ท่านอ๋องวางนางลงบนเตียงขนาดใหญ่อย่างแผ่วเบา ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาร้อนผ่าว ยกมือขึ้นปลดกระดุมหยกบนเสื้อคลุมของตนออก
อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังดีใจที่น้องชายสามารถอยู่ต่อในจวนอ๋องได้ ถึงเพิ่งได้สติ และจู่ๆ ก็พลันนึกถึง คำพูดของเขาที่ว่าจะสั่งสอนตนเมื่อตอนอยู่ที่ตำหนักของพระสนมเอก นางรีบลุกขึ้นมาห้าม “ท่านอ๋อง ท่านจะทำอะไร ท่านอ๋องใจเย็นก่อน”
ซย่าโหวซื่อถิงเห็นท่าทางนางเหมือนเจอผีอย่างไรอย่างนั้นถึงกับอดยิ้มไม่ได้ พอคลายมือลง กระดุมเม็ดสุดท้ายก็ถูกปลดออกแล้วเสื้อคลุมก็ไหลตกลงไป
เสื้อชั้นในตัวบางสีขาวนวลแนบอยู่บนตัวของชายร่างสูง กล้ามเนื้อแขนและหน้าอกแข็งแกร่งเป็นมัดๆ มีกลิ่นขี้ผึ้งหอมจางๆ ลอยขึ้นมา นี่เป็นร่างกายของชายหนุ่มที่มีความแข็งแกร่ง
หากเห็นสภาพเช่นนี้ เดาแทบไม่ออกเลยว่าเขามีโรคประจำตัวบางอย่างอยู่ด้วย
อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาเข้ามาใกล้ ก้าวเท้าเหยียบขึ้นตั่ง สติของนางกลับมาอีกครั้ง แต่สายตากลับมองลงไปจนอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แม้แต่ใบหูก็เริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาเช่นกัน
ชุดนี้แนบเนื้อเกินไปแล้ว มันแนบจนเผยให้เห็นส่วนเว้าโครงทุกส่วนของร่างกายของเขา โดยเฉพาะ…ส่วนเว้านูน
นี่เขาตั้งใจทำเช่นนี้ใช่หรือไม่ ก่อนไปเยี่ยนหยาง นางเคยเห็นชุดนอนที่เขาใส่ทุกคืน แต่เป็นชุดโคร่งๆ ปิดทุกสัดส่วน ไม่ได้ยั่วยวนขนาดนี้
“ตาของเจ้ากำลังมองที่ใดกันนะ” ท่านอ๋องพูดด้วยเสียงนุ่มนวล
นางรีบหลบตาและปฏิเสธอย่างมีพิรุธ “ข้าไม่ได้มองอะไรเสียหน่อย”
ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1] สินะ พอนางพูดเสร็จก็โกรธจนหน้าเขียว แล้วก็เป็นไปตามคาด เขาหัวเราะเยาะ
นางกำลังจะแก้ตัว แต่ท่านอ๋องก็นั่งลงบนเตียงพลางเอื้อมมือดับไฟตะเกียงสุดท้าย จากนั้นก็เอื้อมมือปลดม่านที่ผูกกับเสาเตียง แล้วผ้าม่านสีแดงสดก็ปิดกั้นโลกทั้งสองใบเอาไว้
บนเตียงนอน มีเสียงลมหายใจร้อนแรง นางมองเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดมาก แต่ก็ตกลงสู่สงครามนั้นด้วยเช่นกัน แต่งงานกันมานานขนาดนี้ แต่ยังไม่เคยทำเรื่องนั้นสักที จะปล่อยเป็นอย่างนี้ไปตลอดเกรงว่าก็คงไม่ได้ แต่ถ้านึกสนุกเพียงชั่ววูบจนเกิดสิ่งใดขึ้นกับร่างกายของเขาล่ะ จะทำอย่างไร
ขณะกำลังสับสนอยู่ในใจ เขาก็พลิกตัวนอนลงจากนั้นก็ให้นางเข้ามาอยู่ในผ้าห่ม โดยเอนหัวของนางมาไว้ที่อ้อมกอดพลางเอ่ยว่า “นอนกันเถอะ”
นะ…นอน อวิ๋นหว่านชิ่นงงงวยสับสนเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาโดยมีแสงเทียนอ่อนๆ จากบริเวณไม่ไกลส่องแสงให้ ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้ากับดวงตาที่ปิดสนิทและขนตาที่ไม่ขยับ นางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งถึงเข้าใจว่าเขาคงจะนอนแล้วจริงๆ
