ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique

บทที่ 1436 – เคล็ดวิชาไร้นาม ทักษะเสียงสัมผัสแห่งพระเจ้า ระเบิดประตูศักดิ์สิทธิ์

 

สุดท้ายภาพโฉมงามคนที่สิบเอ็ดก็ได้ปรากฏออกมา ถ้ามีภาพเขียนทั้งหมดสิบสองภาพ นั่นหมายความว่าเขาเหลืออีกเพียงภาพเดียวเท่านั้น องค์หญิงใหญ่ อี่หวงกู่หวู๋ และอวี้เหอ พวกเธอไม่ได้ด้อยกว่าหญิงในภาพ ดังนั้นชิงสุ่ยมีความรู้สึกว่าภาพโฉมงามอาจเป็นแค่ภาพของหญิง 12 แบบหรือเป็นภาพของหญิงในแต่ละมุมโลก พวกเธอทั้งหมดมีผลกระทบต่อผู้ชาย แต่สิ่งหนึ่งที่ชิงสุ่ยปฏิเสธไม่ได้คือพวกเธอเป็นหญิงที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่ง

 

ในตอนแรกชิงสุ่ยคิดว่าภาพโฉมงามทั้ง 12 ใช้ในการเปิดสิบสองเส้นลมปราณสวรรค์ แม้ว่ามันจะเป็นจริง แต่หญิงอื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน

 

ขณะที่มองไปที่อสูรศิลาพร้อมกับประมุขอสูร ชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะใช้แผนการเดิม บางทีวิธีนี้อาจช่วยให้เข้าสู่ชั้นถัดไปได้ เพียงแค่นี้เขาก็จะได้เก็บเกี่ยวสมบัติ

 

“เจ้าคิดว่าข้าควรจะทำเช่นเดิมดีหรือไม่?” ชิงสุ่ยมองไปที่ประมุขอสูร

 

ชิงสุ่ยไม่มั่นใจนักเมื่อพูดมัน ก่อนหน้านี้พวกเขาตัวแนบชิดติดกันจนถึงขั้นริมฝีปากแตะสัมผัส ทั้งหมดนั้นอาจเกิดขึ้นอีกอย่างฉับพลัน มันไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเป็นจริงที่ต้องเกิดได้ ตอนนี้เขาถามมันออกไป เหตุการณ์เช่นนั้นมีสิทธิ์เกิดขึ้นอีก

 

“ไม่มีทางอื่นแล้วงั้นหรือ” ประมุขอสูรถามชิงสุ่ย

 

“เจ้าก็ดูเอาสิ ข้าลองใช้วิธีอื่นๆไปแล้ว มันคงไม่มีทางปล่อยให้พวกเราเข้าไปเอาสมบัติ”

 

“แล้วถ้าแบบนี้หล่ะ? ข้าจะอยู่ที่นี่และรอเจ้า” ประมุขอสูรตอบหลังจากคิด

 

“อืม เจ้าไม่รู้สึกกังวลที่ปล่อยให้ข้าไปคนเดียวหรือ? เจ้าไม่กลัวว่าจะตาย? นี่มันช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเสียใจ ข้าต้องกังวลตลอดเวลาแน่นอน หากเจ้าอยู่ที่นี่ลำพัง” ชิงสุ่ยกล่าวขณะที่เขาเผยรอยยิ้มอันขมขื่น

 

ใบหน้าอันเย็นชาของประมุขอสูรเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะขบฟันแน่นและกล่าว “ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องข้า ข้าจะฆ่าเจ้าทันที”

 

ชิงสุ่ยหัวเราะ “ไม่ ข้าจะไม่ทำ!”

 

ชิงสุ่ยไม่ได้จริงจังกับสิ่งที่กล่าว เขาจะไม่แตะต้องเธอตามที่พูดหรือเพียงแค่บอกเพื่อให้เธอไม่ทำร้ายเขา?

