เพียงแค่ว่าชาติที่แล้วศัตรูของเหลียนเหนียงไม่ใช่ตนก็เท่านั้น
นางคงคิดว่ายังมีความโชคดีเหลืออยู่สินะ
ต่อจากนี้ไป มันจะไม่มีครั้งต่อไปอีก
ก่อนตะวันจะตกดิน เกาจ๋างสื่อเข้ามาแจ้งว่ามีจดหมายจากพระราชวัง เกรงว่าองค์ชายสามคงจะกลับดึกอีก
ก่อนหน้านี้อวิ๋นหว่านชิ่นก็ได้ยินมาบ้าง ตั้งแต่ท่านอ๋องเข้ารับตำแหน่งก็แทบจะอยู่แต่ในวัง บางครั้งก็ค้างที่พระราชวัง ท่านอ๋องที่ทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนจะมีห้องทำงานและห้องนอนในพระราชวังโดยเฉพาะก็นับว่าสะดวกพอสมควร แต่ช่วงนี้อาการประชวรของฝ่าบาทหนักขึ้นกว่าเดิม ท่านอ๋องดูแลงานราชการ แม้จะได้รับยกเว้นการปรนนิบัติก็ตาม แต่พอเสร็จภารกิจท่านก็ต้องไปที่พระที่นั่งหย่างซินเตี้ยน เมื่อเป็นเช่นนี้เท้าของท่านอ๋องจึงแทบจะไม่ย่ำลงพื้นของจวนอ๋องเลย
อวิ๋นหว่านชิ่นรับทราบแล้ว เมื่อทานอาหารเย็นง่ายๆ เสร็จก็เดินไปดูน้องชายที่ห้องรับแขกเสียหน่อย จากนั้นก็สั่งบ่าวรับใช้ทั้งสี่คนด้วยตัวเองว่าให้ดูแลคุณชายอวิ๋นให้ดี
บ่าวรับใช้ทุกคนรู้ดีว่าจิ่นจ้งคือพี่น้องท้องเดียวกันของพระชายาเอก พวกเขาจะไม่ใส่ใจได้อย่างไรพลันพยักหน้าหงึกๆ
อวิ๋นหว่านชิ่นตรวจดูหนังสือที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ทั้งยังถามอวิ๋นจิ่นจ้งว่ายังขาดเหลืออะไรอีกหรือไม่ หากมีสิ่งใดก็ให้แจ้งมอมอข้างกาย หรือจะบอกกับตนโดยตรงเลยก็ย่อมได้
อวิ๋นจิ่งจ้งวางแขนลงนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะหนังสือ แกว่งขาสองข้างไปมา “ท่านพี่ช่างขี้บ่นเสียจริง ข้ารู้แล้วน่า”
ชูซย่ายิ้มพลางเอ่ยเตือน “คุณชายอวิ๋น อยู่ที่จวนอ๋องไม่เหมือนอยู่จวนอวิ๋นนะเจ้าคะ เวลาที่เจอพระชายาเป็นการส่วนตัวเรียกว่าท่านพี่ได้ แต่ถ้าหากมีคนนอกอยู่ด้วยจะต้องเรียกว่าเหนียงเหนียงนะเจ้าคะ”
อวิ๋นจิ่นจ้งลูบตรงท้ายทอยและเรียนรู้อย่างไว “ขอรับ เหนียงเหนียง”
อวิ๋นหว่านชิ่นเหลือบเห็นหนังสือที่เพิ่งซื้อมาใหม่วางเป็นกองอยู่บนโต๊ะ มีการเปิดไว้แล้ว สงสัยก่อนที่ตนจะมา น้องชายคงกำลังอ่านหนังสืออยู่
อวิ๋นจิ่นจ้งเอ่ยด้วยความเกรงใจ “ท่านพ่อลาเรียนที่กั๋วจื่อเจียนให้ข้า ข้าเลยขาดเรียนหลายวิชา หลังจากนั้น ข้าก็ย้ายไปอยู่โรงหมอรักษากระดูกที่อยู่ข้างๆ อีก ไม่สะดวกพกสิ่งของไปด้วย จึงไม่ได้อ่านหนังสือมาหลายวัน ตอนนี้ข้าเลยต้องรีบทบทวนเสียหน่อย เฉาจี้จิ่วบอกไว้แล้วว่าปีนี้จะส่งข้าเข้าร่วมการสอบชิวเหวย[1]…ข้าไม่อยากทำให้อาจารย์ผิดหวัง” ชะงักไปครู่หนึ่ง ก็ส่งสายตาประกายแวววับ นัยน์ตาดูเขินอายเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำเกือบฟังไม่ได้ความว่า “รวมถึงท่านพี่ด้วย”
เมื่อชาติที่แล้วเป็นเด็กผู้ชายเกเรไม่เอาไหน แต่ในชาตินี้ไม่รู้ว่ากลายเป็นเด็กมุ่งมานะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกว่าตนควรดีใจและตื้นตันใจ แต่ไม่รู้ทำไมถึงไม่เป็นเช่นนั้น นางมองที่แขนและใบหน้าที่มีบาดแผลของจิ่นจ้ง แล้วระงับอารมณ์ของตนไว้ พยายามเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ขยันไม่ผิด แต่ว่าบาดแผลของเจ้าอยู่ที่มือข้างขวาพอดี ก็อย่าฝืนใช้งานหนักล่ะเข้าใจไหม”
