“เหลวไหล! เจ้าพูดเหลวไหล!” เหลียนเหนียงตะหวาดเสียงแหบเสียงแห้ง
อวิ๋นเสวียนฉั่งดวงตาแดงกล่ำ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยิ้มเย็น “เพราะยามนี้นางก็ยังคงไปมาหาสู่กับโจวจวิ้นผู้นั้นอยู่ เมื่อวานนางฝากตงเจี่ยไปบอกที่หอหย่าจื้อ ข้าได้ยินเข้าโดยบังเอิญจึงตงิดใจแปลกๆ ตั้งแต่เหลียนเหนียงมาอยู่ที่ตระกูลอวิ๋นก็ตัดขาดกับทางนั้นไป เหตุใดจู่ๆ จึงได้ไปหาคนที่นั่นอีก ข้าเกรงว่านายท่านจะถูกหลอกจึงได้ให้อาเถาตามไปจับตาดูตงเจี่ยโดยพลการ อาเถาฟังความกลับมาก็บอกข้าว่าเหลียนเหนียงฝากคำมาบอกคนรักเก่าอย่างโจวจวิ้นผู้นั้น”
ลูกกระเดือกของอวิ๋นเสวียนฉั่งขยับไหว มองไปยังเหลียนเหนียงอย่างสั่นเทา “เจ้าติดต่อเขาเพื่อการใด”
เหลียนเหนียงไหนเลยจะรู้ว่าไป๋ซื่อสะกดรอยตามไปจึงทำอันใดไม่ถูก หากจะโกหกก็ยากที่จะคิดหาเหตุผลดีๆ ออกมาได้ คำพูดติดอยู่ในลำคอนานสองนานก็เอ่ยออกมามิได้
“นางมิกล้าพูด เช่นนั้นข้าก็จะบอกนายท่านเองเจ้าค่ะ” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “นางไปหาคนรักเก่าเพื่อยืมของเจ้าค่ะ!”
“ยืมของอันใด” อวิ๋นเสวียนฉั่งหอบหายใจ
“น้ำเชื้อเจ้าค่ะ!”
ประโยคนี้เอ่ยออกไป ภายในห้องบุปผาก็มีเสียงอื้ออึงดังขึ้น
เหลียนเหนียงฟุบหมอบลงกับพื้นทั้งน้ำตานองหน้าอย่างไม่ขาดสาย สะอึกสะอื้นเอ่ยว่า “นายท่านอย่าฟังที่ฮูหยินกล่าวนะเจ้าคะ! ฮูหยินพูดเพื่ออยากให้เหลียงเหนียงตาย!”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยิ้มเอ่ยว่า “นายท่านจับตัวโจวจวิ้นกับตงเจี่ยสาวใช้ข้างกายนางเอาไว้แล้วไต่ถามดูก็จะทราบเจ้าค่ะ”
ตงเจี่ยตัวสั่นไปทั้งร่าง ได้ยินเพียงเสียงตะหวาดของนายท่านว่า “โกหกมดเท็จ ลากตัวไปที่ศาลเจ้า! โบยจนกว่าจะยอมพูด!”
สำหรับสาวใช้ในตระกูลแล้ว ผู้นำตระกูลคือผู้ชี้ชะตา ไหนเลยจะต้องใช้การโบยมาไต่ถามอีก
ตงเจี่ยรู้ดีว่าปกปิดมิได้อีกต่อไปจึงคุกเข่าลงอย่างหวาดกลัวสุดแสน ร้องห่มร้องไห้เอ่ยว่า “นายท่านเจ้าคะ นายหญิงให้บ่าวไปพบเด็กรับใช้ของหอหย่าจื้ออย่างโจวจวิ้นเพื่อ…”
อวิ๋นเสวียนฉั่งนั่งลงบนเก้าอี้ดังเดิมด้วยสีหน้าเขียวคล้ำ “พูดมา”
“อนุรองมักจะบอกว่าร่างกายนายท่านย่ำแย่ เกรงว่าจะมีลูกมิได้อีกแล้ว แต่นางยังต้องมีทายาทออกมาให้ได้โดยไวจึงจะสามารถเอาชนะใจนายท่านได้ จึงจำต้องไปหาคนผู้นั้น…” ตงเจี่ยสะอึกสะอื้นบอก
“หาใครไม่หา ไปหาคนรักเก่าที่หอหย่าจื้อนั่น ใช้ลูกชายของเขามาแบ่งเอากิจการของสกุลอวิ๋นไปในภายหน้า ยังคะนึงหาครรภ์ที่แท้งไปนั่นอยู่หรือ อนุรองซื่อสัตย์ต่อนายท่านด้วยวิธีนี้น่ะหรือ!” ไป๋เสวี่ยฮุ่ยตบโต๊ะ “ในเมื่อความสัมพันธ์ที่มีต่อคนรักเก่าผู้นั้นกับเจ้าลึกซึ้งถึงเพียงนี้ เหตุใดต้องเข้าสกุลอวิ๋นมาด้วย”
เมื่อประโยคนี้จบลง อวิ๋นเสวียนฉั่งฟังแล้วแทบจะเลือดขึ้น เจ็บปวดแทบขาดใจ “โชคดีที่ข้าโปรดปรานเจ้า เรื่องอัปยศแต่เก่าก่อนก็แล้วกันไป ไม่ว่าเจ้าจะถูกข่มขืนหรือยินยอมด้วยความเต็มใจ อย่างไรเสียก็ผ่านไปแล้ว ข้าจะไม่เอามาใส่ใจ แต่…หัวใจของเจ้ามิเคยมีข้ามาแต่แรก นังแพศยานี่…!”
