เหยากวงเหย้ายิ้มอย่างอ่อนโยนด้วยใบหน้าสดใสเปล่งปลั่งเอ่ยว่า “ท่านเจ้ากรมอวิ๋นเข้าใจผิดแล้ว วันนี้พระชายาตั้งใจเชิญข้ามาเป็นพิเศษก็เพื่อแก้ไขความสัมพันธ์พ่อลูกของนางกับท่านต่างหาก!”
อวิ๋นเสวียนฉั่งนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่คนส่งจดหมายบอกว่าบุตรสาวไม่รักดีนั่นพาเหยาย่วนพั่นกลับมาเพื่อดูอาการให้เหลียนเหนียง พอยามนี้ได้ฟังจึงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “หมายความว่าอย่างไร”
อวิ๋นหว่านชิ่นมองบิดา “เรื่องที่แม่เล็กแท้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ใด เรื่องก็สายเกินแก้แล้ว ถึงอย่างไรในภายหน้าจิ่นจ้งกับท่านพ่อก็ต้องไปมาหาสู่กันอยู่ดี ยามนี้ก็ให้ข้าที่เป็นพี่สาวได้ชดเชยให้เขาเสีย อย่างน้อยก็ทำให้ความโกรธของท่านพ่อที่มีต่อเขาน้อยลงไปบ้าง ภายหน้าจะได้ไม่เก็บเอามาแค้นเคืองกันอีก เหยาย่วนพั่นเป็นหมอหลวงที่รับใช้ไทเฮากับฝ่าบาท อาการป่วยของท่านย่าเมื่อคราวก่อนก็เป็นเหยาย่วนพั่นที่รักษาให้หาย ครานี้ข้าจึงได้ตั้งใจเชิญเขามาตรวจดูอาการของแม่เล็ก สั่งหยูกสั่งยาให้บำรุงร่างกาย สำหรับแม่เล็กแล้วนี่นับว่าเป็นโชคดีอันยิ่งใหญ่แล้วกระมัง อีกทั้งการแท้งบุตรของสตรีก็มิใช่เรื่องเล็กๆ ยังต้องพึ่งพานางให้มีลูกหลานสืบเชื้อสายของสกุลอวิ๋น หากร่างกายได้รับความเสียหายขึ้นมาจะทำอย่างไร เหยาย่วนพั่นเชี่ยวชาญด้านสูตินารีเวช มีเขาดูแลก็จะไม่มีโรคตกค้างที่ตามมาแน่นอน”
อวิ๋นเสวียนฉั่งไม่เชื่อในเจตนาดีที่ลูกสาวกระทำ นึกไปถึงเมื่อวานที่นางสงสัยว่าเหลียนเหนียงใส่ร้ายจิ่นจ้ง สมองก็พลันสว่างวาบ สีหน้ายิ่งเย็นชามากขึ้น “ข้าดูแล้วพระชายาคงมิได้ทำเพื่อทายาทของสกุลอวิ๋นหรอก แต่เพื่อจะตรวจสอบว่าเหลียนเหนียงแท้งจริงหรือไม่ ให้ไอ้ลูกชายเนรคุณนั่นมันร้องทุกข์ต่อไปเถิด!”