 

อสูรสยบมังกรทำการพ่นเปลวเพลิงเยือกแข็งอย่างต่อเนื่อง มันผ่านไปแล้วกว่า 15 นาที การแช่แข็งอสูรศิลายังไม่ปรากฏ ชิงสุ่ยรู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อยกับโอกาสที่มันจะสำเร็จ มันนานจนทำให้เขาเริ่มสงสัยว่าอสูรศิลาตัวนี้สามารถต้านทานการถูกแช่แข็งได้หรือไม่

 

ปัง!

 

ในขณะที่ชิงสุ่ยเริ่มคิดว่าเขาควรหยุดหรือไม่ อสูรศิลาก็ถูกแช่แข็ง ชิงสุ่ยคว้าประมุขอสูรเอาไว้และพุ่งเข้าใส่มัน ในเวลาเดียวกัน เขายังได้ใช้กฏแห่งพระราชวังเก้าเทวาเพื่อเคลื่อนย้ายอสูรศิลา

 

ไม่รู้เป็นเพราะชิงสุ่ยตั้งใจหรือด้วยความแข็งแกร่งของอสูรศิลา ระยะทางที่เขาพุ่งไปได้นั้นช่างสั้นกว่าที่เคยเป็น ช่องว่างเองก็เล็กเช่นกัน ทั้งสองแนบชิดกันมาก แต่ประมุขอสูรดูเหมือนจะเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์แบบนี้ไว้แล้ว เธอขยับศีรษะหลบชิงสุ่ย อย่างไรก็ตามหน้าอกอันรัดตึงของเธอก็ยังถูกชิงสุ่ยกดทับลงมา ชิงสุ่ยรู้สึกถึงความนุ่มนวลและยืดหยุ่น มันเป็นความรู้สึกที่อึดอัดเป็นพิเศษสำหรับพวกเขา

 

ชิงสุ่ยรู้สึกว่าร่างกายของประมุขอสูรดูเกร็งเล็กน้อย เขาต้องเอนตัวไปข้างหน้าเพื่อเอื้อมมือคว้าสมบัติ ในขณะที่ทำเช่นนั้น เหตุการณ์เดียวกันกับก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้ชิงสุ่ยต้องขยับศีรษะไปทางด้านขวา บังเอิญว่าใบหน้าของประมุขอสูรก็อยู่ด้านขวาของเขา ดังนั้นใบหน้าขชองชิงสุ่ยจึงแตะสัมผัสกับใบหน้าอันเย็นชาของประมุขอสูร ไม่เพียงแค่นั้น ริมฝีปากของเขายังสบัดไปทั่วใบหน้าและริมฝีปากของเธอด้วย

 

ทันทีที่พวกเขาสัมผัสกัน เธอยกมือขึ้นและตบลงไปบนหน้าของชิงสุ่ย

 

เพี๊ยะ!

 

เสียงนั้นทั้งชัดและดังมาก แต่มันก็ไม่เจ็บนัก มันเป็นเพียงการตบธรรมดา ชิงสุ่ยได้เป็นคนวิกลจริต แต่เขามีความสุขมากจริงๆ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร การกระทำของเขาถือว่าต่ำช้าหรือไม่……

 

เธอถอยออกห่างและจ้องชิงสุ่ยก่อนมองไปที่มือของเธอ เธออาจฆ่าคนมาเป็นจำนวนมาก แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอตบใครสักคน เธอไม่เข้าใจเหตุผลที่ทำอย่างนั้นลงไป เธอตระหนักว่าหัวใจกำลังอยู่ในความสับสน เธอไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้อีกต่อไป เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? แม้แต่ตัวเธอเองก็ยังไม่รู้คำตอบ

 

“เจ้าเป็นบ้างั้นหรือ?” รอยนิ้วมือบนใบหน้าของชิงสุ่ยชัดเจนมากจริงๆ

 

“ขอโทษ!” เธอกล่าวเบาๆ

 

ชิงสุ่ยส่ายหัว “เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมเจ้าต้องขอโทษ?”