อวิ๋นจิ่นจ้งพยักหน้า “เรื่องพลิกหนังสือและฝนหมึก มีม่อเซียงค่อยช่วยเหลือข้าอยู่ หากว่าอยากจะเขียนข้าก็จะเป็นคนอ่านแล้วให้ม่อเซียงเป็นคนเขียน”
ม่อเซียงที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบเอ่ย “เจ้าค่ะเหนียงเหนียง บ่าวจะดูแลคุณชายอวิ๋นเป็นอย่างดีเลยเจ้าค่ะ”
เวลาก็สายมากแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นจึงลุกขึ้นเตรียมกลับ ตอนที่ออกจากเรือนของอวิ๋นจิ่นจ้ง ท้องฟ้าเริ่มมืด พระจันทร์ที่ถูกบังโดยเมฆเริ่มเผยให้เห็นเป็นเสี้ยว
ชูซย่าจุดโคมไฟและเดินนำทาง ทั้งสองคนพากันเดินกลับเรือนเอกโดยมีแสงสลัวของค่ำคืนและแสงไฟสีเหลืองจากโคมไฟคอยส่องสว่าง
เมื่อเดินใกล้ถึงเรือนเอก ก็เห็นเงาคนลับๆ ล่อๆ ซ่อนอยู่ด้านหลังพุ่มไม้ กำลังมองมาที่พวกเขา
“บังอาจ ใครกันที่แอบมองเหนียงเหนียง! ยังไม่ไสหัวออกมาอีก!” ชูซย่ายกตะเกียงเดินเข้าไป พอส่องก็เห็นเป็นหลี่ว์ชีเอ๋อร์ท่าทางตกใจ นางเดินออกมา ท่าทางคล้ายว่ารออยู่นาน พอเห็นอวิ๋นหว่านชิ่นก็คุกเข่าลงฟุบ “เหนียงเหนียงได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ชีเอ๋อร์ไปหาเหนียงเหนียงที่เรือนเอกแล้ว แต่ฉิงเสวี่ยบอกว่าเหนียงเหนียงไปหาคุณชายอวิ๋น ชีเอ๋อร์เลยรอเหนียงเหนียงตรงนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เหนียงเหนียงตกใจนะเจ้าคะ เหนียงเหนียงได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!”
นางแอบเงยหน้ามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความระมัดระวัง โดยมีไฟคอยส่องสว่าง
ครั้งก่อนที่พบหน้าคือตอนที่นางอยู่ในตำหนักซานชิงภายในพระราชวัง ภายหลังที่ลบเครื่องสำอางและเปลี่ยนเสื้อผ้า ทุกคนต่างพากันตกตะลึงไปกับความงดงามนั้น จนถึงตอนนี้หวี่ว์ชีเอ๋อร์ก็ยังไม่สามารถสลัดภาพนั้นทิ้งได้ ตอนนี้เมื่อได้มองนางอีกครั้ง นางสวมใส่เสื้อคลุมสีเทาหม่น ทั้งเนื้อตัวคือความสง่าที่ผ่านการอาบน้ำจัดแต่งมาแล้ว ผมเผ้าพลิ้วสไวส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ภายใต้แสงจันทร์ เผยให้เห็นแววตาคู่นั้นกำลังจับจ้องมาที่ตนราวกับเกือบรู้ไปถึงสิ่งที่อยู่ในห้วงลึกของหัวใจ จนหลี่ว์ชีเอ๋อร์ถึงกับตัวสั่นเล็กน้อย
“เจ้าลุกขึ้นเถอะ” อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ย สายตาตกอยู่ที่นาง “มาหาข้าดึกเช่นนี้มีเรื่องอะไรหรือ”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์รวบรวมสติ ลุกขึ้นพลางเอ่ย “ชีเอ๋อร์มีสองเรื่องเจ้าค่ะ เรื่องที่หนึ่งต้องขอบพระคุณเหนียงเหนียงที่พาชีเอ๋อร์มาถึงเมืองหลวง ทำให้ชีเอ๋อร์ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เรื่องที่สอง ก็คือว่า…” พูดไปก็เงยหน้ามอง ไม่เจอกันนาน สายตาของหญิงสาวจากเมืองเล็กๆ ได้หายไปหมดแล้ว แววตานั้นราวกับว่าได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างไปแล้ว “ข้ารู้ว่าหลังจากเหนียงเหนียงกลับมา ท่านจะต้องจัดแจงชีวิตหลังจากนี้ให้กับข้า…ข้าอยากขอความเมตตา”
“เจ้าพูดมา” อวิ๋นหว่านชิ่นรู้ว่านางจะร้องขอสิ่งใด
ตามคาด หลี่ว์ชีเอ๋อร์คุกเข่าอีกครั้ง “ชีเอ๋อร์ไม่อยากไปรับใช้ที่จวนอื่น ชีเอ๋อร์อายุยังไม่มากและยังไม่อยากออกเรือนด้วย ตอนนี้ชีเอ๋อร์อยากอยู่ที่จวนอ๋อง คอยปรนนิบัติรับใช้พระชายาเอกเท่านั้น!”