อวิ๋นหว่านชิ่นยิ้มเอ่ยว่า “ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ ท่านพ่ออยากจะคิดเช่นนี้ก็แล้วแต่เถิด”
“เจ้า…” อวิ๋นเสวียนฉั่งเดือดดาลเลือดขึ้นหน้า ความปรารถนาเดียวของม่อไคไหลนั้นคือสกุลอวิ๋นทุกคนมีไมตรีต่อกัน เขาอยากให้ความวุ่นวายนี้จบโดยเร็วจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมเสียงเบาว่า “ไม่ว่าอย่างไรนายท่านก็ต้องกลับบ้านนะขอรับ พระชายาต้องคำนึงถึงจุดนี้แล้วเป็นแน่ นายท่าน เหตุใดจึงต้องแข็งข้อต่อพระชายานัก ท่านไม่ต้องการบุตรสาวอย่างนาง แต่อย่างไรเสียก็ยังต้องการลูกเขยผู้นั้นอยู่ดี นางยื่นทางลงมาให้แล้ว เพียงแค่ตรวจดูร่างกายอนุรองเท่านั้น พอเสร็จสิ้น อนุรองก็จะสามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของตนได้ น่ายินดีที่จะทำอย่างยิ่งมิใช่หรือ…”
อวิ๋นเสวียนฉั่งได้ยินดังนั้นก็ไม่พูดอันใดให้มากความอีก เขาเอ่ยด้วยสีหน้าเขียวคล้ำว่า “ข้าเห็นแก่เหยากวงพั่นหรอก ใครก็ได้ไปเรียกอนุรองให้มาที่ห้องบุปผาที” แล้วจึงผายมือออกไป “เชิญพระชายาและเหยากวงพั่นตามข้ามา”
ภายในห้องบุปผา ทุกคนแยกย้ายกันไปนั่ง เหลียนเหนียงถูกตงเจี่ยประคองเข้ามาในห้อง อาการบาดเจ็บและบวมบนใบหน้านางดีกว่าเมื่อวานเล็กน้อย แต่ก็ยังทำเอาน่าตกใจเมื่อได้เห็นอยู่
นางคำนับทุกคนในห้อง ขณะคำนับมาถึงอวิ๋นหว่านชิ่นนั้น พอเงยหน้าขึ้นก็สบเข้ากับดวงตานางพอดี จึงสั่นไปทั้งร่าง
อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นอนุสุดรักหวาดกลัวลูกสาวถึงเพียงนี้ก็โมโหโกรธาขึ้นมา เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว วันนี้พระชายาเชิญเหยาย่วนพั่นมาตรวจดูและออกยาบำรุงให้เจ้า”
เหลียนเหนียงได้ฟังก็ยิ่งสั่นเทิ้มหนักกว่าเดิม นางหวาดกลัวขึ้นมา
นางจะใจดีเพียงนี้เชียวหรือ เรียกหมอหลวงมาดูอาการให้ถึงที่อย่างไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงได้
ตอนที่เหยาย่วนพั่นตรวจรักษาให้ถงซื่อกับเยี่ยนอ๋องเมื่อคราก่อน นางจึงรู้ได้ว่าผู้เฒ่าคนนี้เป็นผู้ถวายการรักษาให้แก่ไทเฮาและฮ่องเต้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ฝีมือด้านการแพทย์ย่อมเก่งกาจยอดเยี่ยม จะไม่ตรวจเจออันใดใช่หรือไม่
ระ…หรือว่าอวิ๋นหว่านชิ่นจะเดาอันใดออกแล้ว