 

เธอยังคงเงียบอยู่ ความเย็นชาบนใบหน้าของเธอเริ่มเปลี่ยนไป เธอหันกลับไปและมองรอบๆ ดูเหมือนมันจะเป็นการบอกกลายๆว่าเธอไม่มีอะไรจะพูด

 

ความจริงแล้วชิงสุ่ยประสบความสำเร็จในการกระตุ้นให้เธอหวั่นไหว เขากำลังใกล้เข้าไปอีกนิด

 

“ข้ารู้สึกอยากกลับแล้ว” ประมุขอสูรกล่าว

 

ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาเอื้อมไปจับมือของเธอ

 

ประมุขอสูรยกมือขึ้น แต่เธอไม่ได้พยายามที่จะทุบตีเขา เธอต้องการเอามือหลบเขา แต่ความพยายามของเธอกลับล้มเหลว ชิงสุ่ยจัดมันแน่นยิ่งขึ้น

 

“ไม่มีอะไรผิดในการชอบใครสักคน ข้าทำผิด ข้าสัญญากับเจ้าไว้แล้วว่าจะแตะต้องเจ้าอีก แม้ข้าจะไม่แน่ใจว่าทำไมตัวข้าถึงต้องการทำให้เจ้ารู้สึกมีความสุขขึ้น แต่เจ้าก็ไม่เต็มใจยอมเปิดโอกาสให้ข้าสักครั้งที่จะทำเช่นนั้น?”

 

ชิงสุ่ยตอบตามความจริงจากใจ

 

“มันเป็นไปไม่ได้และไม่มีหวังใดๆให้เจ้าทำเช่นนั้น ข้าได้บอกเจ้าไปแล้ว อย่าได้เอาตัวเองเข้ามาพัวพันกับความยุ่งเหยิงนี้ เพราะมันจะทำให้เจ้าเสียเวลาเปล่า” ประมุขอสูรพยายามอีกครั้งที่จะเว้นช่องว่างจากชิงสุ่ย ชิงสุ่ยปล่อยมือเธอ

 

“ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ เกิด แก่ เจ็บป่วย…. เมื่อพวกเราเกิดมา พวกเราต้องฟันฝ่ากับสิ่งรอบตัว ไม่มีใครสมบูรณ์หรือดีพร้อมไปทุกอย่างตามที่ต้องการ ความโลภที่มีอยู่ลึกๆภายในตัวทำให้คนเราไม่พอใจกับสิ่งที่มี มันนำไปสู่การแข่งขันกับผู้อื่นและในที่สุดก็นำไปสู่การคิดปรับปรุงตัวเอง” ในขณะนี้ดวงตาทั้งสองของชิงสุ่ยดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความรู้ เกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ ชิงสุ่ยพอมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้าง

 

“ข้าได้บอกเจ้าไปแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้าได้ยินหรือไม่” เธอกล่าวเบาๆ

 

“เช่นนั้นเจ้ายืนกรานที่จะกลับงั้นหรือ? เจ้าจะไปต่อกับข้าได้หรือไม่? ข้ารับปากว่าจะไม่ผิดสัญญาอย่างแน่นอน” ชิงสุ่ยมองไปที่เธอและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

 

ประมุขอสูรพยักหน้า

 

ชิงสุ่ยเริ่มมองไปรอบๆ ตอนนี้เขาอยู่ในพื้นที่ซึ่งใหญ่กว่า สิ่งที่แตกต่างออกไปคือไม่มีอสูรศิลาที่นี่ ไม่พบประตูหินใดๆ ความรู้สึกที่คุ้นแคยและประหลาดโผล่ขึ้นมาในหัวของเขา

 

ใช่ นี่เป็นภายในรูปแบบ!