พอชูซย่าได้ยินคิ้วก็ขมวดขึ้นมาทันที
ก็ไม่ได้โง่งมนี่ เพราะต่อให้ไปรับใช้ในจวนที่เก่งกาจสักเพียงไหนก็มิสู้คอยรับใช้ในจวนอ๋อง ยิ่งไปกว่านั้นเจ้านายของจวนนี้ยังเป็นผู้สำเสร็จราชการแทนอีก
ส่วนการจับคู่…พี่ชายของหลี่ว์ชีเอ๋อร์มีพระคุณกับเหนียงเหนียง เหนียงเหนียงคงไม่ให้นางไปเป็นอนุภรรยาแน่ แต่ด้วยสถานะของหลี่ว์ชีเอ๋อร์หากให้ไปเป็นภรรยาเอกของใครแล้วละก็ ตระกูลฝั่งตรงข้ามก็คงไม่ได้สูงส่งมากขนาดนั้น ตั้งแต่ที่ท่านอ๋องได้สำเร็จราชการแทน เดิมที่จวนอ๋องที่เงียบเหงา ก็กลายเป็นจวนอ๋องที่มีแต่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ขุนน้ำขุนนางมาทำทีขอสร้างความสัมพันธ์ด้วย
เพียงแค่นางได้อยู่ฝั่งผู้คุมอำนาจของเมืองหลวง ก็อาจทำให้นางมีโอกาสได้อยู่ในตระกูลที่ดีก็เป็นได้
แม้จะต้องใช้วิธีการเกาะ ก็ต้องเกาะไว้ให้แน่น
อวิ๋นหว่านชิ่นพูดตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม “ความตั้งใจของพี่ชายเจ้า เพียงแค่อยากให้เจ้ามีชีวิตที่สงบสุขในทุกๆ วันก็พอ”
หลี่ว์ชีเอ๋อร์คิดตามและรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย ชีวิตที่สงบสุขงั้นเรอะ แล้วเหตุใดสตรีตรงหน้าถึงไม่สละอำนาจของพระชายาเอก ทิ้งตราประทับแล้วไปใช้ชีวิตเรียบง่ายสงบสุขล่ะ
เหตุใดสตรีตรงหน้าถึงมีชีวิตที่สุขสบายได้ แต่นางกลับต้องมีชีวิตที่ไร้ชีวิตชีวาและออกเรือนกับคนธรรมดาที่ซื่อตรงไร้ความสามารถตลอดชีวิต
อวิ๋นหว่านชิ่นมองนางไว้ นางไม่ได้เอ่ยคำใดแต่คิ้วที่ขมวดได้เผยทุกสิ่งออกมาแล้ว นางกำลังรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม สีหน้าของอวิ๋นหว่านชิ่นไม่เปลี่ยน ส่วนน้ำเสียงยังคงเอ่ยด้วยความนุ่มนวล “ข้าไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องจัดการชีวิตเจ้า แต่ข้ามีอำนาจนี้ก็เท่านั้น เพราะเจ้าคือคนที่ข้าพากลับมาด้วย แต่ตอนนี้เจ้ากลับมาต่อรองกับข้า หากว่าเจ้ายอมฟังข้างั้นเจ้าก็อยู่ที่จวนอ๋องอีกสักหน่อย รอข้าจัดการเสร็จแล้วค่อยดูว่าจะให้เจ้าไปที่ไหน ข้าไม่มีวันทำร้ายเจ้า แต่ถ้าหากว่าเจ้าไม่ยอม ข้าก็จะให้เงินเจ้าแล้วพรุ่งนี้เจ้าก็ออกไปจากจวนเสีย”
น้ำเสียงอ่อนโยนนุ่มนวล แต่กลับเป็นคำพูดเตือนสติว่า หากไม่ทำตามคำสั่ง พรุ่งนี้ก็เตรียมออกไปจากจวนอ๋องได้เลย!
หลี่ว์ชีเอ๋อร์คิดว่านางไม่ถือสาตนตั้งนานแล้ว เวลาก็ผ่านมานานแล้ว หากลองขอร้องอีกสักครั้ง นางก็น่าจะใจอ่อน ก็แค่เพิ่มบ่าวรับใช้เข้าจวนอ๋องอีกสักคนมันจะหนักหนาอะไรกัน ตนเป็นถึงน้องสาวของผู้มีพระคุณ ทั้งยังได้รับการฝากฝั่งไว้ก่อนสิ้นใจ
คิดไม่ถึงเลยว่า จิตใจนางจะแน่วแน่ถึงเพียงนี้ อย่างไรอย่างนั้นไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
[1] การสอบชิวเหวย หมายถึง การสอบบัณฑิตชนบท ซึ่งจัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง