เหลียนเหนียงก็รีบจับตงเจี่ยเพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นเช่นกัน นางยอบกายบอบบางดั่งหลิวต้องลมคำนับอย่างงดงาม “ขอบพระคุณท่านหมอหลวงที่มิได้ทำให้ข้าต้องได้รับความมัวหมอง”
ชูซย่าเห็นแล้วก็โมโหคับอก นี่นับว่าเป็นอันใดได้ สถานการณ์พลิกหรือ พลิกจนทำเอาเหนียงเหนียงกลายเป็นคนหาเรื่องหาราวไปเสียได้ ทว่ากลับได้ยินเสียงของเหยาย่วนพั่นที่ยืนอยู่ภายในห้องดังลอยมาว่า “เรื่องการแท้งบุตร หากอิงแค่เลือดลมมากน้อยนั้นมิอาจขัดต่อหลักจรรยาบรรณวินิจฉัยได้ว่าแท้งหรือไม่ บางคนร่างกายแข็งแรงแต่เกิด บางคนเกิดมาก็อ่อนแอ แต่เรื่องที่ฮูหยินเคยตั้งครรภ์หรือไม่นั้น ข้ากลับสามารถวินิจฉัยได้”
อวิ๋นหว่านชิ่นตัวตั้งตรงมองไปยังเหยากวงเหย้า
อวิ๋นเสวียนฉั่งพลันตกตะลึง
เหยากวงเหย้ามองเหลียนเหนียงคราหนึ่ง “เมื่อครู่ข้าได้ตรวจดู อนุรองนั้นเคยตั้งครรภ์จริง”
อวิ๋นเสวียนฉั่งตบเข่าฉาด เอ่ยด้วยความยินดียิ่งขึ้นว่า “เท่านี้ก็จบแล้ว!” จากนั้นจึงหันไปมองอวิ๋นหว่านชิ่น “ครานี้ พระชายาคงจะไม่มีคำพูดแม้ครึ่งคำให้กล่าวแล้ว พอใจเสียยิ่งกว่าพอใจแล้วกระมัง!” เขาคิดพลางแค้นเหลือแสน ตะหวาดว่า “นางกว่าจะตั้งครรภ์ได้ กลับโดนน้องชายเจ้ามาทำลายอีก!”
เหลียนเหนียงที่เดิมอกสั่นขวัญหายอยู่บ้าง ยามนี้จึงได้ผ่อนคลายลงหลายส่วน เอนกายพิงแขนตงเจี่ยร้องไห้ออกมาเงียบๆ
“เดี๋ยวก่อน” เหยากวงเหย้าสีหน้าไม่พอใจอยู่บ้าง “ข้ายังพูดไม่จบ เจ้ากรมอวิ๋นจะรีบร้อนไปไย อนุรองของท่านแม้จะเคยตั้งครรภ์มาก่อนแต่ก็มิใช่เมื่อเร็วๆ นี้ นับๆ ดูแล้ว อย่างน้อยๆ ก็ปีสองปีที่แล้วได้ เกรงว่าเป็นเพราะเคยใช้ยาทำลายครรภ์ ภายในมดลูกมิได้ขจัดให้หมดจดดี ระดูประจำเดือนของอนุรองจึงมีลิ่มเลือดเพิ่มมากขึ้นในบางคราใช่หรือไม่ นั่นคือเศษเนื้อของทารกขนาดเล็กมากที่ยังตกค้างอยู่ภายในมดลูก แน่นอนว่าไม่ถึงขั้นที่จะมีผลกระทบต่อการให้กำเนิดบุตรในยามนี้ แต่ก็สามารถตรวจพบอาการได้”
ประโยคนี้จบลง ทั่วทั้งห้องก็พลันตกอกตกใจกันครู่หนึ่ง
สองปีก่อนอนุรองยังอยู่ที่สมาคมม้าผอม ยังมิได้เข้าตระกูลอวิ๋นมา แล้วในครรภ์นั่นคือมารหัวขนที่ไหนกัน ตอนนั้นถงฮูหยินเลือกอนุที่หอหย่าจื้อก็เลือกจากสตรีที่สะอาดบริสุทธิ์มิใช่หรือ
อวิ๋นเสวียนฉั่งเหมือนตกจากสวรรค์ลงสู่โคลนตม ปากอ้าค้าง สีหน้ามืดครึ้มขึ้นมา
เหลียนเหนียงตกใจยกใหญ่ “ท่านหมอหลวงเหยา ท่านอย่าได้ใส่ร้ายความบริสุทธิ์ของข้า! ข้าเป็นสาววัยแรกแย้มที่แต่งกับนายท่านด้วยร่างกายบริสุทธิ์นะเจ้าคะ!”