เหลียนเหนียงท่าทางเหมือนเหยียบบนกองไฟอย่างไรอย่างนั้น นางสั่นอย่างแรงไปทั่วทั้งร่าง หากมิได้ตงเจี่ยช่วยพยุงไว้อย่างแน่นหนา ก็คงจะลื่นล้มลงไปหลายคราแล้ว ในสายตาของอวิ๋นเสวียนฉั่งกลับคิดว่าอนุสุดรักยังคงตกใจจากเรื่องเมื่อวานอยู่ หวาดกลัวลูกสาวอย่างสุดแสน เห็นนางอ่อนแอพ่ายแพ้และสีหน้าซีดเซียวก็สงสาร จึงเอ่ยสั่งว่า “ตงเจี่ย เจ้าพยุงพานายหญิงเจ้านั่งลงที” แล้วจ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่นด้วยสายตาไม่พอใจเป็นที่สุด
ตงเจี่ยพยุงเหลียนเหนียงให้นั่งลงบนเก้าอี้พนักพิงทรงกลมที่ติดประตู เห็นสีหน้านางยังซีดเซียวอยู่ ซ้ำยังเหงื่อออกอีกเล็กน้อยก็ก้มหน้ากระซิบบอกอย่างอดมิได้ “นายหญิงไม่ต้องกลัวนะเจ้าคะ หมอแม่เฒ่าเถื่อนนั่นไม่พูดอันใด หลังจากการแท้งนานวันไปก็ยากที่จะตรวจสอบอันใดได้ ท่านดูเอาเถิด นี่ก็หนึ่งเดือนเข้าไปแล้ว ไหนเลยจะตรวจเจออันใดได้”
เมื่อครู่เหลียนเหนียงตื่นตระหนกไป พอได้ตงเจี่ยเตือนจึงได้สติกลับมา นางยืดตัวอันบอบบางให้ตรง
อวิ๋นหว่านชิ่นมองเหยากวงเหย้าแล้วเอ่ยว่า “ลำบากเหยาย่วนพั่นแล้ว”
เหยากวงเหย้าลุกขึ้นเดินไปหาแล้วประสานมือขึ้น “ขออนุรองโปรดยื่นมือออกมา”
เหลียนเหนียงถกแขนเสื้อเล็กๆ ขึ้น เผยให้เห็นข้อมือนวลขาว
เหยากวงเหย้านั่งอยู่บนอีกตัวเก้าอี้ที่คั่นด้วยโต๊ะตัวเล็กๆ เขายื่นนิ้วไปแตะลงบนชีพจรของนาง แล้วกลั้นหายใจ
ทั่วทั้งห้องเงียบสงัด มีเพียงเสียงหายใจอันแผ่วเบาของคนอื่นๆ ที่เหลือเท่านั้น
อวิ๋นหว่านชิ่นมองเหยากวงเหย้า พินิจดูสีหน้าที่เปลี่ยนแปรของเขา เหลียนเหนียงเคยแท้งจริงหรือไม่ นางทำได้แค่เชิญเหยากวงเหย้ามาช่วยวินิจฉัย แต่มิอาจไปแทรกแซงความจริงนั้นได้
ความจริงแล้วก่อนจะออกมา ชูซย่าได้บอกนางว่าไม่ว่าเหลียนเหนียงจะเคยแท้งหรือไม่ ก็ควรจะบอกกับเหยากวงเหย้าให้รู้เสียหน่อย ให้เขาบอกว่าไม่เคยแล้วอาศัยโอกาสนี้ตบตีเหลียงเหนียง
อวิ๋นหว่านชิ่นกลับไม่เห็นด้วย เหยากวงเหย้าเป็นหมอที่หลงใหลด้านการแพทย์มาก อุทิศชีวิตเพื่อการแพทย์ ซ้ำเมื่ออยู่ต่อหน้าไท่จื่อและไทเฮาก็นิสัยตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม จึงได้ถวายงานมานานจนถึงทุกวันนี้ แม้นตายฝ่าบาทก็มิยอมปล่อยเขาไป คนเช่นนี้ ต่อให้เขายอมช่วยนาง นางก็มิอาจให้เขาทำเรื่องขัดต่อจรรยาบรรณแพทย์และทรยศต่อคุณธรรมในจิตใจเขาได้
แค่เรื่องเหลียนเหนียงคนเดียวไม่มีค่าพอจะทำลายภาพพจน์อันดีงามของตัวเองในสายตาของเหยาย่วนพั่นได้
ครู่ต่อมา ทุกคนเห็นเพียงเหยาย่วนพั่นเงยหน้าขึ้น มองไม่ออกถึงสีหน้าท่าทางใดเป็นพิเศษ เขาอมยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ร่างกายของอนุรองฟื้นฟูได้ดีเยี่ยม ต่อให้ไม่ออกยาบำรุงใดให้ก็มิมีปัญหา ปกติดีอย่างคนธรรมดาทุกอย่าง”
อวิ๋นหว่านชิ่นหรี่ตา ดูท่าแล้วนางจะคิดถูก เหยากวงเหย้าก็สงสัยเช่นกันว่านางเคยแท้งจริงหรือไม่
เหลียนเหนียงดึงผ้าปักเช็ดหางตา “สวรรค์ช่างปรานีชีวิตอันขมขื่นนี้ยิ่ง ข้าน้อยเติบโตที่สมาคมม้าผอมมาตั้งแต่ยังเด็ก ซ้ำยังมิใช่คุณหนูสูงศักดิ์ผู้งดงามอ่อนช้อย อีกทั้งยังอายุยังน้อย ร่างกายจึงได้แข็งแรงมาโดยตลอด ที่แล้วๆ มาเคยเจ็บไข้ได้ป่วยก็หายได้เร็วยิ่ง บางคราก็ไม่ต้องกินยาเสียด้วยซ้ำ”
เหยากวงเหย้าไม่ได้พูดอันใด เขาเดินไปหยุดอยู่กลางห้อง
อวิ๋นเสวียนฉั่งมองลูกสาวคราหนึ่งก็เอ่ยถามอย่างอดมิได้ว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เหยาย่วนพั่น อนุรองข้าแท้งหรือไม่ คงมิใช่การสับสนไปหรอกกระมัง”
เหยากวงเหย้าเอ่ยตามตรงกับเขาไปว่า “สตรีแท้งบุตรจะเสียเลือดมาก ลมปราณจากไตพร่อง ตกขาวไม่สะอาด อาการเหล่านี้จะตรวจพบได้ในระยะแรกเริ่ม แต่ยามนี้อนุรองท่านนี้แท้งได้เกือบเดือนแล้ว ระยะเวลาห่างอยู่พอควร ซ้ำระดูก็มาแล้ว ดูอาการจากร่างกายนางจึงดีกว่าสตรีที่แท้งบุตรในระยะเวลาเดียวกันอยู่มาก นับได้ว่ามีน้อยยิ่ง แต่ก็มิอาจบอกได้ว่านางมิได้แท้ง อิงจากกรณีในสายการแพทย์ที่ข้าเคยเจอมานั้น มีสตรีบางส่วนที่ร่างกายแข็งแรงจึงฟื้นฟูได้เหมือนกับอนุรองท่านนี้”
ประโยคนี้จบลง เหลียนเหนียงก็ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ภูเขาในอกถูกวางลงแล้ว
อวิ๋นเสวียนฉั่งยิ้มออกมาอย่างไม่ปิดบัง ชำเลืองมองบุตรสาวคราหนึ่ง น้ำเสียงภูมิใจขึ้นมามาก “เกรงว่าการมาของพระชายาในวันนี้คงจะเสียเที่ยวเสียแล้ว! เป็นอย่างไร ยังมีอันใดจะกล่าวอีกหรือไม่ ลูกเนรคุณนั่น ทำผิดก็คือทำผิด เจ้าจะช่วยเขาอย่างไรเขาก็คือคนทำผิดอยู่ดี”
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้โต้ตอบไป นางทำเพียงถือถ้วยอยู่เงียบๆ แล้วยกขึ้นจิบอย่างช้าๆ
เมื่อวานนี้อวิ๋นเสวียนฉั่งถูกบุตรสาวบีบให้ยอมรับความพ่ายแพ้มามากพอแล้ว วันนี้เรื่องกลับตาลปัตร ไม่ว่านางจะยืนกรานอย่างไรเรื่องก็จบสิ้นไปแล้ว แล้วเขาก็โมโหที่เหลียนเหนียงถูกโบยอย่างไร้เหตุผลจนเป็นเช่นนี้จึงเอ่ยว่า “ข้าเคยบอกตั้งนานแล้วว่านิสัยของเหลียนเหนียงนางอ่อนโยนไร้เดียงสา นางจะทำร้ายน้องชายเจ้าเพื่อการใด แต่ก็มักจะมีคนจิตใจซับซ้อน ชอบคิดเกินกว่าเหตุ! ครอบครัวดีๆ ครอบครัวหนึ่งถูกก่อเรื่องวุ่นวายเสียจนสงบสุขมิได้! ซ้ำยังเรียกเหยาย่วนพั่นมาให้ขายหน้าอีก!” กล่าวจบเขาก็หันไปทางเหยากวงเหย้า ลุกขึ้นประสานมือเอ่ยอย่างปรีดาว่า “ขอบพระคุณเหยาย่วนพั่นสำหรับการวินิจฉัยที่ยุติธรรมนี้!”