 

“ทำไมพวกเราไม่เริ่มด้วยการดูของในกล่องสมบัติหล่ะ?”

 

คราวนี้ชิงสุ่ยเปิดกล่องสมบัติอย่างรวดเร็ว ภายในมีตำราสองเล่มที่ดูเหมือนตำราเคล็ดวิชาการต่อสู้เช่นเดียวกับเล่มก่อนหน้านี้ หนังสือทั้งสองมีขอบสีทองและยังทำมาจากแผ่นหนังสัตว์อสูรซึ่งดูเก่าแก่หลังจากเก็บรักษามาเป็นเวลานาน

 

ทักษะเสียงสัมผัสแห่งพระเจ้า!

 

นี่เป็นคำบนหนังสือเล่มหนึ่ง สำหรับอีกเล่มไม่มีคำใดๆ แม้จะมีขอบทองคำ แต่มันก็ดูเรียบง่ายและปราศจากสิ่งตกแต่งอื่นๆ

 

ชิงสุ่ยหยิบหนังสือทักษะเสียงสัมผัสแห่งพระเจ้า ขณะที่ประมุขอสูรหยิบอีกเล่มไป

 

ชิงสุ่ยเปิดหน้าหนังสือและอ่านมัน เขาไม่แน่ใจว่าควรจะมีความสุขดีหรือไม่ มันถูกใช้เพื่อฝึกฝนการได้ยิน มันทำให้สามารถได้ยินผู้อื่นถึงแม้จะอยู่ในที่ห่างไกล นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด มันสามารถใช้เพื่อระบุสถานที่ให้แน่ชัด มันเป็นทักษะที่แปลกประหลาดจริงๆ

 

เมื่อชิงสุ่ยกำลังอ่าน เขาได้ยินเสียงคนร้องด้วยความตกใจของใครคนหนึ่ง มันไม่ได้ดังมากนัก เขารู้สึกประหลาดใจที่เห็นเธอโยนหนังสือที่เปิดอ่านอยู่ออกไป ทันทีที่เขาแอบมองเนื้อหาในนั้น เขาเข้าใจมันได้ในฉับพลันว่าทำไม

 

จิตรกรรมราชวังใบไม้ผลิ!

 

เป็นเรื่องบังเอิญที่หน้าหนังสือแสดงการอธิบายเนื้อหาด้วยภาพของชายและหญิงที่มีสัมพันธ์กัน ภาพนั้นดูสมจริงมาก ท่วงท่าและการเคลื่อนไหวภายในภาพของชายและหญิงถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งความงดงามของภาพ

 

เขารู้สึกถึงความลึกลับและคุ้นเคย นอกจากนี้การที่หนังสือเล่มนี้อยู่ที่นี่ย่อมหมายความว่ามันต้องไม่ใช่ภาพเขียนของจิตรกรรมราชวังใบไม้ผลิธรรมดาๆ

 

ชิงสุ่ยส่งหนังสือทักษะเสียงสัมผัสแห่งพระเจ้าให้กับเธอก่อนที่เขาจะหยิบเล่มที่ตกไป

 

ตอนนี้เธอนิ่งเงียบและไม่พูด ใบหน้าของประมุขอสูรเริ่มแดงเล็กน้อย แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้เธอดูน่าสนใจมากขึ้น

 

ชิงสุ่ยมองผ่านคร่าวๆและรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับเคล็ดวิชาไร้นามที่เคยอ่านมาก่อน มันไม่ใช่ว่าเคล็ดวิชาไร้นามที่เขาอ่านมายังไม่สมบูรณ์ มันแค่เป็นการทำให้สมบูรณ์จนถึงที่สุด นอกจากนี้ผลที่ได้นั้นแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน ยิ่งไปกว่านั้นมีตัวหนังสือสีแดงที่อธิบายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายและขั้นตอนที่จำเป็นในการใช้เคล็ดวิชา

 