เหยากวงเหย้าขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเป็นย่วนพั่นของสำนักแพทย์หลวง มีหน้าที่ถวายการรักษาฮ่องเต้และไทเฮา ต่อให้ข้าจะได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลเพียงใดก็ไม่จำเป็นต้องใส่ร้ายเจ้า ให้อนุอย่างเจ้ามาทำลายชื่อเสียงของข้า! อีกอย่าง หากข้าคิดใส่ร้ายอนุรอง เมื่อครู่ก็คงบอกไปแล้วว่าเจ้ามิเคยแท้ง คงใส่ร้ายคุณชายอวิ๋นไปแล้ว”
เหลียนเหนียงร่างอ่อนยวบลงบนเก้าอี้ดังเดิมจนเกิดเสียงดัง ‘ฟุ่บ’
ตงเจี่ยก็สั่นเทาไม่แพ้กัน นางได้ฟังเหลียนเหนียงบอกเสมอว่าตั้งครรภ์ได้ แต่เป็นนายท่านที่เป็นหมัน แล้วก็แปลกใจมาโดยตลอด เอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากที่ใดกัน จนกระทั่งพระชายาจากไปเมื่อวาน นายหญิงให้นางไปทำธุระที่หอหย่าจื้อ พอนางทำธุระเสร็จ ครุ่นคิดอยู่นานสองนานจึงได้รู้สึกว่าที่แท้เหลียนเหนียงผู้นี้เคยตั้งครรภ์มาก่อน ก่อนที่จะเข้าสกุลอวิ๋นมาก็เป็นแม่คนมาก่อนแล้ว
ในที่สุดชูซย่าก็ได้ปลดปล่อยอารมณ์เสียนี้ออกไป อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่มีปฏิกิริยาอันใดเป็นพิเศษ เช่นนั้นคงต้องบอกว่าสมาคมม้าผอมขายของมือสองให้ท่านพ่อ ต่อไปความประทับใจของท่านพ่อที่มีต่อเหลียนเหนียงก็จะต่ำลง คงจะไม่เห็นเป็นของล้ำค่าเหมือนแต่ก่อนอีก นางเหลือบตามองบนขาอันสั่นเทาและใบหน้าซีดเผือดของตงเจี่ยแวบหนึ่ง เกรงว่าเรื่องจะยังมิจบ
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่าเหยากวงเหย้าป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปต่อหน้าคนในบ้านก็ไม่กลัวจะขายหน้าอันใดอีก ท่าทางหยิ่งผยองเมื่อครู่มลายหายไป สีหน้าแดงกล่ำหันไปหาเหลียนเหนียง “ดียิ่ง! เจ้าหลอกลวงข้า” ตอนที่เข้าจวนมา รอยยิ้มนั้น ท่าทางนั้น ใบหน้าแดงกล่ำลามไปถึงหูที่วิ่งหนีไป และปฏิกิริยาเขินอายในคราแรกนั่น แตกต่างอันใดกับสาววัยแรกแย้มที่มิเคยต้องมือชายมาก่อน ที่แท้ทั้งหมดนั่นล้วนเสแสร้งแกล้งทำทั้งสิ้น
คิดว่านางเป็นมือหนึ่งมาตลอด ที่แท้ก็เป็นรองเท้าขาดๆ ข้างหนึ่ง ดีเหลือเกินที่เขาเห็นนางเป็นของล้ำค่า
เหลียนเหนียงปิดบังเรื่องนี้ไม่ได้อีกต่อไป นางกัดฟันขาวสะอาดไว้ คงต้องยอมรับไปตรงๆ เท่านั้นแล้ว เหลียนเหนียงคุกเข่าลงทั้งน้ำตานองหน้า “นายท่าน นั่นล้วนเป็นเรื่องในอดีต ข้ามิได้ยินยอม สมาคมม้าผอมมีคนดีคนชั่วผสมปนเปกันไป มีหัวหน้าผู้ดูแลถูกใจเหลียนเหนียง เหลียนเหนียงยอมตายดีกว่ายอมแพ้ จึงต่อต้านไปหลายครั้งหลายหน ต่อมาเหลียนเหนียงถูกวางยา…ฮือออ เหลียนเหนียงถูกข่มขืนเจ้าค่ะ พอตั้งครรภ์จึงได้ใช้ยาขับเลือด สุดท้ายจึงได้เป็นอิสระ โชคดีที่เข้าสกุลอวิ๋นมาแล้ว จงรักภักดีปรนนิบัติรับใช้นายท่าน ไม่เคยคิดปันใจอันใดอีก นายท่านเห็นแก่เหลียนเหนียงที่ยามนี้ภักดีต่อตระกูลอวิ๋น โปรดอภัยให้แก่อดีตเหล่านั้นของเหลียนเหนียงด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”
อวิ๋นเสวียนฉั่งเพิ่งจะโมโหไป สาเหตุหลักๆ คือขายหน้าจึงหัวกรุ่นอยู่พักหนึ่ง มายามนี้ได้ฟังอารมณ์จึงค่อยๆ เย็นลง พอฟังจนจบก็โศกเศร้าอาดูร สีหน้าพลันเปลี่ยน ถูกคนข่มขืน สตรีบอบบางเช่นนางจะทำเช่นไรได้
เหลียนเหนียงเห็นสีหน้าเขาก็พรูลมออกมาเบาๆ เช็ดน้ำตาด้วยท่าทางอ้อนช้อยงดงาม “…ข้ารู้ดีว่าครานี้ปกป้องทายาทสกุลอวิ๋นมิได้ ทำให้นายท่านโมโห ซ้ำยังปิดบังเรื่องนี้กับนายท่านอีก ต่อให้โบยข้าจนตายข้าก็มิอาจโวยวายว่าโดนใส่ร้ายเจ้าค่ะ… แต่ข้าอยากให้นายท่านทราบว่า ยามนี้ใจข้ามีเพียงนายท่านผู้เดียว ตอนนั้นก็เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกนะเจ้าคะ ได้แต่โกรธแค้นสวรรค์ที่มิให้ข้าได้พบกับนายท่านเร็วกว่านี้…”
อวิ๋นเสวียนฉั่งหาทางระบายอารมณ์มิได้จึงถีบเก้าอี้เตี้ยที่อยู่ข้างๆ กระเด็น “หอหย่าจื้อนี่มีความสกปรกโสมมเท่าใดกันแน่ นึกไม่ถึงว่าจะบังคับคนดีๆ ให้กลายเป็นนางโลมได้! ไอ้คนที่มันละโมบเอาเปรียบเจ้ามันเป็นผู้ใดกัน ข้าจะสั่งสอนเสียให้เข็ดหลาบ!”
อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ อดจะยิ้มเย็นออกมามิได้ บังคับคนดีๆ ให้กลายเป็นนางโลมหรือ ม้าผอมนับว่าเป็นคนดีอันใดได้ นางบอกว่าถูกข่มขืน ท่านพ่อก็เชื่อ!
ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าอันเร่งรีบก็ดังขึ้นหน้าห้องบุปผา ได้ยินเพียงเสียงสตรีดังลอยมา
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นว่าเป็นไป๋ซื่อสีหน้าก็พังทลายอย่างอดมิได้ แม้หมู่นี้จะอนุญาตให้นางเข้าออกจวนได้ มิได้จำกัดแค่เพียงศาลเจ้าใกล้ๆ นี้อีก แต่ขณะนี้เขากำลังโกรธจัด ไม่มีอารมณ์มาสนใจนาง “เจ้าจะมาวุ่นวายอันใดที่นี่ ยังไม่ไปอีก!”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยืนอยู่นอกธรณีประตู เห็นสีหน้าของนายท่านก็มิกล้าเข้าไป แต่ก็ละล้าละลังไม่ไปไหนเสียที
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นนางจ้องเหลียนเหนียงเขม็งก็คิดอันใดขึ้นมาได้จึงหยักมุมปากขึ้น “ท่านพ่อ ท่านแม่เป็นภรรยาหลวง ยามนี้เกิดเรื่องขึ้นในบ้านจึงมาฟังด้วย ก็ไม่นับว่าแปลกอันใด” แล้วหันไปมองเหยากวงเหย้าส่งสัญญาณว่ามีคนนอกอยู่ด้วย
การกักบริเวณไป๋ซื่อถึงแค่บริเวณศาลเจ้าเดิมทีเป็นการลงประชาทัณฑ์ภายในตระกูลอวิ๋น ตำแหน่งของนางยังคงเช่นเดิม อวิ๋นเสวียนฉั่งถูกบุตรสาวเอ่ยเตือนจึงได้สติขึ้นมา ในเมื่อมีเหยากวงเหย้าอยู่ด้วยจึงต้องปฏิบัติกับนางอย่างภรรยาหลวง เขาเอ่ยว่า “ฮูหยินเข้ามาเถิด ใครก็ได้ยกเก้าอี้มาให้ฮูหยินที”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก้มหน้านั่งลง ดวงตาทั้งสองยังคงจับจ้องไปที่เหลียนเหนียง เห็นนายท่านเหมือนจะลุกขึ้นไปพยุงเหลียนเหนียงให้ลุกขึ้นตาม สายตานางพลันเย็นชา
อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม “ในเมื่อท่านแม่มาแล้วก็ย่อมมีธุระเป็นแน่ มีคนอยู่มากมายเพียงนี้ มีเรื่องใดก็กล่าวมาเถิด”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยฟังจบก็รีบลุกขึ้นโดยพลัน นางชี้หน้าเหลียนเหนียง “นายท่านเจ้าคะ นางโกหกเจ้าค่ะ”
มืออวิ๋นเสวียนฉั่งที่กำลังจะประคองเหลียนเหนียงพลันชะงักค้าง หันกลับมาถลึงตาโต “หมายความว่าอย่างไร”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “บุรุษที่ทำให้นางแพศยานี่ตั้งครรภ์มิได้ขืนใจนางแต่อย่างใด นางต้องการจะให้นายท่านเห็นใจจึงได้สร้างเรื่องโกหกขึ้นมา ชายคนนั้นเป็นสหายของข้ายามที่อยู่หอหย่าจื้อ เป็นเด็กในร้านนั้น อายุอานามพอๆ กันกับนาง เป็นเด็กหนุ่มรูปงามคนหนึ่ง แซ่โจวนามว่าจวิ้น ทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่เด็ก ตัวติดกันจนยากจะแยก ทั้งยังมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน พอสิบขวบทั้งคู่ก็แอบลักลอบมีสัมพันธ์กัน สุดท้ายจึงมีทายาทที่ไม่ต้องประสงค์ โจวจวิ้นคนนั้นซื้อยาทำลายครรภ์มาให้นางแอบทำลายเด็กในท้อง เรื่องนี้นายท่านให้คนไปถามดูที่หอหย่าจื้อก็จะทราบได้!”