยักหน้าและมิกล่าวสิ่งใดออกมา ก่อนทั้งคู่จักเข้าวังไปด้วยกัน

“อ๋องมู่ ตอนนี้แม้แต่เรื่องภายในวังข้ายังต้องรบกวนเจ้า เจ้าตำหนิข้าหรือไม่ ? ” ฮ่องเต้ที่ประทับอยู่บนบัลลังก์ตรัสเสียงอ่อนชนิดที่น้อยครั้งจักได้ยิน

“กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” สีหน้าของมู่จวินฮานเรียบเฉย

“ทุกคนล้วนเป็นบุตรของข้า ข้าเองก็มิสะดวกจัดการเรื่องนี้ ทุกอย่างจึงขอยกให้อ๋องมู่จัดการแทน ! ”

อันหลิงเกอยืนอยู่ข้างกายมู่จวินฮานและได้ยินชัดเจน ดูท่าเรื่องนี้คงเกี่ยวข้องกับหลี่กุ้ยเฟยและองค์ชายเจ็ดเป็นแน่

ภายในวังหลวงแห่งนี้ผู้ที่กล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็มีเพียงสองพระองค์นี้เท่านั้น

“แม่นมขององค์ชายน้อยอยู่ที่ใด ? ” เมื่ออันหลิงเกอเดินมาถึงวังหลังก็เอ่ยถามขึ้นมา

“เรียนพระชายา ข้าน้อยเป็นแม่นมที่คอยดูแลอยู่ข้างพระวรกายองค์ชายน้อยตลอดเจ้าค่ะ”

“ในเมื่อเจ้าอยู่ข้างพระวรกายตลอด แล้วมีผู้ใดเข้าใกล้องค์ชายน้อยหรือไม่ ? ” อันหลิงเกอหรี่ตามองเล็กน้อย

“นอกจากข้าน้อยแล้วก็มีเพียงนางกำนัลข้างพระวรกายขององค์ชายน้อยชื่ออวิ๋นเอ๋อ แต่นางมิมีทางทำร้ายองค์ชายน้อยแน่นอนเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินที่แม่นมกล่าว อันหลิงเกอก็ส่งเสียง หึ ออกมา

“ในเมื่อมีเพียงเจ้าสองคน หากมิใช่นางก็ต้องเป็นเจ้า”

เมื่อเห็นแม่นมพูดมิออก อันหลิงเกอก็มิอยากเอ่ยอันใดอีก “เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว ปี้จูไปเรียกอวิ๋นเอ๋อมาหน่อย”

“ขอบคุณพระชายาเจ้าค่ะ” เมื่อพระชายามิโทษว่าเป็นความผิดนาง ทั้งยังให้นางออกไปได้อย่างปลอดภัย แม่นมผู้นั้นจึงซาบซึ้งใจยิ่งนัก

“เจ้าค่ะ” ปี้จูรับคำก่อนเดินออกไป

หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากนอกห้อง นางรู้ว่าต้องเป็นอวิ๋นเอ๋อ มุมปากของอันหลิงเกอจึงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา

อยู่ ๆ พระชายาเรียกนางมาเช่นนี้แสดงว่าต้องรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางต้องเตรียมพร้อมเข้าห้องที่มิมีวันได้ออกมาอีก จากนั้นก็ตายไปอย่างสงบเพราะในเมื่อไร้*กุ้ยเหรินแล้ว นางก็มิอยากมีชีวิตต่อเช่นกัน

เมื่อมิใส่ใจความเป็นความตายแล้ว นางจึงเดินตามปี้จูเข้าไปโดยมิเกรงกลัว

“คารวะพระชายาเจ้าค่ะ” นางรีบคำนับทันทีที่เห็นด้านหลังของอันหลิงเกอ

“อวิ๋นเอ๋อ เมื่อวานเจ้าถูกแม่นมพบเข้า เจ้ามีอันใดจักกล่าวอีกหรือไม่ ? ” อันหลิงเกอกล่าวออกมาเสียงเย็น แต่มิได้หันกลับมามองอีกฝ่าย

ก่อนหน้านี้นางได้สืบแล้วว่านางกำนัลที่ดูแลข้างพระวรกายองค์ชายน้อยผู้นี้แต่เดิมเคยอยู่กับหลี่กุ้ยเฟยมาก่อน ทว่าต่อมาถูกย้ายไปอยู่ตำหนักกุ้ยเหรินหลายพระองค์และสุดท้ายกุ้ยเหรินเหล่านั้นก็สิ้นบุญไปหมดแล้ว

“ข้าน้อยมิทราบว่าพระชายากล่าวถึงสิ่งใดเจ้าค่ะ” นางกล่าวออกมาพร้อมก้มหน้าต่ำ เสียงเบาลงโดยมิกล้ามองด้านหลังของอันหลิงเกอประหนึ่งคนร้อนตัว

“มิรู้เลยหรือ ? ” อันหลิงเกอหมุนตัวกลับมาอย่างรวดเร็วพลางจ้องไปที่นาง

หลังสบตากับอันหลิงเกอแล้ว ความกล้าในตอนแรกของอวิ๋นเอ๋อก็หายไปจนสิ้น นางตกใจจนย่นคอหนี ร่างกายก้าวถอยหลังโดยมิรู้ตัว ดวงตาที่ลุ่มลึกของอันหลิงเกอราวกับตรึงร่างของนางเอาไว้จนมิสามารถเอ่ยคำโกหกได้อีก

“ใช่ ข้าน้อยทำเอง เพราะกุ้ยเหรินสิ้นแล้ว ข้าน้อยก็มิอยากมีชีวิตอยู่ต่อ” หลังถูกอันหลิงเกอจับจ้องมินาน นางก็สารภาพความจริงออกมาโดยมิเกรงกลัวแต่รู้สึกสบายใจมาก ส่วนจักเป็นหรือตายก็ให้อันหลิงเกอตัดสินใจแล้วกัน

กุ้ยเหรินอย่างนั้นหรือ ?

ภายในวังหลวงมีกุ้ยเหรินมิน้อยที่สิ้นบุญ นางเอ่ยเช่นนี้เพราะมิต้องการโยงถึงหลี่กุ้ยเฟยกระมัง

“ท่านอ๋องมาขอรับ ! ” ขันทีที่อยู่ด้านนอกรายงานด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด

คนที่อยู่ด้านในได้ยินดังนั้นก็รีบคุกเข่าคำนับทันที

“เป็นอย่างไรบ้าง ? ” มู่จวินฮานก้าวยาว ๆ ไปหาอันหลิงเกอ ก่อนจับมือของนางแล้วถามอย่างร้อนรน

“หมอหลวงบอกว่ามิสามารถรักษาได้ ข้าเองก็มิรู้ควรทำเช่นไรเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอถอนหายใจออกมา จากนั้นก็เบือนหน้าหนีอย่างเศร้าสร้อย

“ว่าอย่างไรนะ ? ” เขาเอ่ยถามขณะจ้องไปยังอวิ๋นเอ๋อที่ยังคุกเข่าอยู่

อวิ๋นเอ๋อที่โดนเขาจ้องมองก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งกาย ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ นางจึงรีบก้มหน้าเพื่อหลบสายตาทันที นางรู้ดีว่ายากหนีพ้นความผิดในครั้งนี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสองสามีภรรยาแล้ว นางก็อดรู้สึกกลัวมิได้

“อย่าเลยเจ้าค่ะ ในเมื่อนางซื่อสัตย์ต่อเจ้านายถึงเพียงนี้ก็ให้นางไปเฝ้าสุสานหลวงของเหล่าพระสนมทั้งหลายเถิดเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินมู่จวินฮานสั่งให้นำตัวนางไปประหาร อันหลิงเกอก็รีบขัดขึ้นมาทันที

“ตกลง” มู่จวินฮานเอ่ยขึ้นมาเพราะเข้าใจความรู้สึกของอันหลิงเกอดี

อวิ๋นเอ๋อประหลาดใจอย่างมากเพราะนางมิคิดว่าจักพ้นจากโทษตายในครั้งนี้ได้

“เด็กเด็ก ลากนางไปสุสานหลวง” มู่จวินฮานกล่าวจบก็เดินจากไปโดยมิได้มองมาทางนางแม้แต่น้อย