นางรู้สึกโล่งใจ ตนอาจจะคิดมากไปเอง ทั้งร่างกายก็รู้สึกผ่อนคลายลงมาก นางยื่นแขนออกไป โอบเอวอันแข็งแรงของเขาเอาไว้ ขดตัวอยู่ในท่าที่รู้สึกสบายที่สุด พอหลับตาก็รู้สึกว่าเขามากระซิบข้างหู ”วันนี้ข้ายอมปล่อยเจ้าไปก่อน อีกสองวันเจ้าจะไม่โชคดีเช่นวันนี้แน่”
หมายความว่าอย่างไร นางแหงนหน้าขึ้นอีกครั้ง ได้ยินเพียงเสียงเขาเอ่ยท่ามกลางแสงสลัว “ลืมเรื่องที่ตนเองทำไว้แล้วหรือ ไม่ใช่ว่าสั่งให้หมออิงไปเก็บพืชที่สวนแอปริคอตมาทดลองยาหรือ ตอนที่เจ้าเข้าอารามฉางชิงไปได้สองเดือน หมออิงมาบอกว่าได้ค้นพบยาหยุดพิษได้แล้ว แม้ว่าจะยังไม่สามารถกำจัดต้นต่อของโรคได้ แต่ก็ยับยั้งการเลือดออกได้ ประสิทธิภาพดีมากเลยทีเดียว หลายวันมานี้กำลังสกัดให้บริสุทธิ์อยู่ อีกไม่กี่วันก็คงจะเสร็จ”
ที่เขาพูดเมื่อวานที่ตำหนักพระสนมเอก แต่พูดได้เพียงครึ่งหนึ่งคือเรื่องนี้เองหรือ นางยังไม่ทันได้สติ “เช่นนั้น หมายความว่า…”
“หมายความว่าทานยาก่อนทำอะไรเช่นนั้น อาการอาจจะไม่กำเริบน่ะสิ” เขาเอ่ยเสียงเรียบ เหมือนกับกำลังพูดว่าทานยาก่อนกินข้าวหรือทานยาก่อนนอนอย่างนั้น ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ
มิน่าล่ะเมื่อวานเขาถึงดูมีความมั่นใจมาก เอ่ยว่าหากได้ออกไปจากพระราชวังจะสั่งสอนตน วันนี้ยังจะมายั่วอีก! ใบหน้าอวิ๋นหว่านชิ่นขยับเล็กน้อย คลายมือออกจากเอวของเขาพลางตอบ “อ้อ”
ท่านอ๋องรู้ว่านางน่าจะเขิน ที่จริงตนก็รู้สึกใจเต้นและหน้าแดงอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าก่อนหน้านี้นางจะต้องเสียสละผ้าปูเตียงไปหลายผืน แต่ความจริงกลับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น… และไม่รู้ว่าพอวันนั้นมาถึง จะทำให้นางพอใจได้หรือไม่
แต่ว่าตนเองเป็นสามี ก็ต้องแสดงออกว่าเป็นคนใจกว้าง จะทำให้นางลำบากใจก็คงมิได้ ไม่เช่นนั้นนางอาจจะดูถูกได้ ตอนนี้เขาจับมือนางและกอดนางไว้แน่น ทำเป็นนิ่งสงบ “อย่าได้กลัวไปเลย”
อย่าได้กลัวไปเลย คำพูดนี้…พูดกับตนงั้นหรือ ได้ยินมาว่าท่านยังเป็นองค์ชายสามที่ไม่มี**
อวิ๋นหว่านชิ่นถูกกอดไว้แน่นก็ยิ่งสั่น จึงรีบขยับตัวเล็กน้อย เพื่อปกปิดความเขินอาย
เจอผีเข้าหรืออย่างไร นี่ตนยังจะเขินอีกหรือ ใช่ว่าไม่เคยผ่านการแต่งงานมาเสียหน่อย เคยเข้าหอ ทั้งยังเคยมีท่าทางหวานย้อยกับเขามาแล้ว…ยังมีอะไรให้เขินอีก
หรือว่าชาตินี้เปลี่ยนเป็นสาวร่างบริสุทธิ์แล้วเลยรู้สึกเขินอายได้ง่ายขึ้นงั้นรึ
นางก้มหน้าลงบนอกของท่านอ๋อง หลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่นานก็เข้าสู่ภวังค์หลับฝันดี
เมื่ออวิ๋นหว่านชิ่นตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว เอามือลูบคนข้างกายแต่กลับว่างเปล่า ทั้งยังเก็บที่นอนอย่างเรียบร้อย จึงเรียกชูซย่าเข้ามาถาม ถึงได้รู้ว่าเขาออกไปตั้งนานแล้ว
ยังไม่ถึงยามเหม่า[2] ก็ต้องเข้าไปว่าราชกิจในพระราชวัง จวนอ๋องห่างจากวังหลวงประมาณหนึ่ง หากรวมเปลี่ยนชุด ชำระล้างแล้วนั้นฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ต้องตื่นแล้ว ผนวกกับตอนนี้เขาเป็นถึงผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ยิ่งต้องปฏิบัติให้เป็นแบบอย่าง ดังนั้นจะต้องไปเช้ากว่าขุนนางท่านอื่นๆ ถึงครึ่งชั่วยาม
เขายังคงเหมือนแต่ก่อน ไม่ปลุกนาง ทำทุกอย่างเสียงเบา จนนางแทบจะไม่รู้สึกใดๆ
หากหรุ่ยจืออยู่ที่จวนละก็ จะต้องบ่นว่าตนไม่ทำหน้าที่ของภรรยาอีกเป็นแน่ แต่ว่าสิ่งที่หรุ่ยจือพูดก็ถูก อวิ๋นหว่านชิ่นใส่ชุดไป เอ่ยไป “ชูซย่า ตอนที่ท่านอ๋องตื่นไยถึงไม่เรียกข้า ครั้งหน้าให้ตะโกนเรียกข้าด้วย”
ชูซย่าเอ่ยตอบ “เตรียมจะเรียกแล้วเจ้าค่ะ แต่องค์ชายสามห้ามไว้ ครั้งหน้าข้าจะพยายามนะเจ้าคะ”
หลังจากที่อวิ๋นหว่านชิ่นหวีผมล้างหน้าเสร็จ ก็พาเกาจ๋างสื่อและชูซย่าออกจากจวน ไปรับเหยากวงเย่าที่จวนนอกพระราชวัง ถือโอกาสช่วงเช้าตะวันขึ้นตรงไปที่เรือนเจ้ากรมด้วย
ในขณะที่นางเพิ่งออกจากจวนก็ได้ส่งคนไปที่กรมกลาโหมไปแจ้งท่านพ่อว่าตนจะกลับบ้านและจะพาหมอหลวงไปตรวจอนุรองด้วย พอท่านพ่อได้ยินว่าตนจะกลับไป คงรีบกลับจวนอย่างรีบร้อนเป็นแน่ เพราะเกรงว่าตนจะกลับไปก่อเรื่องวุ่นๆ ขึ้นในจวน
เป็นไปตามคาด อวิ๋นหว่านชิ่นเดินเข้าจวนทางประตูใหญ่ได้ไม่นาน อวิ๋นเสวียนฉั่งใส่ชุดข้าราชการกลับมาจากกรมอย่างรวดเร็ว ความโกรธของเมื่อวานยังไม่ทันหาย พอเห็นว่านางยังกล้ามาเหยียบที่จวนอีก อยากจะด่าก็ไม่กล้า สะบัดแขนเสื้อเอ่ยเสียงเย็นชา “ไยกัน พระชายาฉินพาลูกชายของข้าไปแล้ว วันนี้จะมารับใครไปอีกล่ะ ความอดทนของคนมีขีดจำกัด หากว่าวันนี้เจ้ายังพาลเกเรที่นี่อีก ข้าเองก็จะไม่สนความเป็นพ่อลูก ยิ่งไปกว่านั้นข้าจะทำให้ฉินอ๋องเสียหน้าอีกด้วย เจ้าต้องไปศาลาว่าการกับข้าเดี๋ยวนี้ ไปคุยกันให้รู้เรื่อง!”
อวิ๋นหว่านชิ่นลุกขึ้นยืน ลูบแขนเสื้อขนสุนัขจิ้งจอก “ข้าราชการมือสะอาดก็ยากที่จะแก้ไขเรื่องในบ้านได้ ท่านพ่อจะไปศาลาว่าการไหนล่ะเจ้าคะ แม้แต่ความผิดครั้งใหญ่ลูกก็ทำมาแล้ว แค่รับน้องชายไปนับเป็นเรื่องเล็กๆ คิดว่าข้าจะใส่ใจหรอกหรือ มีแต่หน้าท่านพ่อนั่นแหละที่เสีย ให้คนเขารู้กันทั่วว่าเพื่อปกป้องอนุภรรยาจนต้องตีลูกภรรยาเอกจนเกือบพิการ ช่างน่าสลดใจจริงๆ”
“เจ้ามันลูกอกตัญญู วันนี้กลับมาเพราะอยากทะเลาะกับข้าต่อใช่หรือไม่” อวิ๋นเสวียนฉั่งเห็นสีหน้าไร้เหตุผลของบุตรสาวก็ยิ่งโมโห ต่อให้มีเหยาย่วนพั่นอยู่ด้วยเขาก็ไม่สนสิ่งใดอีกแล้ว
[1] ที่ตรงนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เปรียบว่า อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้รู้
[2]ยามเหม่า คือ ช่วงเวลา 05:00-06:59