ตอนที่ 453 ช่วยเหลือ

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 453 ช่วยเหลือ

“ที่จริงแล้วข้ามิควรถามเรื่องในราชสำนัก แต่หลายวันมานี้ข้าเห็นท่านมีเรื่องกังวลตลอดเวลา เรื่องอันใดที่ทำให้ท่านเป็นเช่นนี้ได้เจ้าคะ ? ” นางถามมู่จวินฮานอย่างอ่อนโยนพร้อมมือสองข้างวางอยู่บนบ่าของเขาเพื่อช่วยบีบนวดไปด้วย

นางถูกมู่จวินฮานประคองให้นั่งลง ก่อนจับมืออันบอบบางของนางมาทาบไว้บนหน้าอกของตนแล้วเอ่ยว่า “แคว้นชิงเยว่เตรียมบุกชายแดนอีกแล้ว ครั้งนี้ฝ่าบาทให้ข้าเลือกผู้นำทัพไปออกรบ”

อันหลิงเกอไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยกับเขาด้วยสายตามั่นคง “ให้องค์ชายสี่ไปสิเจ้าคะ”

“องค์ชายสี่น่ะหรือ ? เขายังเด็กอยู่เลย” มู่จวินฮานมองอันหลิงเกออย่างสงสัยราวกับถามนางว่าคิดเช่นนั้นจริงหรือ

อันหลิงเกอกลอกตามองบนครั้งหนึ่งแล้วใช้นิ้วชี้จิ้มที่หน้าอกของเขา “ท่านอย่ามองข้าเช่นนี้ องค์ชายสี่เป็นคนซื่อสัตย์จริงใจ แม้เขามิเหมาะกับการสู้รบก็จริง แต่ในหมู่องค์ชายทั้งหลาย มีเพียงเขาที่มีคุณสมบัติขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้ ดังนั้นต้องอาศัยโอกาสนี้ฝึกฝนเขาไปด้วยเจ้าค่ะ”

ฮ่องเต้ก็เห็นดีเห็นงามเรื่องที่จักส่งองค์ชายสี่ไปชายแดนและยังส่งคนไปคอยคุ้มกันอีกด้วย องค์ชายสี่จ้าวจิงห่าวเมื่อได้รับราชโองการก็ออกเดินทางด้วยความดีใจ

หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน ทัพของแคว้นชิงเยว่ก็ล่าถอยกลับไป จ้าวจิงห่าวจึงกลับเมืองหลวงพร้อมชัยชนะ

เขามิทำให้อันหลิงเกอและมู่จวินฮานผิดหวังเลย พวกนางรู้ว่าจ้าวจิงห่าวมีความสามารถดูแลบ้านเมืองในภายภาคหน้าได้ มิว่าเป็นการนำทัพหรือจัดการเรื่องในราชสำนัก องค์ชายสี่ถือว่าเหมาะสมที่สุด

ครั้งนี้ผู้ที่ติดตามองค์ชายสี่ไปรบด้วยยังมีแม่ทัพลวี่สามีของซูเอ๋อที่อันหลิงเกอต้องการช่วยเหลืออีกคน

ที่นางทำเช่นนี้ก็เพื่อซูเอ๋อ แต่คาดมิถึงว่าจักกลายเป็นการสร้างปัญหาใหญ่ตามมาทีหลัง

“ท่านคิดว่านางจักรับเชี่ยเซินได้หรือเจ้าค่ะ ? ” ภายในรถม้า สตรีท่าทางอ้อนแอ้นนางหนึ่งกำลังอิงซบที่บ่าของแม่ทัพลวี่ น้ำเสียงที่ยั่วยวนทำให้คนฟังอดใจอ่อนตามมิได้

เขาขมวดคิ้ว ภายในใจรู้สึกว้าวุ่นเพราะเขาเติบโตมากับซูเอ๋อ ทั้งสองคนสาบานว่าจักรักกันชั่วฟ้าดินสลาย แต่บัดนี้เขาพาเนี่ยอันอันกลับจวนมาด้วย นางจักรับได้จริงหรือ ?

ยิ่งกว่านั้นเบื้องหลังของซูเอ๋อยังมีพระชายามู่คอยสนับสนุนด้วย !

ภายในวังหลวง มู่จวินฮานสองสามีภรรยาเมื่อรู้ว่าวันนี้จ้าวจิงห่าวกลับมา พวกเขาจึงตามฝ่าบาทไปรอที่ท้องพระโรงตั้งแต่เช้าตรู่

“ทูลฟู่หวง ลูกกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องแคว้นชิงเยว่ตอนนี้กลับสู่ความสงบแล้ว ราษฎรต่างพากับซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของฟู่หวงพ่ะย่ะค่ะ”

“ลุกขึ้นเร็ว ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว ไปครั้งนี้ใช้เวลานานแรมเดือน มามามา ให้พ่อดูหน้าเจ้าหน่อย” ฮ่องเต้เรียกจ้าวจิงห่าวมาด้านหน้า แต่อีกฝ่ายมิได้ก้าวไปหาในทันที

ทว่าหันไปพูดกับมู่จวินฮาน “ขอบคุณท่านอ๋องและพระชายามากที่มอบโอกาสนี้แก่ข้า ! ”

“องค์ชายตรัสเกินไปแล้ว ! ” มู่จวินฮานยิ้มออกมาเล็กน้อย เขารู้สึกชื่นชมองค์ชายสี่มิน้อยจริง ๆ

“ศึกในครั้งนี้แม่ทัพลวี่ตามลูกไปรบด้วย ลูกจึงอยากขอพระราชทานรางวัลให้เขาพ่ะย่ะค่ะ” จ้าวจิงห่าวทูลจบก็เงยหน้ามองพระพักตร์เพื่อรอคำตอบ

“ได้สิ ได้ได้ ! ” ฮ่องเต้ทรงประทานอนุญาต

อันหลิงเกอเองก็พยักหน้าอย่างชื่นชม ดูท่าแล้วองค์ชายสี่น่าจักรู้ถึงความตั้งใจของนางเช่นกัน

“ระหว่างทางแม่ทัพลวี่บังเอิญพบสตรีนางหนึ่งจึงพากลับมาด้วย เขาต้องการพระราชทานนางเป็นรางวัลพ่ะย่ะค่ะ ! ” หลังองค์ชายสี่เอ่ยปาก อันหลิงเกอก็นิ่งอึ้งทันที

นี่คืออันใด ?

นางหันหน้าไปมองแม่ทัพลวี่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง อันที่จริงวันนี้ซูเอ๋อก็ได้รับอนุญาตเข้าวังเพื่อต้อนรับสามี !

อันหลิงเกอกำลังเอ่ยปาก แต่บังเอิญเห็นเงาของซูเอ๋อที่ด้านนอกท้องพระโรงพอดี แม่ทัพลวี่เมื่อเห็นสายตาพระชายามองไปด้านนอก เขาจึงมองตามไปจนพบเข้ากับซูเอ๋อที่ยืนฟังพวกเขาสนทนากันอยู่นอกท้องพระโรง

ใบหน้าเรียวเล็กและดวงตากลมโตคู่นั้นแดงก่ำขึ้นมาในพริบตาพร้อมหยาดน้ำตาที่ไหลรินข้างแก้ม ท่าทางน่าสงสารยิ่งนัก

แม่ทัพลวี่กำลังเอ่ยปากบางอย่างออกมา แต่เมื่อซูเอ๋อเห็นว่าเขามองนางอยู่ก็วิ่งหนีไปทันที

“ประทานรางวัลให้แก่แม่ทัพลวี่น่ะได้ ! ทว่ามิควรทำให้ผู้อื่นเสียใจจึงจักถูก” ฮ่องเต้เองก็ทราบดีจึงตรัสออกมาพร้อมทอดถอนพระทัย

อันหลิงเกอเห็นท่าทางน่าสงสารของซูเอ๋อ ภายในใจก็อดแย่มิได้ เป็นสตรีเหมือนกันจักมิเข้าใจความรู้สึกนี้ได้เยี่ยงไร

ถึงแม้จักเป็นเยี่ยงนั้น แต่ในเมื่ออยู่ในตระกูลที่สูงส่ง บางอย่างเราก็มิสามารถทำอันใดได้เลย

หลังจบการประชุมแล้ว อันหลิงเกอก็รีบออกจากวังหลวงเพื่อไปหาซูเอ๋อ เมื่อเห็นประตูเรือนของนางปิดสนิทจึงสั่งให้คนไปเคาะเรียก

“คารวะพระชายาเจ้าค่ะ” สาวใช้เห็นว่าคนที่มาเป็นอันหลิงเกอก็รีบคำนับทันที แต่ยังอดคอยมองซูเอ๋อที่อยู่ในห้องมิได้

“นายของพวกเจ้าอยู่ที่ใด ? ” นางถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“นายหญิงของบ่าว…นายหญิงอยู่ในห้องเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบอย่างขลาดกลัว

“ในห้องหรือ ? ข้าจักไปดูนางเอง”

“…” ทันทีที่เปิดประตูก็ได้ยินเสียงสตรีกำลังร้องไห้อยู่

“พวกเจ้าออกไปก่อน มิต้องมายุ่งกับข้า” ซูเอ๋อที่กำลังโศกเศร้าเสียใจอยู่ก็คิดว่าผู้ที่มาคือสาวใช้ของตนจึงออกปากไล่ทันที

“ซูเอ๋อน้อยของข้า นี่เกิดอันใดขึ้น เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้เพียงนี้ ? ” นางเข้าไปปลอบซูเอ๋อทันที

ซูเอ๋อเห็นว่าคนที่มาคืออันหลิงเกอก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม นางร้องไห้ไปพลางก็กล่าวถึงเรื่องที่สองคนเคยสาบานต่อกันไว้ อันหลิงเกอปลอบนางอยู่ครึ่งวันจึงได้สงบลง

แม่ทัพลวี่ก็มิได้เย็นชาต่อนางเพราะเนี่ยอันอัน ตรงกันข้ามคือเขารู้สึกซาบซึ้งใจและละอายใจที่นางยอมรับอนุภรรยาเข้ามาเช่นนี้ เขาจึงใส่ใจและอ่อนโยนต่อนางมากกว่าเดิม ซูเอ๋อเห็นสิ่งที่เขาทำก็ค่อย ๆ ยอมรับเรื่องนี้และอยู่ร่วมกับเนี่ยอันอันอย่างสงบสุข

ระหว่างทางกลับจวน ในใจของปี้จูก็รู้สึกกระวนกระวายมิน้อย

พระชายาของนางเป็นคนระแวดระวังมาโดยตลอด แต่ช่วงที่ผ่านมาท่านอ๋องเกิดบางอย่างขึ้นทำให้เปลี่ยนไปจนพระชายาก็พลอยอยู่มิเป็นสุขไปด้วย เมื่อนึกถึงอันหลิงเกอที่ร้องไห้คร่ำครวญตอนนั้นแล้ว นางก็อดรู้สึกสงสารมิได้

หลายวันมานี้เพื่อมิให้ซูเอ๋อโศกเศร้า อันหลิงเกอจึงมักเรียกสหายออกมาเที่ยวด้วยกันบ่อย ๆ อีกทั้งวันนี้ยังมีมู่จวินฮานมาร่วมด้วย

ภายในห้องส่วนตัวบนชั้นสาม ซูเอ๋อ อันหลิงเกอและมู่จวินฮานนั่งร่วมโต๊ะกัน

มู่จวินฮานนั่งเงียบขณะคีบเนื้อปลาไว้ตรงหน้าและแกะก้างออกจนหมดแล้วจึงคีบใส่จานของอันหลิงเกอ

ซูเอ๋อเห็นดังนั้นถึงขั้นเบะปากใส่ สองคนนี้ต้องการกลั่นแกล้งที่นางไร้สามีอยู่ข้างกายใช่หรือไม่

เมื่อเห็นสายตาดูแคลนของเพื่อนรัก อันหลิงเกอก็ทานเนื้อปลาพร้อมรอยยิ้มหวาน

“เกอเอ๋อ ครั้งนี้เจ้ากับสามีไปเที่ยวเล่นที่ไหนมาเล่า” ซูเอ๋อเน้นเสียงคำว่าสามีออกมาชัดเจน

แต่มู่จวินฮานมิได้สนใจเพราะเขายังแกะก้างปลาให้ชายาอย่างตั้งใจ

อันหลิงเกอกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนยิ้มแล้วเริ่มเล่าเรื่องที่ได้พบเห็นตอนออกไปเที่ยวเพื่อให้ซูเอ๋อรู้สึกสบายใจขึ้น “ครั้งนี้พวกเราไปเมืองเยว่เฉิงมา ตอนที่พวกเราเพิ่งไปถึง ข้ากับท่านอ๋องมิค่อยคุ้นเคยกับที่นั่นจึงก่อเรื่องน่าขันบางอย่างขึ้นด้วย…”

ถึงตรงนี้อันหลิงเกอก็ตั้งใจหยุดพูด ก่อนเหลือบมองมู่จวินฮานด้วยแววตาที่แฝงความนัย

แต่มู่จวินฮานมิได้สะทกสะท้าน เป็นซูเอ๋อที่สังเกตเห็นว่าเมื่อครู่ใบหน้าของมู่จวินฮานเกิดอาการเก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย

ซูเอ๋อเห็นดังนั้นก็รู้สึกสนใจจึงอยากฟังอันหลิงเกอเล่าให้จบ แต่ใครจักคิดว่าอันหลิงเกอตั้งใจแกล้งนาง อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนเรื่องเสียอย่างนั้น

“แล้วก็ตัวอักษรของแคว้นชิงเยว่…” อันหลิงเกอกล่าวไปพลางใช้นิ้วชี้แตะที่น้ำชาเล็กน้อย จากนั้นวาดลงบนโต๊ะและสอนซูเอ๋อทีละตัวทีละตัว