เมื่อได้ยินคำตัดสินสุดท้ายของมู่จวินฮาน ปี้จูและอันหลิงเกอก็สบตากันแต่มิได้กล่าวสิ่งใดออกมา ต่อให้เป็นโอกาสดีในการดึงหลี่กุ้ยเฟยลงมา แต่เรื่องจบลงเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน

ด้านหลี่กุ้ยเฟยได้ยินเรื่องโทษที่อวิ๋นเอ๋อได้รับ ภายในใจก็อดรู้สึกเจ็บปวดมิได้ เด็กคนนั้นซื่อสัตย์ต่อนาง แต่นางมิสามารถปกป้องได้เลย

หลายปีมานี้อวิ๋นเอ๋อช่วยนางทำงานหลายอย่าง

วังหลวง…เป็นสถานที่แห่งความโลภ

ระหว่างคนสนิทย่อมไร้ความลับต่อกัน เช่นนั้นแล้วจักทำท่าทางราวกับมิเป็นอันใดได้เยี่ยงไร

“พระชายา ท่านคิดว่าหลี่กุ้ยเฟยเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่เจ้าคะ ? ” น้ำเสียงของปี้จูเคร่งเครียดเล็กน้อยพร้อมแววตากระจ่างใสที่มองมายังอันหลิงเกอ

อันหลิงเกอเห็นท่าทางจริงจังของสาวใช้ก็เอ่ยขึ้นว่า “เดิมทีนางก็เป็นคนที่ตระกูลหลี่ส่งเข้าวังอยู่แล้ว ทว่าทำเรื่องชั่วช้าเอาไว้มากมายย่อมมิถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์หรอก”

“ปี้จู เจ้าคิดว่า…สักวันหนึ่งข้าจักกลายเป็นคนเช่นนั้นหรือไม่ ? ” เห็นท่าทางนิ่งเงียบไปของปี้จู น้ำเสียงของอันหลิงเกอก็สั่นเครือคล้ายเสียงของคนร้องไห้

ปี้จูได้ยินก็รู้สึกสงสารมิน้อยจึงกอดปลอบจนนางสงบลง “พระชายา ท่านมิมีทางเปลี่ยนไปแน่นอนเจ้าค่ะ”

ปี้จูพูดโน้มน้าวอันหลิงเกอที่กำลังฟังอยู่เงียบ ๆ

มินานมู่จวินฮานก็กลับมาอีก ปี้จูจึงค่อย ๆ หลบออกไป

“เด็กคนนี้อ่อนแอและโชคร้ายนักเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอมององค์ชายน้อยที่นอนอยู่บนเตียง จากนั้นจึงเขียนใบสั่งยาให้สำนักหมอหลวง

หลังออกจากวังหลวงก็มีราชโองการปูนบำเหน็จตามมา และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือมู่จวินฮานยุ่งมากกว่าเดิมหลายเท่า

เพียงพริบตาก็ผ่านไปหลายเดือนแล้ว ตอนนี้หนอนกู่ตัวแม่ในกายของมู่จวินฮานสงบลงแล้ว หนอนกู่ที่อยู่ในกายของทั้งสองคนก็มิได้กำเริบขึ้นมาอีก

“มาแล้วหรือ” มู่จวินฮานที่อยู่ในห้องหนังสือเงยหน้าขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง หัวคิ้วขมวดมุ่นและแม้เห็นหน้านาง คิ้วของเขาก็ยังมิคลายจากกัน

อันหลิงเกอเดินเข้าไปหาก่อนวางถ้วยน้ำแกงลงเบื้องหน้าเขา จากนั้นหยิบพู่กันในมือมู่จวินฮานวางบนโต๊ะเบา ๆ แล้วยื่นมือช่วยคลึงระหว่างคิ้วของเขาอย่างแผ่วเบา

เพราะความเครียดที่สะสมเป็นเวลานานทำให้ระหว่างคิ้วของมู่จวินฮานปรากฎริ้วรอยจนนางอดสงสารมิได้

*กุ้ยเหริน เป็นชื่อตำแหน่งพระสนมของฮ่องเต้