ลมปราณและจิตวิญญาณ นี่เป็นเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการบ่มเพาะและฝึกฝนจิตวิญญาณ เหมาะสำหรับทุกคนและทำให้คนธรรมดากลายเป็นผู้ที่ทรงพลัง ชิงสุ่ยยอมรับว่าตัวเขามีลมปราณและจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง

 

ลมปราณแห่งเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลถือเป็นลมปราณแบบหนึ่ง ขณะที่จิตวิญญาณก็เป็นพลังวิญญาณ ชิงสุ่ยมีทะเลแห่งปัญญาและดวงดาวสีทองที่ยดเยี่ยม เช่นเดียวกับกายาทองคำ 9 หยางที่อยู่ในระดับที่น่าเกรงขาม

 

ชิงสุ่ยฟื้นคืนสติหลังจากที่อ่านหนังสือเสร็จ เขากล่าวอย่างเขินอายเล็กน้อย “นี่เป็นเคล็ดวิชา เจ้าจะลองอ่านดูหรือไม่?”

 

เมื่อเห็นว่าชิงสุ่ยไม่ได้มีเจตนาอื่น เธอก็ส่ายหัว “ไม่ มันน่าขยะแขยง ข้ายกอีกเล่มให้เจ้าด้วยเช่นกัน เพราะข้าอ่านมันเสร็จแล้ว”

 

ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าเธอตั้งใจจะบอกว่าภาพวาดดูน่ารังเกียจหรือสิ่งที่ชายและผู้หญิงทำน่าขยะแขยง

 

ขณะนั้นประตูบานใหญ่อันก่อนหน้ากระจัดกระจายออกอย่างกะทันหัน

 

ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาคิดว่าสิ่งใดกันที่สามารถเปิดประตูออกเช่นนี้ มันทรงพลังมากจริงๆ ชิงสุ่ยกระวนกระวายใจเล็กน้อยเมื่อเห็นการเปิดนั้น

 

“พวกเขาใช้มุกทำลายล้างศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปิดประตู มันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นด้วยการบีบอัดของมุกอมตะพันปีและแก่นแท้สัตว์อสูรเข้าด้วยกัน โดยทั่วไปมันมีความสามารถในการระเบิด” เธอกล่าวเบาๆหลังจากได้เห็นการแสดงออกของชิงสุ่ย

 

กลั่นจากมุกอมตะพันปีและแก่นแท้สัตว์อสูร…… ช่างไร้เหตุผลและน่ากลัวเกินไป!

 

“ใครกันที่เป็นเจ้าของสิ่งนี้?”

 

“นิกายทลายศักดิ์สิทธิ์!”

 

“ชื่อฟังดูแข็งขัน เช่นนั้นมุกทำลายล้างศักดิ์สิทธิ์มีมากแค่นไหน?” ชิงสุ่ยถาม เขากังวลเรื่องนี้เพราะมันมีพลังมาก

 

“สิ่งนี้เป็นของที่บรรพบุรุษทิ้งไว้หรือได้รับมาโดยไม่คาดคิด ตอนนี้พวกเขายังไม่สามารถในการกลั่นสิ่งดังกล่าว แต่มันก็ยังเป็นเรื่องจริงที่พวกเขามีระเบิดที่รุนแรงอยู่ภายในนิกาย”

 

นี่เป็นอาวุธที่ดีจริงๆ ชิงสุ่ยไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เริ่มสงสัยว่าหลายคนคงจะหมดฤทธิ์หากเขามีมันในมือ เขาสามารถโยนมันออกไปได้โดยใช้เคล็ดวิชาศาสตราวุธเร้นลับ

 

น่าเสียดาย เขาทำได้เพียงแค่จินตนาการเท่านั้นในตอนนี้

 

“จงเชื่อฟังและมอบกล่องสมบัติมาซะ แล้วข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป” เสียงอันสงบดังขึ้นมาขัดขวางความคิดของชิงสุ่ย