เหลียนเหนียงโผเข้ากอดขากางเกงของเขาทั้งน้ำตานองหน้า “นายท่านเจ้าขา ข้ามิได้รักคนผู้นั้นแล้ว ตอนนั้นด้วยยังเยาว์นักจึงรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ใจข้าในยามนี้มีเพียงนายท่านและสกุลอวิ๋นนะเจ้าคะ ครานี้เป็นข้าที่เลอะเลือนไป แต่โชคดีที่ยังมิได้ก่อเรื่องใหญ่ขึ้น ขอนายท่านโปรดอภัยให้ข้าด้วยเถิด…”
ใช่ ในเมื่อนังแพศยานี่กล่าวออกมาอย่างมั่นอกมั่นใจว่าเขามิอาจมีบุตรได้ เช่นนั้นการแท้งของนาง…หากไม่ได้หลอกลวงกัน เช่นนั้นเด็กในท้องก็เป็นของคนอื่น! อวิ๋นเสวียนฉั่งเข้าใจแจ่มแจ้ง ยกเท้าขึ้นถีบเหลียนเหนียง ขมวดคิ้วตะหวาดว่า “ตงเจี่ย การแท้งของเหลียนเหนียงเป็นมาอย่างไร!”
เหลียนเหนียงยามนี้ตั้งใจจะสารภาพแล้ว โทษของการใส่ร้ายป้ายสีคุณชายนั้นเบากว่าคบชู้สู่ชายเป็นไหนๆ นางยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองฉาดหนึ่ง “นายท่านเจ้าคะ เป็นข้าที่ใจคด เป็นข้าที่ใส่ร้ายคุณชายเจ้าค่ะ! ข้ามิได้แท้งตั้งแต่แรก เป็นข้ากับหมอแม่เฒ่าเถื่อนที่กุเรื่องขึ้นเพื่อจงใจหลอกท่าน เพื่อใส่ร้ายคุณชาย และเพื่อให้ท่านได้รู้ว่าคำพูดเตือนสติที่ตรงใจข้าของท่านอาจารย์อู้เต๋อนั้นคือการมีวาสนาในชีวิต!”
อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่เชื่อคำพูดนางอีกต่อไป เขาจ้องแต่เพียงตงเจี่ยเขม็ง “เจ้าพูดมา! เป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่”
เหลียนเหนียงมองตงเจี่ยทั้งน้ำตา แต่กลับเห็นนางเงียบไปเสียนานแล้วเอ่ยว่า “เรื่องแท้งนั้น…จริงเจ้าค่ะ”
เหลียนเหนียงดวงตาจ้องเขม็งอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง โผเข้าไปบีบคอนาง “เจ้ามันอสรพิษ! ข้าไปทำอันใดให้เจ้ากัน เจ้าจึงต้องมาใส่ร้ายข้าเช่นนี้…ข้าเคยแท้งตั้งแต่เมื่อใดหรือ ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่…ผู้ใดให้เจ้ามาใส่ร้ายข้ากัน…” ขณะที่นางกำลังบีบคอจนตงเจี่ยตาปลิ้นตาเหลือกอยู่นั้น ก็รู้สึกได้ถึงแรงถีบจากหลังต้นคอให้ล้มลงไปกองกับพื้น ลุกขึ้นมาอีกครั้งก็เห็นเพียงอวิ๋นเสวียนฉั่งยืนตาแดงกล่ำอยู่เบื้องหน้า “เจ้าทำเรื่องงามไส้กับคนรักเก่าตั้งแต่แรก! ตั้งครรภ์มารหัวขนตัวหนึ่งยังมิพอ ยังจะมามีอีกครรภ์ที่บ้านข้า! เจ้าละอายบ้างหรือไม่!”
นี่ช่างเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองโดยแท้ ใส่ร้ายผู้อื่นก็ย่อมถูกผู้อื่นใส่ร้ายกลับคืน มีอันใดให้ต้องร้องกัน อวิ๋นหว่านชิ่นมองเหลียนเหนียงแล้วหันไปเห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างไม่ได้ตั้งใจ ตงเจี่ยพลิกลิ้นใส่ร้ายเหลียนเหนียงเช่นนี้ จะมีผู้ใดเสี้ยมได้อีกเล่า
เหลียนเหนียงยังคงร้องห่มร้องไห้ “หากนายท่านไม่เชื่อก็ไปเอาตัวหมอแม่เฒ่าเถื่อนมาเป็นพยานได้เจ้าค่ะ ข้าเพียงแท้งปลอมๆ! หลังจากที่ข้ามาที่สกุลอวิ๋นแล้วก็มิได้ตั้งครรภ์อีกเลย และมิเคยแท้งด้วยเจ้าค่ะ…” กล่าวถึงตรงนี้ก็พลันกระจ่างแจ้ง นางหมดหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพื่อที่จะปิดบังหูตาคนอื่นนางจึงได้หาแม่เฒ่าหมอเถื่อนที่โดดเดี่ยวไร้ญาติขาดมิตรมา พอหลังจากการแท้งปลอมๆ นั่นแล้ว เพื่อป้องกันมิให้ผู้ใดตรวจสอบเรื่องนี้ได้จึงให้เงินแก่แม่เฒ่าไปไม่น้อย ให้นางไปอยู่ที่อื่น อย่าได้กลับมาที่เมืองหลวงอีก…
โลกนี้แสนกว้างใหญ่ ผู้ใดจะรู้ได้ว่านางไปอยู่ที่ใด
นี่…ช่างเป็นการตัดหนทางให้ตนเองได้เดินต่อโดยแท้!
นางใบหน้าซีดเผือด ซ้ำยังตกใจอย่างกะทันหัน จึงโผไปแทบเท้าเหยากวงเหย้า “ท่านหมอหลวงเหยา! มีเพียงท่านที่จะช่วยข้าได้แล้ว ท่านจับชีพจรให้ข้าอีกรอบ จับดูใหม่อีกที! แล้วบอกพวกเขาว่าข้ามิเคยแท้งมาก่อน!” นางพูดพร้อมกับถกแขนเสื้อขึ้น ยื่นข้อมือขาวเนียนส่งไปให้
เหยากวงเหย้าขมวดคิ้ว “เมื่อครู่ข้าได้บอกไปแล้วว่าเวลาผ่านมานานแล้ว ยามนี้จึงวินิจฉัยได้ยาก”
เหลียนเหนียงตัวอ่อนยวบลงกับพื้น พูดอันใดไม่ออกอีกแม้เพียงครึ่งคำ
อวิ๋นเสวียนฉั่งโปรดปรานนางจนสุดหัวใจ หากนางใส่ร้ายบุตรชายเพียงอย่างเดียวก็ยังพอจะอะลุ่มอล่วยได้อยู่บ้าง แต่ไหนเลยจะอภัยให้แก่สตรีที่ไม่สัตย์ซื่อได้ เขากัดฟันเอ่ยว่า “ลากตัวออกไป มัดไว้ใกล้ห้องเก็บฟืนที่เรือนหลังก่อน คืนนี้ไปหาแม่เล้ามาแล้วขายนางไปเสีย!”
เหลียนเหนียงนึกไปถึงเรื่องที่เถาฮวาถูกขายออกไป ยามนี้ลำบากตรากตำอย่างไรไม่รู้แน่ จึงรีบร้องไห้ยกใหญ่ “นายท่านเจ้าขา ข้าถูกใส่ร้ายจริงๆ นะเจ้าคะ นายท่านให้ข้าอยู่ต่ออีกหน่อย อนุญาตให้ข้าได้อธิบายด้วยเถิด…”
อวิ๋นหว่านชิ่นขมวดคิ้วมุ่น ไม่ตายก็นับว่าบุญเพียงใดแล้ว ยังจะกล้ามาร้องขอความเมตตาไม่ลดละอีก เห็นได้ชัดว่าบิดาผู้นี้ยังคงมีเยื่อใยแต่เก่าก่อนให้นางอยู่ นางทั้งใส่ร้ายบุตรชาย ทั้งสวมเขาให้ นึกไม่ถึงว่าจะยังไว้ชีวิตนาง วันนี้ขายออกไป เดี๋ยววันไหนหายโกรธแล้ว ไม่แน่ว่าอาจไปไถ่ตัวนางกลับคืนมา
ครู่ต่อมา อวิ๋นหว่านชิ่นจึงเอ่ยว่า “ให้ลูกจัดการที่ที่แม่เล็กจะไปดีหรือไม่”
เหลียนเหนียงหวาดกลัวเหลือคณา จ้องนางเขม็ง
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะเยาะเบาๆ “เจ้าวางใจได้ ท่านพ่อไม่ฆ่าเจ้า ข้าจะเป็นลูกสาวอกตัญญูได้อย่างไร ข้าไม่เอาชีวิตเจ้าหรอก แล้วก็จะไม่แตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายผม”
อวิ๋นเสวียนฉั่งกำลังเดือดดาลอยู่ แต่ก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์เช่นกัน หากให้เขาขายอนุสุดที่รักไปให้บ้านอื่นด้วยตัวเองก็ไม่ค่อยจะสบายใจนัก พอได้ยินอวิ๋นหว่านชิ่นกล่าวเช่นนั้นจึงโบกมืออย่างขอไปที “ได้ เช่นนั้นก็ให้พระชายาไปจัดการแทนพ่อก็แล้วกัน”